โรคเซ็บเดิร์ม เป็นภาวะผิวหนังทั่วไปที่ส่งผลต่อหนังศีรษะ ใบหน้า และส่วนอื่น ๆ ของร่างกายที่มีต่อมน้ำมันเข้มข้นสูง มีลักษณะเป็นผื่นแดง ผิวหนังอักเสบ และมีเกล็ดสีขาวหรือเหลืองเป็นขุย ซึ่งอาจทำให้รู้สึกคันและไม่สบายตัวได้ สาเหตุที่แท้จริงของ โรคเซ็บเดิร์มยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่คาดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของยีสต์บนผิวหนัง เช่นเดียวกับปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรค ได้แก่ ความเครียด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน อากาศหนาว และสภาวะทางการแพทย์บางอย่าง แล้วโรค เซ็บเดิร์ม รักษา ได้อย่างไร ? ก่อนอื่นเรามาดูอาการของโรคนี้กันก่อน
อาการของโรคเซ็บเดิร์ม
โรคเซ็บเดิร์ม เป็นโรคผิวหนังที่มีภาวะอักเสบจากต่อมไขมันในชั้นผิวหนัง อธิบายง่าย ๆ คือ เมื่อเป็นโรคเซ็บเดิร์มจะเกิดผื่นแดงตามผิวหนัง ขอบไม่ชัด ลอกเป็นแผ่น ตกสะเก็ดคล้ายรังแค มักเป็น ๆ หาย ๆ ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยบริเวณหนังศีรษะ, ใบหน้า, เปลือกตา, หน้าอก และแผ่นหลัง นอกจากนี้การเจ็บป่วยจากโรคหรือภาวะบางอย่าง เช่น โรคเกี่ยวกับระบบประสาทและโรคทางจิต เช่น โรคพาร์กินสัน โรคตับอ่อนอักเสบ พิษสุราเรื้อรัง และมะเร็งบางชนิด โรคเกี่ยวกับระบบต่อมไร้ท่อที่เป็นสาเหตุของโรคอ้วน เช่น เบาหวาน ก็เป็นอีกปัจจัยที่เสี่ยงต่อการเกิดเซ็บเดิร์มได้
เซ็บเดิร์มมีลักษณะและอาการดังนี้
- ผมร่วงบริเวณหนังศรีษะที่เป็นเซ็บเดิร์ม
- ผิวหนังในบริเวณเป็นเซ็บเดิร์มจะมีความมัน
- มีอาการแดง คัน
- ผิวลอก ตกสะเก็ด บางครั้งสะเก็ดที่หลุดลอกอาจจะเป็นสีเหลือง หรือขาว ที่เรียกว่ารังแค อาจจะเป็นได้บริเวณ ผม คิ้ว
อาการของเซ็บเดิร์มอาจมีลักษณะคล้ายกับโรคผิวหนังบางชนิด เช่น สิว สังเกตได้จากหากเป็นสิวอุดตัน จะมีลักษณะเป็นเม็ดเล็ก ๆ หัวปิดหัวเปิด ตุ่มดำ ตุ่มหนอง ตุ่มอักเสบ นอกจากนี้ก็ยังมีโรค SLE หรือโรคพุ่มพวง ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่สามารถแยกออกจากกันได้ เนื่องจากโรค SLE จะมีลักษณะเป็นผื่นแดงที่ข้างแก้มเหมือนปีกผีเสื้อ และไม่ได้อยู่ชิดบริเวณข้างจมูกเหมือนกับผื่นเซ็บเดิร์ม
อีกหนึ่งโรคที่มีผื่นขึ้นคล้ายกันก็คือ โรคผื่นแพ้สัมผัส ซึ่งลักษณะของผื่นคล้ายกับเซ็บเดิร์มมาก แต่เมื่อตรวจอย่างละเอียดจะสามารถแยกความแตกต่างระหว่างสองโรคได้ เพราะส่วนมากผู้ที่เป็นผื่นแพ้สัมผัสมักมีการเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ดูแลผิวใหม่ภายใน 1-2 สัปดาห์ ที่ผ่านมา เช่น สกินแคร์ยี่ห้อใหม่ โฟมล้างหน้ายี่ห้อใหม่ เป็นต้น ส่วนโรคผิวหนังอื่น ๆ อาจต้องตรวจละเอียดด้วยวิธีทางการแพทย์ คุณอาจสนใจบทความ การเลือกสกินแคร์ให้เหมาะกับสภาพผิว
การรักษาโรคเซ็บเดิร์ม
โรค เซ็บเดิร์ม รักษา ได้อย่างไร ? การรักษาโรคนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและบริเวณของร่างกายที่ได้รับผลกระทบ นี่คือตัวเลือกการรักษาบางอย่างที่แพทย์อาจแนะนำ
