All Posts By

Rakphan Ladpli

acne

วิธีลดสิว ทำความเข้าใจปัญหาของสิว พร้อมเทคนิคดูแลผิวหน้าด้วยตัวเอง

April 1, 2024
วิธีลดสิว

วิธีลดสิว ต้องอาศัยการจัดการที่หลากหลาย ตั้งแต่การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวอย่างถูกต้อง ไปจนถึงการดูแลสุขภาพจากภายใน เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ บทความนี้จะมาแนะนำเกี่ยวกับการจัดการกับปัญหาสิว ไม่ว่าจะเป็นการเข้าใจสาเหตุที่ทำให้เกิดสิว, การเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสม, การดูแลรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนัง, การเลือกอาหารเสริมลดน้ำหนักที่สนับสนุนสุขภาพที่ดี และการหาวิธีลดความเครียดที่ส่งผลต่อสุขภาพผิว โดยจะพาคุณมาทำความรู้จักกับเทคนิคและแนวทางต่าง ๆ เพื่อช่วยให้คุณมีสุขภาพผิวที่สดใสและห่างไกลจากปัญหาสิว

 

ทำความเข้าใจสาเหตุของปัญหาสิว

สิวเป็นปัญหาผิวหนังที่พบบ่อย ซึ่งเกิดจากรูขุมขนที่อุดตันด้วยน้ำมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว รวมถึงการแพร่กระจายของแบคทีเรีย เหตุผลหลักๆ ที่ทำให้เกิดสิวมีหลายประการ ดังนี้

  • การผลิตน้ำมันมากเกินไป: การผลิตน้ำมันหรือเสียสมานมากเกินไปบนผิวหนังสามารถนำไปสู่การอุดตันของรูขุมขนได้ ซึ่งเป็นสภาพที่เหมาะสำหรับการเติบโตของแบคทีเรีย ทำให้เกิดการอักเสบและการเกิดสิว
  • การสะสมของเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว: เซลล์ผิวที่ไม่หลุดออกไปอย่างเหมาะสมอาจสะสมที่ผิวหนังและผสมกับน้ำมันบนผิวหนัง ทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน
  • การเจริญเติบโตของแบคทีเรีย: แบคทีเรียชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Propionibacterium acnes มีอยู่บนผิวหนังและสามารถเจริญเติบโตในรูขุมขนที่อุดตันได้ ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบและสิว
  • ฮอร์โมน: การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน เช่น ในช่วงวัยรุ่น การตั้งครรภ์ หรือก่อนมีประจำเดือน อาจกระตุ้นให้ผิวหนังผลิตน้ำมันมากขึ้น นำไปสู่การเกิดสิวได้
  • อาหารและความเครียด: อาหารบางประเภท เช่น อาหารที่มีน้ำตาลสูง และความเครียด สามารถส่งเสริมการเกิดสิวได้ การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพและการจัดการกับความเครียดอย่างเหมาะสมอาจช่วยลดโอกาสในการเกิดสิว

การเข้าใจสาเหตุของสิวอาจช่วยให้เราสามารถป้องกันหรือลดการเกิดสิวได้ดีขึ้น การดูแลรักษาความสะอาดของผิวหนัง การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการจัดการกับความเครียดเป็นวิธีที่ช่วยในการควบคุมและป้องกันสิวได้

 

วิธีลดสิว เทคนิคดูแลผิวหน้าด้วยตัวเอง

วิธีลดสิว เทคนิคดูแลผิวหน้าด้วยตัวเอง

การดูแลผิวเพื่อป้องกันการอุดตันของรูขุมขน

การดูแลผิวหนังอย่างเหมาะสมเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันสิวอุดตัน การเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมและการมีกิจวัตรการดูแลผิวที่ถูกต้องสามารถช่วยลดโอกาสในการเกิดสิวและรักษาผิวให้สุขภาพดี

  • ล้างหน้าให้สะอาด: การล้างหน้าสองครั้งต่อวันด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนช่วยลดการสะสมของน้ำมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว โดยไม่ทำให้ผิวหนังเสียความชุ่มชื้น
  • เลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิว: การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่อุดตันรูขุมขนหรือไม่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบสำคัญ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคำว่า “non-comedogenic” บนฉลาก
  • การใช้มอยส์เจอไรเซอร์: แม้ผิวของคุณจะมีน้ำมันมาก การใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่เหมาะสมสำหรับประเภทผิวของคุณช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นที่สมดุลและลดโอกาสในการผลิตน้ำมันเกินไป
  • การใช้ครีมกันแดดที่เหมาะสม: ครีมกันแดดสำคัญสำหรับการป้องกันผิวจากรังสียูวีที่เป็นอันตราย ควรเลือกครีมกันแดดที่ไม่อุดตันรูขุมขนและเหมาะสมกับผิวเป็นสิว
  • ลดการใช้เครื่องสำอางหนา ๆ: เครื่องสำอางที่หนาและมีน้ำมันมากสามารถอุดตันรูขุมขนได้ หากจำเป็นต้องใช้ เลือกผลิตภัณฑ์ที่เบาและมีคำแนะนำว่าไม่ทำให้เกิดสิว

การดูแลผิวอย่างถูกวิธีไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันการอุดตันของรูขุมขนเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีและรักษาความสมดุลของน้ำมันบนผิวได้อีกด้วย

 

อาหารและการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพผิวที่ดี

การดูแลสุขภาพผิวไม่ได้จำกัดอยู่แค่การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการบริโภคอาหารที่ดีและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อาหารที่เหมาะสมและการออกกำลังกายไม่เพียงแต่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง แต่ยังมีผลโดยตรงต่อสุขภาพและความงามของผิว

  • รับประทานผักและผลไม้มากขึ้น: ผักและผลไม้เต็มไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันและซ่อมแซมผิวจากความเสียหายที่เกิดจากรังสี UV และมลภาวะ
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ: การดื่มน้ำช่วยให้ผิวหนังไม่ขาดน้ำ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของผิวแห้งและลอกเป็นขุย การดื่มน้ำเพียงพอช่วยให้ผิวดูอิ่มเอิบและเปล่งปลั่ง
  • เลือกอาหารที่มีโอเมก้า-3: อาหารที่มีโอเมก้า-3 เช่น ปลาแซลมอน และงา ช่วยลดการอักเสบของผิวและปรับปรุงคุณภาพผิว ทำให้ผิวมีสุขภาพดี
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ทำให้เซลล์ผิวได้รับออกซิเจนและสารอาหารที่เพียงพอ นอกจากนี้ยังช่วยลดความเครียดซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของสิว
  • ลดการบริโภคอาหารที่ทำให้เกิดการอักเสบ: อาหารที่มีน้ำตาลสูง อาหารแปรรูป และอาหารมันเกินไปสามารถทำให้เกิดการอักเสบและปัญหาผิว เช่น สิว การลดการบริโภคเหล่านี้สามารถช่วยปรับปรุงสภาพผิวได้

การดูแลผิวจากภายในสู่ภายนอกด้วยการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นวิธีที่ยั่งยืนในการรักษาสุขภาพและความงามของผิว

 

การเลือกสกินแครร์สำหรับผู้ที่มีปัญหาสิว

การเลือกสกินแครร์สำหรับผู้ที่มีปัญหาสิว

ขั้นตอนสำหรับการเลือกสกินแคร์ที่เหมาะกับปัญหาผิว สามารถช่วยควบคุมและป้องกันการเกิดสิว ส่วนผสมที่ถูกต้องสามารถช่วยลดการอักเสบและป้องกันการเกิดสิวใหม่ได้

  • ซาลิไซลิกแอซิด: ช่วยลดการอุดตันของรูขุมขนโดยช่วยในการลอกเซลล์ผิวที่ตายแล้ว นอกจากนี้ยังช่วยลดการอักเสบและเป็นสารต่อต้านแบคทีเรีย
  • เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์: ทำงานโดยการฆ่าแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของสิวและช่วยลดการอักเสบ สามารถช่วยให้สิวยุบเร็วขึ้น
  • กรดไฮยาลูโรนิก: เป็นสารช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นโดยไม่ทำให้ผิวหน้ามันเกินไป ช่วยให้ผิวที่เป็นสิวมีความชุ่มชื้นและลดความเสี่ยงของการเกิดสิวจากผิวที่แห้งเกินไป
  • กรดอะซีลิก: ช่วยควบคุมการผลิตน้ำมันบนผิวหนัง ลดการอุดตันของรูขุมขน และมีผลต่อต้านแบคทีเรีย

การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมเหล่านี้อย่างรอบคอบสามารถช่วยให้คุณจัดการกับปัญหาสิวได้มีประสิทธิภาพ แต่สำคัญที่สุดคือต้องใช้สินค้าเหล่านี้อย่างต่อเนื่องและควบคู่ไปกับการดูแลผิวอย่างถูกวิธีอื่นๆ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

 

การลดน้ำหนักและผลกระทบต่อสุขภาพผิว

การลดน้ำหนักอย่างมีสุขภาพดีมีส่วนช่วยให้ผิวดูดีขึ้นได้ โดยการเข้าใจและเลือกอาหารเสริมลดน้ำหนักที่เหมาะสมสามารถช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้โดยไม่ทำร้ายผิว

  • ความสำคัญของการเลือกอาหารเสริมที่เหมาะสม: การเลือกอาหารเสริมที่มีส่วนผสมที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพผิว เช่น วิตามิน C, E และโอเมก้า-3 สามารถช่วยให้ผิวมีสุขภาพดีระหว่างกระบวนการลดน้ำหนัก
  • อ่านฉลากส่วนผสมอย่างละเอียด: การตรวจสอบส่วนผสมในอาหารเสริมเพื่อหลีกเลี่ยงสารที่อาจก่อให้เกิดการอักเสบหรือปัญหาผิว เช่น ส่วนผสมที่คุณอาจแพ้
  • การเลือกอาหารเสริมที่ช่วยลดน้ำหนักอย่างปลอดภัย: อาหารเสริมที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ เช่น สารสกัดจากชาเขียวหรือเคอร์ซูมิน ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยในการลดน้ำหนัก แต่ยังช่วยให้ผิวพรรณดีขึ้น
  • การดูแลรักษาความชุ่มชื้นของผิวระหว่างลดน้ำหนัก: การรักษาความชุ่มชื้นของผิวเป็นสิ่งสำคัญในระหว่างการลดน้ำหนัก การดื่มน้ำเพียงพอและใช้อาหารเสริมที่มีส่วนช่วยในการรักษาความชุ่มชื้นของผิวสามารถช่วยป้องกันผิวแห้งและช่วยให้ผิวดูเปล่งปลั่ง