1. ยาต้านเชื้อราเฉพาะที่ ยาเหล่านี้ เช่น ketoconazole และ ciclopirox สามารถช่วยลดการอักเสบและต่อสู้กับยีสต์ที่ก่อให้เกิดผิวหนังอักเสบเซ็บเดิร์ม มักมีอยู่ในรูปของแชมพู ครีม หรือขี้ผึ้ง
2. ยาต้านการอักเสบเฉพาะที่ ยาเหล่านี้ เช่น คอร์ติโคสเตียรอยด์หรือสารยับยั้งแคลซินูริน สามารถช่วยลดการอักเสบและอาการคันที่เกี่ยวข้องกับผิวหนังอักเสบจากไขมัน อย่างไรก็ตาม การใช้ยาเหล่านี้ในระยะยาวอาจมีผลข้างเคียง ดังนั้นควรใช้ด้วยความระมัดระวัง
3. แชมพูยา หากผิวหนังอักเสบจากเซ็บเดิร์ม ส่งผลต่อหนังศีรษะ ใช้แชมพูยาที่มีส่วนผสมที่ออกฤทธิ์ เช่น กรดซาลิไซลิก หรือสังกะสี ไพริไธโอนสามารถช่วยลดการอักเสบและควบคุมอาการได้
4. การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิต การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิตบางอย่างอาจช่วยในการจัดการกับโรคเซ็บเดิร์ม เช่น การหลีกเลี่ยงสบู่หรือผงซักฟอกที่รุนแรง ลดความเครียด และออกกำลังกายเป็นประจำ แนะ 7 วิธีในการดูแลผิวให้ชุ่มชื้นขึ้น
5. การบำบัดด้วยแสง ในบางกรณีอาจใช้การส่องไฟเพื่อรักษาโรคเซ็บเดิร์ม สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการเปิดเผยผิวหนังที่ได้รับผลกระทบกับแสงเฉพาะประเภทที่สามารถลดการอักเสบและทำให้อาการดีขึ้น
สิ่งสำคัญคือต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างระมัดระวังและรักษาต่อไปแม้ว่าอาการจะดีขึ้นก็ตาม ในบางกรณี ผิวหนังอักเสบอาจเป็นภาวะเรื้อรัง แต่ด้วยการจัดการและการรักษาที่เหมาะสม จะสามารถควบคุมและลดอาการได้ ซึ่งวิธีการป้องกันโรคดังกล่าว คือหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีอากาศร้อนจัด / หนาวจัด, ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ดูและสภาพจิตใจไม่ให้เกิดความเครียด, ทาครีมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอ, ใช้ยาลดการอักเสบ-ยาฆ่าเชื้อรา, กรณีที่มีรอยโรคที่หนังศีรษะ รักษาโดยใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์, พักผ่อนให้เพียงพอ รวมไปถึงหลีกเลี่ยงการใช้ยาบางชนิด ที่กระตุ้นให้เกิดเซ็บเดิร์มได้ ในรายที่เป็นรุนแรงควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาซึ่งอาจมีการให้ยารับประทาน
ปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปทางการแพทย์ที่แน่ชัดถึงสาเหตุของโรคเซ็บเดิร์ม แต่แพทย์สันนิษฐานว่าปัจจัยอย่าง ระดับของฮอร์โมนที่แปรปรวน การมีเชื้อยีสต์บนผิวหนังมากขึ้น รวมถึงจากพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งผื่นเซ็บเดิร์มสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในหน้าร้อนและหน้าหนาว สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดโรคดังกล่าว การเกิดเซ็บเดิร์มไม่ได้มาจากการไม่รักษาความสะอาดหรืออาการภูมิแพ้แต่อย่างใด ไม่ใช่โรคติดต่อ
ส่วนคำถามที่ว่า เซ็บเดิร์ม รักษา หายขาดไหม ? คำตอบ คือ ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ อย่างไรก็ตาม ทารกแรกเกิด – 2 เดือน และผู้ใหญ่อายุตั้งแต่ 30-60 ปี มีโอกาสที่จะเป็นโรคนี้ได้มากกว่าวัยอื่น ๆ
ข้อควรปฏิบัติหลังเกิดผื่นเซ็บเดิร์ม
หลังจากมีอาการผื่นผิวหนังอักเสบหรือเกิดผื่นเซ็บเดิร์ม มีวิธีปฏิบัติหลายอย่างที่สามารถช่วยในการจัดการอาการและป้องกันการระบาดในอนาคต ต่อไปนี้คือคำแนะนำบางประการสำหรับสิ่งที่ต้องทำหลังจากผิวหนังอักเสบไม่ให้ลุกลาม ได้แก่ รักษาความสะอาด โดยใช้น้ำยาทำความสะอาดผิวที่อ่อนโยนและน้ำอุ่น เพื่อขจัดน้ำมันส่วนเกินหรือเซลล์ผิวที่ตายแล้ว หมั่นทามอยส์เจอไรเซอร์ เพื่อช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองและลดความแห้งกร้านได้ มองหามอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ปราศจากน้ำหอมและไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน และหลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของสุขอนามัยส่วนบุคคลร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดตัวหรือหวี เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค รวมถึง วิธีดูแลผิวหน้า เพื่อสุขภาพผิวที่ดี
และควรพบแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาอย่างถูกวิธี ซึ่งวิธีรักษาโรคนี้จะมีการใช้ยาทาเพียง 1-2 ชนิด ควบคู่ไปกับการปฏิบัติตนให้ถูกต้อง ดูแลตัวเองไม่ให้เกิดความเครียด หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางทุกชนิด ไม่แนะนำให้แต่งหน้าเพื่อปกปิดผื่นเซ็บเดิร์ม เพราะอาจไปกระตุ้นให้อาการแย่ลงหรือกลายเป็นผื่นชนิดอื่น เช่น การแพ้สัมผัสครีมหรือเครื่องสำอางบางตัว และอาจทำให้เกิดสิวได้อีกด้วย
โรคเซ็บเดิร์ม ห้ามกินอะไร
แม้ว่าจะไม่มีการระบุประเภทอาหารที่ก่อให้เกิดโรคอย่างแน่ชัด แต่งานวิจัยบางชิ้นพบความเชื่อมโยงระหว่างอาหาร (บางชนิด) ที่อาจเป็นตัวกระตุ้นก่อให้เกิดโรคได้ อย่างงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ถูกตีพิมพ์ใน Journal of Investigative Dermatology (2018) พบว่ารูปแบบการบริโภคอาหารแบบ “ตะวันตก” ที่ส่วนใหญ่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์และอาหารแปรรูปอย่าง ชีส, เต้าหู้, เค้ก, ขนมปัง, ซอสมะเขือเทศ, มันฝรั่งทอดกรอบรสเค็ม อาจเป็นสิ่งที่กระตุ้นทำให้เป็นเซ็บเดิร์มได้
เมื่อปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติเหล่านี้ จะช่วยให้จัดการกับอาการของโรคเซ็บเดิร์มและป้องกันการลุกลามในอนาคตได้ แต่ถ้าหากคุณมีอาการต่อเนื่องหรือรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการประเมินและการรักษาต่อไป
อ้างอิง
- What Triggers Seborrheic Dermatitis?. https://www.medicinenet.com/what_triggers_seborrheic_dermatitis/article.htm
- “เซ็บเดิร์ม“ หรือโรคผื่นแพ้ต่อมไขมัน โรคผิวหนังที่ต้องทำความรู้จัก. https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/เซ็บเดิร์ม-หรือโรคผื่/
-
ความหมาย เซบเดิม. https://www.pobpad.com/เซบเดิม