 

การจัดการความเครียดและสุขภาพผิว

การจัดการกับความเครียดและสุขภาพผิว

ความเครียดไม่เพียงแต่ส่งผลต่อจิตใจและร่างกายของเรา แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพผิวด้วย การพบวิธีการลดความเครียดและผ่อนคลายอาจเป็นกุญแจสำคัญในการมีผิวพรรณที่ดีและลดโอกาสในการเกิดปัญหาผิว เช่น สิว

  • การฝึกโยคะ: โยคะเป็นวิธีการที่ยอดเยี่ยมในการลดความเครียด โดยการฝึกโยคะสามารถช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและส่งเสริมการหายใจอย่างลึกซึ้ง ช่วยให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย
  • การทำสมาธิ: การทำสมาธิช่วยให้จิตใจสงบและลดระดับความเครียดในร่างกาย การฝึกสมาธิเป็นประจำสามารถช่วยให้คุณจัดการกับความเครียดในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น ลดผลกระทบต่อผิวพรรณ
  • กิจกรรมที่ช่วยให้ผ่อนคลาย: กิจกรรมที่คุณรู้สึกสนุกและช่วยให้ผ่อนคลาย เช่น การวาดภาพ การเล่นดนตรี หรือการอ่านหนังสือ สามารถช่วยลดความเครียดและมีผลบวกต่อสุขภาพผิว
  • การนวด: การนวดไม่เพียงแต่ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย แต่ยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ซึ่งดีต่อสุขภาพผิว การนวดสามารถช่วยลดความเครียดและส่งเสริมการฟื้นฟูผิว
  • การฝึกหายใจ: การฝึกหายใจลึกๆ เป็นวิธีง่ายๆ ในการลดความเครียดทันที การหายใจอย่างมีสติช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและลดความตึงเครียดได้เร็ว

การเรียนรู้วิธีการจัดการกับความเครียดเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพผิวที่ดี การลดความเครียดไม่เพียงช่วยให้จิตใจสงบ แต่ยังมีผลดีต่อสุขภาพและความงามของผิวพรรณด้วย

 

การดูแลรักษาสิวและสุขภาพผิวที่ดีไม่ใช่เรื่องที่ยากถ้าเรารู้จักวิธีการจัดการที่ถูกต้องและมีวินัยในการดูแลตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสมกับปัญหาสิว, การดูแลรักษาความสะอาดและความชุ่มชื้นของผิว, การเลือกรับประทานอาหารและออกกำลังกายเพื่อสุขภาพผิวที่ดี, การเลือกอาหารเสริมสำหรับการลดน้ำหนักที่ไม่ส่งผลเสียต่อผิว, และการจัดการกับความเครียด ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้คุณมีผิวพรรณที่สดใสและห่างไกลจากปัญหาสิว

คำถามที่พบบ่อย

1. ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวชนิดใดที่ควรหลีกเลี่ยงหากมีปัญหาสิว?
ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันสูง, ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่อาจระคายเคืองผิว เช่น แอลกอฮอล์และน้ำหอม, และผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มีการระบุว่าเป็น “non-comedogenic”

2. อาหารชนิดใดที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อป้องกันสิว?
ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง, อาหารแปรรูป, และอาหารที่มีไขมันสูง เพราะอาจกระตุ้นการเกิดสิวได้

3. การออกกำลังกายส่งผลอย่างไรต่อสิว?
การออกกำลังกายช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและลดความเครียด ซึ่งทั้งสองปัจจัยนี้ช่วยป้องกันและลดการเกิดสิวได้ แต่ควรล้างหน้าทันทีหลังออกกำลังกายเพื่อลดการอุดตันของรูขุมขน

4. ความเครียดส่งผลต่อสิวอย่างไร?
ความเครียดสามารถกระตุ้นให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนที่ทำให้ผิวหนังผลิตน้ำมันมากขึ้น ซึ่งน้ำมันเพิ่มเติมนี้สามารถนำไปสู่การอุดตันของรูขุมขนและเกิดสิวได้

อ้างอิง:

acne skin care

วิธีเลือกสกินแคร์สำหรับคนเป็นสิว ส่วนผสมที่แนะนำและควรหลีกเลี่ยง

April 1, 2024
วิธีเลือกสกินแคร์สำหรับคนเป็นสิว

วิธีเลือกสกินแคร์สำหรับคนเป็นสิว ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะสิวเป็นหนึ่งในปัญหาผิวพรรณที่ท้าทายและสามารถเกิดจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมน การอุดตันของรูขุมขน หรือแม้กระทั่งสภาพแวดล้อมและวิถีชีวิต การรู้จักและเข้าใจประเภทของผิวพรรณของตนเองจึงเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสม เพื่อช่วยลดปัญหาสิวและปรับปรุงสุขภาพผิวให้ดียิ่งขึ้น บทความนี้จะมาแนะนำวิธีเลือกสกินแคร์สำหรับคนที่มีปัญหาสิว โดยจะกล่าวถึงสิวและประเภทของผิว พร้อมทั้งแนะนำส่วนผสมหลักที่ควรมองหาในสกินแคร์ เพื่อช่วยให้คุณเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมและหลีกเลี่ยงส่วนผสมที่อาจทำให้สภาพผิวแย่ลง นอกจากนี้ยังรวมถึงการอ่านฉลากผลิตภัณฑ์และรีวิวจากผู้ใช้จริง เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจที่ดีที่สุดสำหรับผิวของคุณ

 

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิว และประเภทของผิว

สิวเป็นปัญหาผิวพรรณที่พบได้บ่อย ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัยรวมกัน การรู้จักและเข้าใจประเภทผิวของตัวเองไม่เพียงแต่ช่วยให้เลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสมได้ดีขึ้น แต่ยังช่วยลดโอกาสในการเกิดสิวอีกด้วย

  • ผิวมัน: ผิวที่ผลิตน้ำมันมากกว่าปกติ มักเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิว เนื่องจากน้ำมันสามารถอุดตันรูขุมขนได้ ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมเช่นกรดซาลิไซลิคจึงเหมาะสำหรับประเภทผิวนี้เพื่อช่วยลดการอุดตันและควบคุมน้ำมันบนผิวหน้า
  • ผิวผสม: ผิวที่มีทั้งพื้นที่ที่ผลิตน้ำมันมากและพื้นที่ที่แห้ง เช่น ผลิตน้ำมันมากบริเวณ T-zone แต่แห้งบริเวณแก้ม การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่สามารถควบคุมน้ำมันโดยไม่ทำให้ผิวแห้งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับประเภทผิวนี้
  • ผิวแห้ง: ผิวที่มีน้ำมันน้อย มักไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องสิวจากการอุดตัน แต่สามารถเกิดสิวได้จากการระคายเคืองหรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้ ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นโดยไม่ทำให้รูขุมขนอุดตันเหมาะสำหรับผิวแห้ง
  • ผิวธรรมดา: ผิวที่มีสมดุลทั้งน้ำมันและความชื้น ผู้ที่มีผิวธรรมดาอาจใช้ผลิตภัณฑ์ทั่วไปได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่อาจทำให้ผิวแห้งหรือกระตุ้นการผลิตน้ำมันมากเกินไป

การเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสมกับประเภทผิวของคุณเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยลดปัญหาสิวและรักษาสุขภาพผิวให้ดีที่สุด

 

ส่วนผสมหลักของสกินแคร์ที่ควรมองหา

ส่วนผสมหลักของสกินแคร์ที่ควรมองหา

ในการต่อสู้กับปัญหาสิว การเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่สุด บางส่วนผสมมีคุณสมบัติพิเศษในการช่วยลดการอุดตัน การอักเสบ และการผลิตน้ำมันบนผิว ด้านล่างนี้คือส่วนผสมที่ควรมองหาเมื่อเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิว

  • กรดซาลิไซลิค (Salicylic Acid): กรดชนิดนี้สามารถทะลุผ่านชั้นน้ำมันบนผิวหนังได้ ช่วยในการละลายเซลล์ผิวที่ตายแล้วซึ่งอาจอุดตันรูขุมขน ทำให้เป็นส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับการจัดการกับสิวและป้องกันการเกิดใหม่
  • นิอาซินาไมด์ (Niacinamide): นิอาซินาไมด์เป็นวิตามินที่ช่วยลดการอักเสบและแดงของผิวจากสิว นอกจากนี้ยังช่วยควบคุมการผลิตน้ำมันของผิวหนัง ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวมันและผิวผสม
  • เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide): เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของสิว ช่วยลดการอักเสบและเป็นส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพในการรักษาสิวที่เกิดจากแบคทีเรีย

การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมเหล่านี้สามารถช่วยให้คุณจัดการกับปัญหาสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนำไปสู่ผิวหน้าที่ดูสุขภาพดีขึ้น

ส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ที่แนะนำ

การเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวไม่เพียงแค่ช่วยแก้ไขปัญหาที่มีอยู่แล้ว แต่ยังเป็นวิธีป้องกันสิวอุดตันไม่ให้เกิดปัญหาใหม่อีกด้วย ผลิตภัณฑ์ด้านล่างนี้ถูกคัดสรรมาเพื่อเป็นตัวช่วยในการบำรุงผิวและช่วยลดปัญหาสิวได้เป็นอย่างดี

  • Cleanser A: ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวนี้มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิคที่เหมาะสมกับผู้ที่ต้องการลดการอุดตันของรูขุมขนและควบคุมน้ำมันส่วนเกินบนผิวหน้า การใช้งานสม่ำเสมอช่วยให้ผิวหน้าสะอาดและลดการเกิดสิวได้
  • Toner A: โทนเนอร์ที่มีการผสมผสานระหว่างนิอาซินาไมด์และกรดซาลิไซลิค ช่วยในการควบคุมความมันและกระชับรูขุมขน ใช้หลังจากการทำความสะอาดผิว เพื่อเตรียมผิวให้พร้อมรับการบำรุงในขั้นตอนถัดไป
  • Moisturizer A: ครีมบำรุงผิวแบบไม่มีน้ำมันนี้ออกแบบมาเพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวโดยไม่ทำให้เกิดการอุดตัน สามารถช่วยให้ผิวที่เป็นสิวได้รับการบำรุงอย่างเหมาะสมโดยไม่เพิ่มความมันหรือปัญหาสิวเพิ่มเติม

การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ในรูปแบบการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอไม่เพียงแต่ช่วยให้ผิวหน้าสะอาดและลดการเกิดสิวได้ แต่ยังช่วยให้ผิวดูสุขภาพดีและมีชีวิตชีวาอีกด้วย

ส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ที่ควรหลีกเลี่ยง

การเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเพื่อการรักษาสิวไม่เพียงแค่มองหาส่วนผสมที่มีประโยชน์เท่านั้น แต่ยังต้องระมัดระวังเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่อาจทำให้สภาพผิวแย่ลง บางส่วนผสมอาจกระตุ้นการเกิดสิวหรือทำให้ปัญหาสิวที่มีอยู่แย่ลง

  • ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมันหนักๆ: ครีมหรือโลชั่นที่มีส่วนผสมของน้ำมันหนัก เช่น น้ำมันมิเนอรัล หรือน้ำมันมะกอก อาจทำให้รูขุมขนอุดตันมากขึ้น ส่งผลให้เกิดสิวเพิ่ม
  • ส่วนผสมที่มีแอลกอฮอล์สูง: ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบหลักอาจทำให้ผิวแห้งและระคายเคือง ซึ่งเป็นสภาวะที่ทำให้ผิวพยายามผลิตน้ำมันมากขึ้นเพื่อชดเชย ส่งผลให้เกิดสิว
  • ผลิตภัณฑ์ที่มีซิลิโคน: ซิลิโคนเป็นส่วนผสมที่พบบ่อยในเครื่องสำอาง เช่น ไพรเมอร์หรือรองพื้น ซึ่งอาจทำให้รูขุมขนอุดตันได้ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีซิลิโคนสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิว

การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสมต้องหลีกเลี่ยงส่วนผสมที่อาจทำให้ปัญหาสิวเ worse worsen เพื่อช่วยให้การรักษาสิวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและป้องกันการเกิดสิวใหม่

 

อ่านและเข้าใจฉลากผลิตภัณฑ์สกินแคร์

อ่านและเข้าใจฉลากผลิตภัณฑ์สกินแคร์

การเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสมกับผิวที่มีปัญหาสิวต้องอาศัยการอ่านและเข้าใจฉลากผลิตภัณฑ์อย่างถูกต้อง สิ่งนี้ช่วยให้คุณสามารถหลีกเลี่ยงส่วนผสมที่อาจกระตุ้นปัญหาสิวเพิ่มเติมและเลือกส่วนผสมที่ช่วยบำรุงผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • ระบุส่วนผสมหลัก: ส่วนผสมที่แสดงอยู่ที่ด้านบนสุดของรายการมักจะเป็นส่วนผสมหลักของผลิตภัณฑ์ การรู้จักและเข้าใจส่วนผสมเหล่านี้ช่วยให้คุณประเมินได้ว่าผลิตภัณฑ์นั้นเหมาะสมกับผิวของคุณหรือไม่
  • หาส่วนผสมที่ควรหลีกเลี่ยง: ค้นหาส่วนผสมที่คุณทราบว่าอาจทำให้เกิดปัญหาสำหรับผิวของคุณ เช่น น้ำมันหนักๆ, แอลกอฮอล์, หรือซิลิโคน หากพบส่วนผสมเหล่านี้อยู่ในผลิตภัณฑ์ คุณอาจต้องการหลีกเลี่ยง
  • สัญลักษณ์และการรับรอง: สัญลักษณ์ต่างๆ เช่น “ไม่ทดลองกับสัตว์”, “ไม่มีสารก่อภูมิแพ้”, หรือ “ไม่อุดตันรูขุมขน” สามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ได้ ช่วยให้คุณเลือกผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการและค่านิยมของคุณ

การอ่านและเข้าใจฉลากผลิตภัณฑ์เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้คุณเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสม ลดโอกาสในการเกิดปัญหาสิวเพิ่มเติม และช่วยให้ผิวของคุณดูและรู้สึกดีขึ้น

 

รีวิวและประสบการณ์จากผู้ใช้จริง

รีวิวและประสบการณ์จากผู้ใช้จริงเป็นแหล่งข้อมูลที่มีค่าในการตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เนื่องจากมันให้มุมมองที่หลากหลายและเปิดเผยถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงกับผู้คนที่มีสภาพผิวแตกต่างกัน

  • ความหลากหลายของรีวิว: รีวิวจากผู้ใช้จริงมีความหลากหลาย ทำให้คุณเห็นภาพรวมของประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ในแง่มุมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเหมาะสมกับประเภทผิวการลดสิว หรือการควบคุมความมัน
  • รีวิวการใช้งานจริง: ประสบการณ์จริงจากผู้ใช้เปิดเผยเรื่องราวการใช้งานและผลลัพธ์ที่ได้ ซึ่งสามารถช่วยให้คุณประเมินว่าผลิตภัณฑ์นั้นอาจเหมาะสมกับสภาพและความต้องการของผิวของคุณหรือไม่
  • คำแนะนำและเคล็ดลับ: ในบางครั้ง รีวิวและประสบการณ์จากผู้ใช้ยังรวมถึงคำแนะนำหรือเคล็ดลับในการใช้งานที่สามารถช่วยให้คุณได้รับประสิทธิภาพสูงสุดจากผลิตภัณฑ์

รีวิวและประสบการณ์จากผู้ใช้เป็นแหล่งข้อมูลในการตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์ช่วยให้คุณมีมุมมองที่กว้างขึ้นและเข้าใจว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ อาจทำงานได้ดีเพียงใดสำหรับคุณ ทำให้คุณสามารถเลือกผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการและเหมาะสมกับผิวของคุณได้มากยิ่งขึ้น

 

วิธีเลือกสกินแคร์สำหรับคนเป็นสิว เป็นกระบวนการที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับประเภทผิวและสามารถช่วยแก้ไขปัญหาสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ การรู้จักประเภทผิวของตัวเอง การเลือกส่วนผสมที่เหมาะสม การหลีกเลี่ยงส่วนผสมที่อาจทำให้สภาพผิวแย่ลง และการอ่านฉลากผลิตภัณฑ์อย่างละเอียดเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจากการดูแลผิว นอกจากนี้ การพิจารณาคำวิจารณ์และประสบการณ์จากผู้ใช้จริงยังเป็นวิธีที่ดีในการประเมินคุณภาพและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์

คำถามที่พบบ่อย

1. กรดซาลิไซลิคช่วยเรื่องสิวอย่างไร?
กรดซาลิไซลิคช่วยละลายเซลล์ผิวที่ตายแล้วและลดการอุดตันของรูขุมขน ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเกิดสิว

2. สกินแคร์ที่มีน้ำมันสามารถใช้กับผิวเป็นสิวได้หรือไม่?
ควรหลีกเลี่ยงสกินแคร์ที่มีน้ำมันหนักๆ เพราะอาจทำให้รูขุมขนอุดตันมากขึ้น ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีน้ำมันหรือมีน้ำมันเบาๆ ที่ไม่ทำให้เกิดการอุดตัน

3. เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ใช้แล้วทำไมผิวถึงแห้ง?
เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์มีฤทธิ์ในการต่อต้านแบคทีเรียและลดการอักเสบของสิว แต่อาจทำให้ผิวแห้งได้ เพื่อป้องกัน ควรใช้ครีมบำรุงที่ให้ความชุ่มชื้นหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์

4. นิอาซินาไมด์ช่วยลดสิวได้อย่างไร?
นิอาซินาไมด์ช่วยลดการอักเสบและแดงของผิวจากสิว ช่วยควบคุมการผลิตน้ำมันของผิวหนัง และเสริมสร้างการป้องกันผิว ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถช่วยลดการเกิดสิวและปรับปรุงสภาพผิวให้ดีขึ้น

อ้างอิง:

acne

วิธีป้องกันสิวอุดตัน เคล็ดลับดูแลผิวสวย เพื่อสุขภาพผิวที่ดี

April 1, 2024
วิธีป้องกันสิวอุดตัน

วิธีป้องกันสิวอุดตัน ไม่ได้เป็นเรื่องยากหากเรามีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการดูแลผิว ทั้งนี้การดูแลผิวอย่างเหมาะสมสามารถช่วยลดการเกิดสิวและป้องกันปัญหาผิวหนังเรื้อรังได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะแนะนำวิธีการดูแลผิวที่ถูกวิธี ตั้งแต่การเข้าใจสาเหตุของสิวอุดตันไปจนถึงการเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์เพื่อช่วยให้ผิวของคุณดูสุขภาพดี รวมถึงลดความเสี่ยงของการเกิดสิวให้น้อยที่สุด

 

ทำความเข้าใจสิวอุดตัน

การเข้าใจสิวอุดตันเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการและป้องกันปัญหาสิวที่เกิดขึ้นบนผิวหน้าและร่างกาย สิวอุดตันไม่เพียงแต่ทำให้เกิดความไม่สบายใจทางด้านรูปลักษณ์ แต่ยังสามารถนำไปสู่ปัญหาผิวหนังเรื้อรังหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

  • น้ำมันเกินปกติ (Sebum): ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไปจนทำให้รูขุมขนอุดตัน ส่งผลให้เกิดสิวเนื่องจากผิวหนังไม่สามารถกำจัดน้ำมันส่วนเกินได้ การผลิตน้ำมันมากเกินไปอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน, ความเครียด และปัจจัยทางพันธุกรรม
  • เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว: เมื่อเซลล์ผิวหนังตายสะสมอยู่บนผิวหน้าและไม่ถูกลอกออกอย่างถูกต้อง จะเกิดการอุดตันร่วมกับน้ำมันในรูขุมขน เซลล์ผิวที่ตายแล้วเหล่านี้ควรจะหลุดลอกออกไปโดยธรรมชาติ แต่บางครั้งอาจต้องใช้วิธีขัดผิวเพื่อกระตุ้นการหลุดลอก
  • สิวหัวดำ: เมื่อน้ำมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้วอุดตันที่ปากของรูขุมขนและสัมผัสกับอากาศ จะเกิดการออกซิไดซ์ทำให้กลายเป็นสีดำ สิวหัวดำไม่ได้แสดงถึงความสกปรก แต่เป็นผลจากการออกซิไดซ์ของเม็ดสีเมลานินในน้ำมันและเซลล์ที่ตายแล้ว
  • สิวหัวขาว: ประเภทของสิวที่เกิดเมื่อน้ำมันและเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วอุดตันอยู่ภายในรูขุมขนโดยไม่ได้สัมผัสกับอากาศ ทำให้เกิดเป็นปุ่มเล็กๆ ที่มีสีขาวหรือสีผิว สิวหัวขาวเกิดจากการอุดตันที่เกิดขึ้นลึกในรูขุมขนและต้องการการดูแลเพื่อป้องกันการติดเชื้อและการอักเสบ

การเข้าใจสาเหตุและการเกิดของสิวอุดตันเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการป้องกันและรักษาสิวให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด การดูแลรักษาที่เหมาะสมและการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวอย่างรอบคอบสามารถช่วยลดการเกิดสิวอุดตันและปรับปรุงสภาพผิวให้ดูดีขึ้น

 

วิธีป้องกันสิวอุดตัน เคล็ดลับดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ

วิธีป้องกันสิวอุดตัน เคล็ดลับดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ

การดูแลผิวอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาผิวหน้าให้มีสุขภาพดีและป้องกันปัญหาสิวอุดตัน กิจวัตรประจำวันเหล่านี้ช่วยให้ผิวของคุณสะอาด ชุ่มชื้น และป้องกันจากรังสียูวีที่อาจทำให้เกิดปัญหาผิวเพิ่มเติม

  • การทำความสะอาดผิว: เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่อ่อนโยนเพื่อล้างออกทั้งสิ่งสกปรกและน้ำมันส่วนเกินโดยไม่ทำให้ผิวหนังเสียสมดุล ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดสิวจะช่วยลดโอกาสของการอุดตันของรูขุมขน
  • การขัดผิว: การขัดผิวช่วยเร่งการหลุดลอกของเซลล์ผิวที่ตายแล้ว เลือกผลิตภัณฑ์ขัดผิวที่เหมาะสมกับประเภทผิวของคุณเพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคือง การขัดผิวด้วยสารเคมีเช่น AHA หรือ BHA สามารถช่วยลดการอุดตันและปรับปรุงสภาพผิว
  • การให้ความชุ่มชื้น: ครีมบำรุงผิวที่มีสูตรไม่ก่อให้เกิดสิวเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิว การใช้ครีมบำรุงผิวที่เหมาะสมช่วยให้ผิวหนังรักษาความชุ่มชื้นโดยไม่เพิ่มโอกาสการเกิดสิว
  • การป้องกันแดด: ครีมกันแดดเป็นส่วนสำคัญของการดูแลผิวที่ไม่ควรละเลย ใช้ครีมกันแดดที่เหมาะสมกับผิวมันหรือผิวที่มีปัญหาสิว เพื่อป้องกันการเกิดสิวจากการแสดงตัวของรังสียูวีและป้องกันความเสียหายจากแดดที่อาจนำไปสู่การเกิดสิวอักเสบ

การเข้าใจและปฏิบัติตามกิจวัตรดูแลผิวเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันสิวอุดตันและปัญหาผิวอื่นๆ แต่ยังช่วยให้ผิวของคุณดูสุขภาพดีและมีชีวิตชีวาอีกด้วย

 

วิธีป้องกันสิวอุดตัน การดูแลผิวหน้าด้วยเทคนิคขั้นสูง

เมื่อพูดถึงการดูแลผิวหน้า การใช้ผลิตภัณฑ์และการรักษาที่เหมาะสมสามารถช่วยแก้ไขปัญหาผิวเฉพาะเจาะจงได้ดียิ่งขึ้น การใช้เซรั่มและการเข้ารับการรักษาจากผู้เชี่ยวชาญไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันการเกิดสิวเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผิวของคุณดูสุขภาพดีและมีชีวิตชีวา

  • การใช้เซรั่มบำรุงผิว: เซรั่มที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิคหรือไนอาซินาไมด์ช่วยควบคุมการผลิตน้ำมันและลดการอักเสบของผิว กรดซาลิไซลิคช่วยในการละลายน้ำมันและสิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขน ในขณะที่ไนอาซินาไมด์ช่วยลดการอักเสบและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
  • การรักษาจากผู้เชี่ยวชาญ: การปรึกษากับแพทย์ผิวหนังเพื่อเข้ารับการรักษาที่เหมาะสม เช่น การทำเฟเชียล, การดูดสิว, หรือการทำเคมีผิว สามารถช่วยให้ผิวหน้าของคุณดูสดใสและลดปัญหาผิวหนัง เฟเชียลช่วยทำความสะอาดผิวอย่างล้ำลึก ในขณะที่การดูดสิวช่วยเอาเซลล์ผิวที่ตายแล้วและสิ่งสกปรกออกจากรูขุมขน
  • การใช้สารเคมีผิว: การทำเคมีผิวด้วยสารเคมีที่เหมาะสมกับประเภทผิวสามารถช่วยลอกเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และเผยผิวใหม่ที่ดูสุขภาพดีขึ้น การรักษานี้ควรทำภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญเพื่อป้องกันการระคายเคืองและปัญหาผิวหนังที่อาจตามมา

การใช้เทคนิคการดูแลผิวขั้นสูงเหล่านี้ร่วมกับกิจวัตรดูแลผิวประจำวันของคุณสามารถช่วยให้คุณบรรลุผลลัพธ์ที่ต้องการได้ ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันสิว ลดริ้วรอย หรือแม้แต่ปรับปรุงโทนสีผิวให้สม่ำเสมอและดูสุขภาพดี

 

วิธีป้องกันสิวอุดตัน ความสำคัญของไลฟ์สไตล์และอาหาร

วิธีป้องกันสิวอุดตัน ความสำคัญของไลฟ์สไตล์และอาหาร

การดูแลผิวไม่ได้จำกัดอยู่แค่การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการดูแลสุขภาพจากภายในด้วยการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และการมีไลฟ์สไตล์ที่ดี เช่นการออกกำลังกายเป็นประจำ ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถช่วยให้ผิวของคุณดูสุขภาพดีและลดความเสี่ยงของการเกิดสิวได้

  • การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์: อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ เช่น ผัก ผลไม้ และโปรตีนจากแหล่งที่ดี สามารถช่วยบำรุงผิวจากภายใน การรับประทานอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 อย่างปลาทะเล และการลดการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง สามารถช่วยลดการอักเสบและปรับปรุงสภาพผิว
  • การออกกำลังกายเป็นประจำ: การออกกำลังกายช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ซึ่งนำออกซิเจนและสารอาหารไปยังเซลล์ผิว ช่วยให้ผิวดูมีชีวิตชีวาและลดการเกิดสิว การออกกำลังกายยังช่วยลดความเครียด ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สามารถทำให้เกิดสิว
  • การนอนหลับที่เพียงพอ: การได้รับการนอนหลับที่เพียงพอช่วยให้ระบบการซ่อมแซมผิวหนังทำงานได้ดีที่สุด การขาดการนอนหลับสามารถทำให้เกิดความเครียด ซึ่งเพิ่มการผลิตน้ำมันและสามารถนำไปสู่การเกิดสิว
  • การดื่มน้ำเพียงพอ: การดื่มน้ำช่วยให้ผิวชุ่มชื้นจากภายในและช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย การดื่มน้ำเพียงพอทุกวันช่วยให้ผิวดูสุขภาพดีและช่วยลดโอกาสการเกิดสิว

การใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดีไม่เพียงแต่ดีต่อร่างกายและจิตใจ แต่ยังรวมถึงผิวหนังด้วย การดูแลสุขภาพผิวจากภายในผ่านการเลือกรับประทานอาหารที่ดีและมีไลฟ์สไตล์ที่สุขภาพดีเป็นส่วนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

 

การเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสม

สำหรับผิวที่มีปัญหาสิว สิ่งสำคัญคือการใช้ครีมที่เหมาะกับปัญหาสิวไม่เพียงแต่ช่วยลดปัญหาสิวที่มีอยู่ แต่ยังช่วยป้องกันไม่ให้สิวเกิดขึ้นใหม่ในอนาคต การพิจารณาถึงส่วนผสมและสูตรของผลิตภัณฑ์เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมที่สุดกับสภาพผิวและปัญหาผิวของคุณ

  • เลือกสูตรที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (Non-comedogenic): ผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากว่าไม่ก่อให้เกิดการอุดตันเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิว เพราะสูตรเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อไม่ให้เกิดการสะสมของเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วซึ่งสามารถนำไปสู่การอุดตันรูขุมขน
  • หลีกเลี่ยงสารก่อการระคายเคือง: สารที่มีศักยภาพในการก่อการระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์หรือน้ำหอม ควรถูกหลีกเลี่ยง สารเหล่านี้อาจทำให้ผิวเกิดการอักเสบหรือระคายเคืองซึ่งสามารถทำให้ปัญหาสิวแย่ลง
  • ส่วนผสมที่ช่วยบำรุงและรักษาสิว: ส่วนผสมเช่น กรดซาลิไซลิค, ไนอาซินาไมด์ และกรดอัลฟ่าไฮดรอกซี มีประสิทธิภาพในการช่วยรักษาสิวและป้องกันการเกิดสิวใหม่ กรดเหล่านี้ช่วยในการลดการอักเสบ ควบคุมการผลิตน้ำมัน และเร่งกระบวนการเปลี่ยนผิว
  • สูตรที่เหมาะกับประเภทผิวของคุณ: การเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับประเภทผิวของคุณเป็นสิ่งสำคัญ เช่น ผู้ที่มีผิวมันควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ช่วยควบคุมน้ำมัน ในขณะที่ผู้ที่มีผิวแห้งควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติในการเพิ่มความชุ่มชื้น

การเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสมต้องคำนึงถึงหลายปัจจัย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการดูแลผิว การทำความเข้าใจส่วนผสมและคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์จะช่วยให้คุณเลือกได้ถูกต้องและเหมาะสมกับปัญหาผิวของคุณ

 

วิธีดูแลสุขภาพเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดสิว

วิธีดูแลสุขภาพเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดสิว

การดูแลผิวไม่ควรจำกัดอยู่แค่ผิวหน้า เพราะการดูแลผิวกายด้วยผลิตภัณฑ์และวิธีการที่เหมาะสม สามารถเป็นวิธีลดปัญหาสิวและทำให้ผิวดูมีสุขภาพดีขึ้นได้ การเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายที่เหมาะสมและการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์บางอย่างเป็นกุญแจสำคัญ

  • เลือกสบู่และเจลอาบน้ำที่ไม่ก่อให้เกิดสิว: ใช้สบู่หรือเจลอาบน้ำที่ออกแบบมาสำหรับผิวที่เสี่ยงต่อการเกิดสิว ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ควรมีคุณสมบัติไม่อุดตันรูขุมขนและสามารถช่วยลดความมันส่วนเกินบนผิว
  • การใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันสิวบนร่างกาย: สำหรับพื้นที่ที่มีแนวโน้มเกิดสิว เช่น หลังและหน้าอก ให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมเช่น กรดซาลิไซลิคหรือเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์เพื่อช่วยป้องกันและรักษาสิว
  • การดูแลผิวหลังออกกำลังกาย: อาบน้ำทันทีหลังจากการออกกำลังกายเพื่อล้างเหงื่อและสิ่งสกปรกที่อาจทำให้เกิดสิวบนร่างกาย การให้เหงื่อแห้งบนผิวหนังสามารถนำไปสู่การอุดตันของรูขุมขน
  • การเลือกใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสม: เสื้อผ้าที่ทำจากวัสดุที่ช่วยให้ผิวหายใจได้ดีและไม่เก็บเหงื่อสามารถช่วยลดการเกิดสิวบนร่างกาย วัสดุเช่น ฝ้ายและไมโครไฟเบอร์เป็นตัวเลือกที่ดี

การดูแลร่างกายและผิวให้ห่างไกลจากสิวไม่ใช่เรื่องยากหากคุณทราบถึงกลยุทธ์และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับประเภทผิวของคุณ การเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์เล็กน้อยรวมถึงการเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสมสามารถทำให้ผิวของคุณดูดีขึ้นและป้องกันการเกิดสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

การป้องกันและจัดการกับสิวอุดตันเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการดูแลผิว การเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสม การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ และการใส่ใจกับการดูแลสุขภาพจากภายในสู่ภายนอก สามารถช่วยลดการเกิดสิวและปรับปรุงสภาพผิวให้ดูสุขภาพดีขึ้น บทความนี้ได้นำเสนอคำแนะนำที่มีประโยชน์ในการดูแลผิวหน้าและร่างกาย เพื่อช่วยให้คุณมีผิวพรรณที่สดใส ไม่ว่าจะเป็นการเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม การดูแลผิวขั้นพื้นฐาน และการเลือกไลฟ์สไตล์ที่ส่งเสริมสุขภาพผิว

คำถามที่พบบ่อย

1. สิวอุดตันเกิดจากอะไร?
สิวอุดตันเกิดจากการอุดตันของรูขุมขนด้วยน้ำมันและเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ปัจจัยเช่น การผลิตน้ำมันเกินปกติ ความเครียด และปัจจัยทางพันธุกรรมสามารถทำให้เกิดสิวได้

2. การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิคสามารถช่วยลดสิวอุดตันได้หรือไม่?
ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิคสามารถช่วยละลายน้ำมันและสิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขน ช่วยลดและป้องกันการเกิดสิวอุดตัน

3. มีวิธีไหนบ้างที่สามารถป้องกันสิวอุดตันจากการออกกำลังกาย?
ควรอาบน้ำทันทีหลังจากออกกำลังกายเพื่อล้างเหงื่อและสิ่งสกปรกที่อาจทำให้เกิดสิวบนร่างกาย การเลือกใส่เสื้อผ้าที่ช่วยให้ผิวหายใจได้ดีก็เป็นวิธีที่ดีเช่นกัน

4. การเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์อย่างไรสามารถช่วยลดการเกิดสิวอุดตันได้?
การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายเป็นประจำ การนอนหลับที่เพียงพอ และการดื่มน้ำเพียงพอ สามารถช่วยลดการเกิดสิวอุดตันได้ โดยการช่วยปรับปรุงสภาพผิวจากภายในและลดความเครียด

อ้างอิง:

skin

ลดน้ำหนักผิวสวย จริงไหม? ไขข้อสงสัยการลดน้ำหนักส่งผลต่อผิวอย่างไร

December 11, 2023
ลดน้ำหนักผิวสวย จริงไหม? ไขข้อสงสัยการลดน้ำหนักส่งผลต่อผิวอย่างไร

ลดน้ำหนักผิวสวย จริงไหม? วันนี้เราจะพาคุณมาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กัน หลายคนอาจจะพอรู้มาบ้างว่าการลดน้ำหนักไม่ว่าจะเลือกทำตามวิธีธรรมชาติหรือการค้นหา ยาลดน้ำหนักตัวไหนดีที่สุด มันก็สามารถนํามาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญต่อสุขภาพผิวของคุณได้ แต่สำหรับใครที่ยังสงสัยว่ามันส่งผลต่อผิวอย่างไรและช่วยในด้านใดบ้าง ในบทความนี้เราจะพาคุณไปดูผลของการลดน้ำหนักต่อสุขภาพผิว โดยจะพูดถึงทั้งข้อดีและความท้าทายที่มาพร้อมกับมัน ตั้งแต่ศักยภาพในการลดสิวไปจนถึงปัญหาเกี่ยวกับความยืดหยุ่นของผิวหนัง

ลดน้ำหนักผิวสวย ได้อย่างไร? รวมประโยชน์ของการลดน้ำหนักต่อสุขภาพผิว

ประโยชน์ของการลดน้ำหนักต่อสุขภาพผิว

ลดสิวและปรับปรุงสภาพผิวให้ดีขึ้น

การลดน้ำหนักสามารถปรับปรุงสุขภาพผิวได้อย่างมาก โดยหลัก ๆ แล้วจะเป็นการช่วยลดสิว ซึ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นโดยเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงด้านอาหารที่มาพร้อมกับความพยายามในการลดน้ำหนัก เนื่องจากอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันต่ำ แต่มีผลไม้ ผัก และโปรตีนจากพืชสูง สามารถลดระดับการอักเสบในร่างกายได้ นําไปสู่การเกิดสิวน้อยลง นอกจากนี้ การลดน้ำหนักยังมักนําไปสู่การลดการผลิตน้ำมันในผิว ซึ่งช่วยป้องกันการเกิดสิวเพิ่มเติมอีกด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น การดื่มน้ำเพิ่มมากขึ้นยังเป็นส่วนหนึ่งโปรแกรมของการลดน้ำหนักส่วนใหญ่ การดื่มน้ำที่เพียงพอจึงมีความสำคัญอย่างมากสำหรับรักษาสภาวะผิวหนังที่แข็งแรง และช่วยขับถ่ายสารพิษออกจากร่างกาย ซึ่งนําไปสู่ผิวพรรณกระจ่างใสขึ้น นอกจากนี้ การนอนหลับที่เพียงพอเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการซ่อมแซมและการฟื้นฟูผิว ซึ่งมีส่วนช่วยให้ผิวพรรณดูมีสุขภาพดีขึ้น เพื่อทำความเข้าใจสิ่งนี้ให้ดีขึ้น คุณสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บทความ  สกินแคร์คืออะไร

ปรับปรุงโทนสีผิวและพื้นผิว

ปรับปรุงโทนสีผิวและพื้นผิว

การลดน้ำหนักอาจมีผลดีต่อโทนสีผิวและเนื้อสัมผัสของผิวอีกด้วย สาเหตุนั้นเป็นผลจากการไหลเวียนโลหิตที่ดีขึ้นและเพิ่มปริมาณสารอาหารให้กับผิวหนัง เนื่องจากร่างกายมีการตื่นตัวมากขึ้นและการไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ผิวจึงได้รับออกซิเจนและสารอาหารมากขึ้น ซึ่งจําเป็นต่อการรักษาเซลล์ผิวที่ให้แข็งแรง

นอกจากการไหลเวียนที่ดีขึ้นแล้ว การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพยังช่วยให้สุขภาพผิวดีขึ้นอีกด้วย อาหารที่มีวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระสูงจะช่วยส่งเสริมการซ่อมแซมผิวและปกป้องผิวจากความเสียหายที่เกิดจากสิ่งแวดล้อม เช่น วิตามินซีที่พบในผลไม้และผักจะช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ทำให้ผิวยืดหยุ่นและคงรูปได้ดีขึ้น ในขณะที่โอเมก้า 3 ที่พบมากในปลาและถั่ว จะช่วยให้ผิวเนียนนุ่มขึ้นและลดการอักเสบ

ป้องกันโรคผิวหนัง

การลดน้ำหนักยังช่วยป้องกันภาวะผิวหนังต่าง ๆ ได้อีกด้วย ภาวะผิวหนัง เช่น สะเก็ดเงิน ผื่นภูมิแพ้ และติ่งเนื้อ มักเกี่ยวข้องกับภาวะอ้วนและการรับประทารอาหารที่ไม่ดี ดังนั้นการลดน้ำหนักและการมีวิถีชีวิตที่ดีขึ้นจะช่วยควบคุมหรือแม้กระทั่งป้องกันภาวะเหล่านี้ได้ การลดไขมันในร่างกายจะช่วยลดความเครียดต่อผิว และปรับปรุงสุขภาพผิวโดยรวม

เห็นได้ว่าการลดน้ำหนักไม่เพียงแต่มีผลดีต่อสุขภาพทางกายเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงสุขภาพผิวด้วยการลดสิวและช่วยปรับปรุงสภาพผิวที่ดีขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงไม่กี่ข้อดีที่คนเราอาจได้รับจากการลดน้ำหนักเท่านั้น เพราะมันยังช่วยให้คุณมีวิถีชีวิตที่ดีขึ้นด้วยการอาหารที่มีประโยชน์ การดื่มน้ำมากขึ้น และคุณภาพการนอนหลับที่ดีขึ้น


ความท้าทายสำหรับผิว หลังการลดน้ำหนัก

ความท้าทายสำหรับผิวหลังการลดน้ำหนัก

 

การจัดการกับผิวหย่อนคล้อย

หลังการลดน้ำหนัก หนึ่งในความท้าทายหลักคือการจัดการผิวที่หย่อนคล้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณต่าง ๆ เช่น หน้าท้อง แขน และต้นขา เมื่อร่างกายลดขนาดลง ผิวหนังก็อาจไม่ดึงกลับเต็มที่จนทำให้เกิดความหย่อนคล้อย หากต้องการข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลผิว คุณสามารถอ่านต่อได้ที่บทความ ส่วนผสมสกินแคร์ที่น่าจับตามอง

การรักษาความยืดหยุ่นของผิว

ความท้าทายอีกอย่างหนึ่งคือการรักษาความยืดหยุ่นของผิว ความยืดหยุ่นของผิวหนังหมายถึงความสามารถของผิวหนังในการคืนรูปทรงเดิมหลังจากถูกยืดออก การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วบางครั้งอาจส่งผลต่อความยืดหยุ่น ส่งผลให้ผิวหนังหย่อนคล้อย เพื่อช่วยปรับปรุงความยืดหยุ่น การผสมผสานอาหารที่อุดมด้วยคอลลาเจนและการคงความชุ่มชื้นไว้จะเป็นประโยชน์ คุณสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวข้อนี้ได้ที่ สารสกัดเรตินอล คืออะไร ?


สรุปแล้ว การลดน้ำหนักไม่เพียงแต่ส่งผลต่อขนาดร่างกายของคุณเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพผิวของคุณด้วย ในด้านบวกสามารถนำไปสู่การลดสิว ผิวดีขึ้น รวมถึงโทนสีผิวและเนื้อสัมผัสที่ดีขึ้น การปรับปรุงนี้มักเกิดจากการเลือกวิถีชีวิตที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น เช่น อาหารที่อุดมด้วยสารอาหาร ปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้น และคุณภาพการนอนหลับที่ดีขึ้น


คําถามที่พบบ่อย

1. การลดน้ำหนักส่งผลต่อสุขภาพผิวอย่างไร?

การลดน้ำหนักสามารถนําไปสู่การลดสิว ปรับปรุงสภาพผิว และปรับปรุงโทนและพื้นผิวได้ แต่อาจทำให้เกิดปัญหาผิวหย่อนยานและลดความยืดหยุ่นของผิว

2. วิธีปฏิบัติที่ดีที่สุดในการดูแลสุขภาพผิวระหว่างการลดน้ำหนักคืออะไร?

การดูแลสุขภาพผิวระหว่างการลดน้ำหนักควรดื่มน้ำให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่ครบถ้วน มีประโยชน์ และมีกระบวนการดูแลผิวหน้าอย่างสม่ำเสมอ

3. การลดน้ำหนักสามารถก่อให้เกิดปัญหาผิวได้หรือไม่?

แม้ว่าการลดน้ำหนักจะช่วยปรับปรุงสภาพผิวบางอย่างได้ แต่การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วหรือมากเกินไปในระยะเวลาสั้น ๆ อาจนําไปสู่ปัญหาความยืดหยุ่นและผิวหย่อนคล้อย

4. สามารถทำให้ผิวหย่อนคล้อยหลังจากลดน้ำหนักแล้วกระชับให้แน่นขึ้นได้หรือไม่?

วิธีธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตสามารถช่วยปรับปรุงความกระชับของผิวได้ระดับหนึ่ง สำหรับกรณีที่ลดน้ำหนักมาก อาจต้องใช้การรักษาทางการแพทย์เพื่อแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย

อ้างอิง :

skin

ขั้นตอนการบำรุงผิวหน้า ก้าวที่สำคัญสู่ผิวใสไร้ที่ติ

December 10, 2023
ขั้นตอนการบำรุงผิวหน้า ก้าวที่สำคัญสู่ผิวใสไร้ที่ติ

ขั้นตอนการบำรุงผิวหน้า หลายคนอาจจะรู้สึกว่าเป็นเหมือนปริศนาที่สลับซับซ้อน เนื่องจากมีผลิตภัณฑ์ให้เลือกมากมาย ด้วยเหตุนี้การรู้วิธีการลงผลิตภัณฑ์เหล่านั้นให้ได้ประสิทธิภาพจึงเป็นเรื่องยาก ในบทความนี้จึงมีเป้าหมายเพื่ออธิบายกระบวนการบํารุงผิว เพื่อให้คุณสามารถทำความเข้าใจหลักการพื้นฐานแต่ละขั้นตอนได้

ทำความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการบํารุงผิว

ทำความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการบํารุงผิว

การบํารุงผิวคืออะไร?

การบํารุงผิว หมายถึง แนวทางการปฏิบัติต่าง ๆ ที่ช่วยสนับสนุนสภาพผิวให้ดียิ่งขึ้นโดยช่วยปรับปรุงลักษณะของสภาพผิวและรักษาปัญหาของผิวหน้า ซึ่งรวมถึง การทำความสะอาด การบํารุงความชุ่มชื้น และการปกป้องผิวจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ การบํารุงผิวจะมีการปรับเปลี่ยนแนวทางต่าง ๆ เพื่อให้เข้ากับความต้องการ สภาพผิว และปัญหาผิวของแต่ละบุคคล ซึ่งการบํารุงผิวนั้นไม่ใช่แค่การใช้ผลิตภัณฑ์ แต่ยังหมายรวมถึงการเข้าใจความต้องการของผิว แล้วตอบสนองต่อความต้องการนั้นให้เหมาะสม เพื่อความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น คุณสามารถอ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ สกินแคร์ คืออะไร?

ศาสตร์แห่งการดูแลผิว

ผิวหนังเป็นอวัยวะซึ่งทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น มลภาวะ รังสียูวี และแบคทีเรีย โดยผิวหนังจะประกอบด้วย 3 ชั้น ได้แก่ ชั้นหนังกำพร้า (ชั้นนอก) ชั้นหนังแท้ (ชั้นกลาง) และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (ชั้นในสุด) โดยแต่ละชั้นมีหน้าที่เฉพาะ เช่น การปกป้องจากเชื้อโรค หรือการเก็บน้ำและไขมัน ดังนั้นการทำความเข้าใจในแต่ละชั้นจึงมีความสำคัญอย่างมากต่อการเลือกผลิตภัณฑ์บํารุงผิวที่เหมาะสม

ประเภทของผิวที่แตกต่างกัน

ประเภทของผิวสามารถแบ่งออกได้กว้าง ๆ คือ ผิวปกติ ผิวแห้ง ผิวมัน ผิวผสม และผิวแพ้ง่าย โดยแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะและความต้องการการดูแลที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น ผิวมันควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่เบา ไม่อุดตันรูขุมขน ในขณะที่ผิวแห้งอาจต้องการผลิตภัณฑ์ที่หนักและบํารุงความชุ่มชื้นมากกว่า

ความสำคัญของการบํารุงผิวเป็นประจำ

ความสำคัญของการบํารุงผิวเป็นประจำ

กิจวัตรการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอช่วยรักษาสุขภาพและความมีชีวิตชีวาของผิว และยังช่วยป้องกันปัญหาผิวต่าง ๆ ชะลอกระบวนการชราตามธรรมชาติ และช่วยให้ผิวกระจ่างใส สิ่งสำคัญอยู่ที่ความสม่ำเสมอและการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิวและปัญหาของแต่ละบุคคล

การระบุและแก้ไขปัญหาผิวหน้า

ปัญหาผิวหน้าทั่วไป เช่น สิว ฝ้า ริ้วรอย และผิวแพ้ง่ายแต่ละปัญหาต้องการผลิตภัณฑ์และส่วนผสมเฉพาะ ยกตัวอย่าง เช่น ผิวที่เป็นสิวอาจได้ประโยชน์จากกรดซาลิไซลิกหรือเบนโซลเปอร์ออกไซด์ ในขณะที่ผิวที่มีอายุมากขึ้น อาจต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระและรีทินอล

ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับการบํารุงผิว

สิ่งสำคัญคือการแยกแยะระหว่างข้อเท็จจริงและความเชื่อ ยกตัวอย่างเช่น ไม่ใช่ส่วนผสมธรรมชาติทั้งหมด สิ่งสำคัญคือการแยกแยะระหว่างข้อเท็จจริงและความเชื่อในผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ตัวอย่างเช่น ส่วนผสมจากธรรมชาติบางชนิดไม่ปลอดภัยสำหรับผิว และสารเคมีบางชนิดก็ไม่เป็นอันตราย ควรใช้การวิจัยและข้อมูลที่มีหลักฐานเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์และวิธีการบํารุงผิว

ด้วยการทำความเข้าใจพื้นฐานของผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเหล่านี้ แต่ละบุคคลจึงสามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลรอบด้านเกี่ยวกับกิจวัตรการดูแลผิวและผลิตภัณฑ์ของตนเอง ซึ่งนำไปสู่ผิวที่มีสุขภาพดีและกระจ่างใสยิ่งขึ้น


ขั้นตอนการบำรุงผิวหน้า เทคนิคสำหรับผิวสุขภาพดี

ขั้นตอนการบำรุงผิวหน้า เทคนิคสำหรับผิวสุขภาพดี

1. การทำความสะอาด : ขั้นตอนแรกในการดูแลผิวคือการทำความสะอาด เพื่อขจัดสิ่งสกปรก ความมัน และเครื่องสำอาง เพื่อเตรียมผิวให้ดูดซับผลิตภัณฑ์อื่นๆ

2. การใช้โทเนอร์ : การปรับสีช่วยรักษาระดับ pH ของผิวให้สมดุล และช่วยขจัดสิ่งตกค้างที่เหลืออยู่หลังการทำความสะอาด

3. เซรั่มและทรีทเมนท์ : เซรั่มเป็นสารละลายเข้มข้นที่มุ่งเป้าไปที่ปัญหาผิวเฉพาะอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ส่วนผสมรีทินอลที่เป็นที่นิยม ซึ่งมีชื่อเสียงในด้านคุณสมบัติในการต่อต้านวัย ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่บทความ เรตินอล คืออะไร ?

4. มอยเจอร์ไรเซอร์ : มอยเจอร์ไรเซอร์ให้ความชุ่มชื้นและล็อคคุณประโยชน์ของชั้นก่อนหน้าเอาไว้

5. การป้องกันแสงแดด : สุดท้าย ให้ทาครีมกันแดดในวงกว้างเพื่อปกป้องผิวจากการทำลายของรังสียูวี


ดูแลผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหนือกว่า

ดูแลผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหนือกว่า

ครีมบํารุงดวงตา : ครีมบํารุงดวงตาได้รับการออกแบบมาเพื่อผิวบอบบางบริเวณดวงตา ช่วยแก้ปัญหาเช่น หน้าดำใต้ตาหรือถุงใต้ตาได้

นวัตกรรมส่วนผสมใหม่ : ติดตามข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ได้ที่บทความเรื่อง ส่วนผสมสกินแคร์ที่น่าจับตามองในปัจจุบัน

ทรีตเมนต์กลางคืน : เวลากลางคืนเป็นเวลาที่ผิวซ่อมแซมตัวเอง การใช้การรักษาเฉพาะที่เช่น รีทินอลสามารถปรับปรุงกระบวนการนี้ได้


สรุปได้ว่า การปฏิบัติตามขั้นตอนบํารุงผิวอย่างถูกต้อง จะช่วยส่งเสริมสุขภาพและรูปลักษณ์ของผิวให้ดียิ่งขึ้นได้เป็นอย่างมาก ซึ่งขั้นตอนสำคัญ ได้แก่ การทำความสะอาดผิว การทาเซรั่ม มอยเจอร์ไรเซอร์ และการป้องกันแสงแดด และยังมีการผสมผสานการรักษาขั้นสูง เช่น ครีมบำรุงรอบดวงตาและการรักษาตอนกลางคืนจะมีประโยชน์ต่อผิวมากยิ่งขึ้น การทำความเข้าใจในหลักการเบื้องหลังขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยในการเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมและใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ


คําถามที่พบบ่อย

1. ควรจัดเรียงลำดับผลิตภัณฑ์บํารุงผิวอย่างไร?

เริ่มจากการทำความสะอาด ตามด้วยโทนเนอร์ เซรั่ม การบํารุงความชุ่มชื้น และการป้องกันแสงแดด

2. สามารถใช้รีทินอลทุกวันได้ไหม?

รีทินอลอาจมีฤทธิ์แรง ดังนั้นแนะนําให้เริ่มใช้ช้า ๆ เช่น 2-3 วันต่อสัปดาห์ แล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้น

3. ทำไมการใช้ครีมกันแดดจึงสำคัญในการบํารุงผิว?

ครีมกันแดดช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV ซึ่งเป็นตัวการที่สามารถทำให้ผิวแก่ก่อนวัยและเพิ่มความเสี่ยง

4. ประโยชน์ของการใช้ครีมบํารุงดวงตาคืออะไร?

ครีมบํารุงดวงตามีสูตรที่เหมาะสมกับผิวบอบบางบริเวณดวงตา ช่วยแก้ปัญหาเฉพาะ เช่น ถุงน้ำหรือรอยดำบริเวณดวงตา

อ้างอิง :

skin

5 ส่วนผสมสกินแคร์ ที่น่าจับตามองในวงการผิวสวย

December 10, 2023
5 ส่วนผสมสกินแคร์ ที่น่าจับตามองในวงการผิวสวย

ส่วนผสมสกินแคร์ เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์บํารุงผิวที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และมีการค้นพบส่วนผสมใหม่ ๆ เพื่อให้ผิวสวยงาม สุขภาพดีขึ้น ในบทความนี้ เราจะพาคุณมาดู 5 ส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่กําลังเป็นที่สนใจในอุตสาหกรรมความงาม ตั้งแต่ประโยชน์ที่โดดเด่นจนถึงวิธีการทำงานของมัน ซึ่งจะครอบคลุมทุกอย่างที่คุณต้องรู้

ส่วนผสมสกินแคร์ เพื่อผิวสวย : 5 สารสำคัญที่ควรรู้

1. Bakuchiol

Bakuchiol ส่วนผสมสกินแคร์

ทางเลือกธรรมชาติสำหรับเรทินอล

สารสกัด Bakuchiol ที่สกัดจากต้น Psoralea corylifolia กําลังเป็นทางเลือกที่อ่อนโยนกว่า เรตินอล ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งผู้ที่มีผิวไวต่อการระคายเคืองจากผลิตภัณฑ์เรตินอลแบบดั้งเดิม

บาคูชิออล ทำงานอย่างไร?

บาคุชิลทำงานคล้ายกับเรตินอลโดยกระตุ้นการหมุนเวียนของเซลล์ผิว ช่วยลดริ้วรอย ริ้วรอย และสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ แต่จะทำให้เกิดการระคายเคืองและลอกน้อยกว่า ดังนั้น จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายหรือผิผู้ที่มีผิวไวต่อการระคายเคือง

ผลิตภัณฑ์ที่มีบาคูชิออล

แบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหลายแบรนด์กําลังนําบาคูชิออลมาใส่ในสูตรต่าง ๆ ตั้งแต่เซรั่มและครีมไปจนถึงน้ำมัน ซึ่งให้ประโยชน์คล้ายเรตินอลโดยไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรง ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นที่นิยมโดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์ต้านริ้วรอยและผลิตภัณฑ์เพื่อผิวขาวกระจ่างใส


2. Polyhydroxy Acids (PHAs)

ส่วนผสมสกินแคร์ PHA

ผลิตภัณฑ์ขัดผิวอย่างอ่อนโยนสำหรับผิวแพ้ง่าย

PHAs เป็นกลุ่มกรดเอ็กซ์โฟลิเอตชนิดใหม่ คล้ายกับ Alpha-Hydroxy Acids (AHAs) และ Beta-Hydroxy Acids (BHAs) แต่อ่อนโยนต่อผิวมากกว่า จึงเหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย ผิวแห้ง หรือผิวที่มีปัญหาผื่นภูมิแพ้

ประโยชน์ของ PHAs

PHAs จะช่วยขัดผิวที่ตายแล้วบนพื้นผิว ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้นและสีผิวสม่ําเสมอขึ้น นอกจากนี้ PHAs ยังมีขนาดโมเลกุลใหญ่กว่า AHAs และ BHAs ทำให้ซึมลงผิวช้ากว่าและไม่ระคายเคืองเหมือนกรดชนิดอื่น ที่สำคัญ PHAs ยังช่วยให้ผิวกักเก็บความชุ่มชื้น ทำให้ผิวชุ่มชื้นขึ้นด้วย

ผลิตภัณฑ์ที่มี PHAs

ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มี PHA กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ที่มองหาทางเลือกที่อ่อนโยนแทนการขัดผิวแบบดั้งเดิม คุณสามารถพบได้ในผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภท เช่น โทนเนอร์ ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า เซรั่ม และครีมบํารุงผิว ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการขัดผิวและให้ความชุ่มชื้นในแต่ละวัน โดยไม่เสี่ยงต่อการขัดผิวมากเกินไป


3. Niacinamide

Niacinamide ส่วนผสมสกินแคร์

วิตามินหลากหลายประโยชน์เพื่อสุขภาพผิว

ไนอาซินาไมด์หรือวิตามินบี 3 เป็นส่วนประกอบบํารุงผิวที่หลากหลายประโยชน์ ช่วยแก้ไขปัญหาผิวหลายอย่าง

ความหลากหลายของไนอาซินาไมด์

ไนอาซินาไมด์มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ช่วยลดการระคายเคืองและสิวได้ ยังช่วยลดขนาดรูขุมขนและควบคุมการหลั่งน้ำมันส่วนเกินของผิว พร้อมปกป้องผิวจากมลภาวะภายนอก นอกจากนี้ไนอาซินาไมด์ยังช่วยปรับปรุงพื้นผิวและเสริมสร้างการทำงานของเกราะป้องกันผิวอีกด้วย

ผลิตภัณฑ์บํารุงผิวที่มีไนอาซินาไมด์

เนื่องจากคุณประโยชน์มากมาย ไนอาซินาไมด์จึงพบได้ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหลายชนิด รวมถึงเซรั่ม มอยเจอร์ไรเซอร์ และครีมกันแดด เหมาะสมกับผิวทุกประเภท สามารถนําไปใช้ในการบํารุงผิวประจำวันได้ง่าย


4. Cannabidiol (CBD)

Cannabidiol (CBD)

ส่วนประกอบช่วยปลอบประโลมและรักษาผิว

CBD เป็นสารประกอบที่ได้มาจากต้นกัญชาที่ได้รับความนิยมในผลิตภัณฑ์บํารุงผิว เนื่องจากมีฤทธิ์ต้านอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ

Cannabidiol มีประโยชน์ต่อผิวอย่างไร?

CBD ช่วยลดการระคายเคืองผิว ลดการอักเสบ จัดการปัญหาผิว เช่น สิว ผื่นภูมิแพ้ และสะเก็ดเงินได้ นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต่อต้านความเสื่อม ความหมองคล้ำของผิว

CBD ในผลิตภัณฑ์บํารุงผิว

ปัจจุบัน CBD มีการนํามาใช้ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหลากหลายชนิด เช่น ครีม เซรั่ม และบาล์ม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดการระคายเคืองผิว หรือต้องการเพิ่มฤทธิ์ต้านความเสื่อมให้กับผิว


5. Peptides

Peptides

องค์ประกอบสำคัญให้ผิวดูเยาว์

เพปไทด์เป็นโซ่อะมิโนแอซิดสั้น ๆ ที่มีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพและความงามของผิว

บทบาทของเพปไทด์ในผลิตภัณฑ์บํารุงผิว

เพปไทด์ในผลิตภัณฑ์จะช่วยกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนซึ่งจำเป็นต่อการรักษาความยืดหยุ่นและความตึงตัวของผิว ยังช่วยซ่อมแซมผิวให้ดูอ่อนเยาว์ จึงมักพบในผลิตภัณฑ์ต้านความเสื่อมของผิว

ผลิตภัณฑ์ที่มีเพปไทด์

เพปไทด์มักพบในเซรั่ม ครีมบํารุงผิวและครีมบํารุงดวงตา สามารถใช้ร่วมกับส่วนประกอบอื่นได้ดี เหมาะสำหรับผิวทุกประเภท โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการลดริ้วรอยและอาการความเสื่อมของผิว


สรุปได้ว่า ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวมีการพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับนวัตกรรมส่วนประกอบใหม่ ๆ เพื่อปรับปรุงสุขภาพและความงามของผิว บทความนี้ได้กล่าวถึง 5 ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ปฏิวัติวงการ คือ Bakuchiol ซึ่งเป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่เป็นทางเลือกที่อ่อนโยนกว่าเรทินอลและเหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย รวมถึง PHAs ที่ให้ความอ่อนโยนและทำให้ผิวชุ่มชื้นผิว

รวมถึงยังมี Niacinamide วิตามินบํารุงผิวมากประโยชน์สำหรับผิวทุกประเภท และแคนนาบิดิออลที่ช่วยลดอาการระคายเคืองและรักษาสภาพผิว ส่วนท้ายคือ Peptides ที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและชะลอความเสื่อมของผิว แต่ละส่วนประกอบต่างมีประโยชน์เฉพาะตัวในโลกของ สกินแคร์บำรุงผิว จึงน่าจับตามองอย่างยิ่งในแวดวงผลิตภัณฑ์ดูแลผิว


คําถามที่พบบ่อย

1. บาคูชิออลมีข้อดีเหนือเรทินอลอย่างไร?

บาคูชิออลให้ผลลัพธ์คล้ายกับเรทินอล แต่อ่อนโยนและเหมาะกับผิวไวมากกว่า

2. PHA เหมาะสำหรับผิวทุกประเภทหรือไม่?

เหมาะโดยเฉพาะผิวแห้งและผิวแพ้ง่าย เพราะมีคุณสมบัติในการขัดผิวอย่างอ่อนโยนและให้ความชุ่มชื้น

3. ไนอาซินาไมด์ช่วยปรับปรุงสุขภาพผิวได้อย่างไร?

ลดการอักเสบ ลดขนาดรูขุมขน ควบคุมความมัน และปกป้องจากมลภาวะ ทำให้เหมาะสำหรับผิวหลายประเภท

4. CBD ช่วยรักษาสิวได้หรือไม่?

ได้ เนื่องจาก CBD มีฤทธิ์ต้านการอักเสบช่วยรักษาสิวและโรคผิวหลายชนิดได้

5. เพปไทด์มีบทบาทในผลิตภัณฑ์บํารุงผิวอย่างไร?

ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวตึงกระชับ ยืดหยุ่น และชุ่มชื้น ช่วยชะลอความเสื่อมของผิว

อ้างอิง :

skin

ขั้นตอนการดูแลผิวหน้า เพื่อสุขภาพผิวที่ดี มีอะไรบ้าง

April 25, 2023
ขั้นตอนการดูแลผิวหน้า

การดูแลผิวหน้าเป็นเรื่องสำคัญมากเพราะหากดูแลไม่ถูกวิธีก็อาจเป็นปัญหาได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาผิวคล้ำเสีย ผิวแห้งกร้าน สิว ซึ่งสภาพผิวของใบหน้าจะส่งผลกับภาพลักษณ์ของเราต่อสายตาผู้อื่น หากมีการดูแลที่ดีด้วยวิธีการที่ถูกต้อง หน้าของเราก็จะเปล่งปลั่ง ไร้ปัญหาใด ๆ ที่ทำให้เกิดความมัวหมอง แน่นอนว่าในการดูแลใบหน้านั้นต้องทำตาม ขั้นตอนการดูแลผิวหน้า โดยจะมาพูดถึงในบทความนี้ถึงขั้นตอนที่ทำให้หน้าของเราดูดีและเด็กลงว่ามีอะไรบ้าง


ขั้นตอนการดูแลผิวหน้า ให้ผิวสวย สุขภาพดี ต้องทำอย่างไรบ้าง

ขั้นตอนการดูแลผิวหน้า

ใบหน้าเป็นส่วนสำคัญของร่างกายที่ควรใส่ใจเป็นอย่างยิ่ง นอกจากจะมีผลกับภาพลักษณ์ภายนอกแล้วยังมีผลกับสุขภาพร่างกายของตนเองด้วย ยิ่งผิวคล้ำเสียง่ายและเป็นสิวบ่อย นั่นบ่งบอกได้ถึงสุขภาพร่างกายของคนคนนั้นที่เริ่มแย่ลง เนื่องด้วยความวิตกกังวลเกี่ยวกับใบหน้าของตนเองจนทำให้เครียด แล้วความเครียดนี้ก็มีผลกับสุขภาพกายและสุขภาพจิตนั่นเอง ฉะนั้น ทุกคนจึงควรใส่ใจผิวหน้าของตนเองให้อยู่ในสภาพที่ดีเสมอและป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่อาจทำให้ผิวเสียง่าย หากต้องการดูแลสุขภาพใบหน้าของตนเองให้กลับมาสดใสเปล่งปลั่ง จะมีขั้นตอนการดูแลผิวหน้า ที่สามารถทำตามได้ไม่ยาก ดังนี้

  1. ดูแลเรื่องความสะอาดบริเวณผิวหน้า : การทำให้ผิวหน้าสะอาดนั้นมีความสำคัญอย่างมาก ก่อนจะล้างหน้าทุกครั้งให้เช็ดเครื่องสำอางโดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิวหน้าของตนเอง หลังจากเช็ดหน้าเรียบร้อยแล้วก็ต่อด้วยการล้างหน้าโดยจะใช้สบู่หรือโฟมล้างหน้าที่เหมาะกับสภาพผิว เมื่อล้างเสร็จก็ใช้โทนเนอร์เช็ดเพื่อกระชับรูขุมขน แนะนำให้ใช้โทนเนอร์ปราศจากแอลกอฮอล์ ถ้ามีแอลกอฮอล์ผสมอยู่จะส่งผลให้ผิวแห้งมากเกินไป 
  1. ผลัดเซลล์ผิว : เป็นการกำจัดผิวเก่าอันเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดความหมองคล้ำบนใบหน้า ถ้าเซลล์ผิวเก่าหลุดออกช้าหรือไม่ออกจากหน้าก็จะเกิดการสะสมจนทำให้ผิวเสื่อมสภาพ ไม่เพียงเท่าแค่ผิวที่หมองคล้ำ ยังทำให้สภาพผิวมีความหยาบกร้านด้วย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ครีมบำรุงดูดซึมเข้าสู่ผิวในปริมาณที่ลดลง ฉะนั้น จึงควรขยันสครับหน้าอยู่เป็นประจำ เพื่อการกระตุ้นให้ผลัดเซลล์ผิว แล้วได้ผิวใหม่มาแทน ส่งผลให้หน้ากระจ่างใสยิ่งกว่าเดิม
  1. ทาครีมบำรุงหรือใช้ไอน้ำมาประคบผิวหน้า : การใช้ไอน้ำประคบผิวหน้า มีวิธีง่าย ๆ เลยก็คือ เอาผ้ามาชุดน้ำอุ่นพอหมาด ๆ แล้วเอามาประคบผิว เป็นการทำให้รูขุมขนเปิดออกมา แล้วกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตบนหน้า เมื่อประคบหน้าเรียบร้อยแล้วก็ใช้ครีมบำรุงทาลงไป ด้วยความที่รูขุมขนเปิดจึงทำให้ครีมบำรุงสามารถซึมไปยังชั้นที่ลึกสุดได้ หากคนไหนหน้ามัน ควรหลีกเลี่ยงครีมที่มีน้ำมันผสมอยู่ ถ้าใช้ก็ส่งผลให้หน้ามันขึ้นเพราะน้ำมันที่สะสมในรูขุมขน คุณสามารถนวดหน้าเบา ๆ ขณะทาครีมเพราะเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของครีมได้ดีขึ้น
  1. ทาครีมกันแดด : การทาครีมกันแดดถือว่าเป็นขั้นตอนสำคัญ ในชีวิตประจำวันจำเป็นต้องเจอกับแดดอยู่เสมอ รวมถึงแสงที่มาจากโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นแสงจากอะไรก็ตามล้วนมีผลกับผิวหน้า การทาครีมกันแดดในทุก ๆ วันจะช่วยป้องกันไม่ให้ผิวได้รับอันตรายจากแสงที่ทำให้เกิดริ้วรอย กระ ฝ้า
  1. ออกกำลังกายเป็นประจำ : การออกกำลังกายจะช่วยให้เลือดสูบฉีดเพื่อเลี่ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ส่งผลให้ผิวเปล่งปลั่ง คลายความเครียด สดชื่น
  1. ดื่มน้ำที่สะอาดปลอดภัย : หากดื่มน้ำสะอาดทุกวันในปริมาณเพียงพอกับร่างกาย ส่งผลให้สภาพผิวดียิ่งขึ้นและร่างกายสมดุล โดยเฉลี่ยแล้วควรดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว
  1. นอนให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย : ระยะเวลาที่ควรนอนให้เพียงพอต่อหนึ่งวันเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 6-8 ชั่วโมง ช่วงเวลาที่ร่างกายหลั่งโกรทฮอร์โมนทำงานจะเหมาะกับการนอนอย่างมาก ฮอร์โมนนี้ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและเสริมสร้างกระดูดให้แข็งแรง เรียกอีกอย่างหนึ่งคือ ฮอร์โมนหนุ่มสาว โดยจะหลั่งในช่วง 4 ทุ่มถึงตี 5 ช่วงที่หลั่งดีสุดก็คือเที่ยงคืนถึงตี 1 อันเป็นเวลาที่เราหลับลึกมาก ฉะนั้น ควรนอนก่อนเวลาตี 1 ให้โกรทฮอร์โมนในร่างกายได้หลั่งเต็มที่ การนอนในเวลาที่เหมาะสมในปริมาณเพียงพอจะส่งผลให้มีผิวพรรณเปล่งปลั่ง ใบหน้าสดชื่น กระจ่างใส มีออร่า และดูเด็กลง

วิธีการป้องกันและแก้ไขปัญหาผิวหน้า มีอะไรบ้าง

ขั้นตอนการดูแลผิวหน้า

ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าใบหน้าเป็นส่วนที่ผู้หญิงจำนวนมากให้ความสำคัญมากสุด บางคนอยากมีใบหน้าสวยงาม อันที่จริงแล้ว แต่ละคนมีปัญหาผิวที่ไม่เหมือนกัน ทั้งเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ก็ชวนให้ปวดหัวอยู่เสมอ ส่วนใหญ่แล้วปัญหาผิวที่เจอมาจากหลายปัจจัย หลัก ๆ แล้วมี 5 ปัญหาที่รบกวนใจสาวไทย สามารถกล่าวได้ดังนี้

  • ผิวแห้งกร้าน : แก้ไขโดยการเพิ่มความชุ่มชื้นและคืนสมดุลให้ผิว คนผิวแห้งต้องใช้ผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื้นมาบำรุงผิวอยู่เสมอ ไม่ใช้น้ำอุ่นล้างหน้า ดื่มน้ำเป็นประจำ และไม่อยู่ห้องแอร์นาน นอกจากนี้ยังต้องหาตัวช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นพกติดตัวระหว่างวัน
  • ผิวหมองคล้ำ : แก้ไขด้วยการดูแลและบำรุงผิวอยู่เสมอ ไม่อยู่ในสถานที่ที่มีมลภาวะ ล้างหน้าให้สะอาดทุกครั้งและใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงที่มีไวท์เทนนิ่งเป็นส่วนผสม และทาครีมกันแดดเป็นประจำด้วย
  • ผิวแพ้ง่าย : แก้ไขโดยการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะกับสภาพผิวของคนนั้น ๆ ซึ่งเน้นไปที่สูตรอ่อนโยน เพื่อให้ผิวระคายเคืองน้อยที่สุด
  • กระฝ้า : แก้ด้วยการไม่อยู่ในที่ที่แดดจ้า ทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน รวมถึงใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวที่ช่วยในเรื่องของกระฝ้า
  • สิว : วิธีแก้คือการนำผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนช่วยในการลดริ้วรอยและการอักเสบของสิว ล้างหน้าด้วยโฟมสูตรอ่อนโยน ไม่แกะหรือบีบสิว ไม่กินของมัน ของทอด ดื่มน้ำและพักผ่อนให้เพียงพอ

การดูแลผิวหน้าตามช่วงวัย ควรดูแลอย่างไร

ขั้นตอนการดูแลผิวหน้า

ผิวหน้าในแต่ละช่วงวัยนั้นจะมีความแตกต่างกันซึ่งแน่นอนว่าวิธีดูแลก็ย่อมไม่เหมือนกันด้วย มีตั้งแต่วัยทารก วัยเด็ก วัยรุ่น วัย 20 ปลาย วัย 30 วัย 40-50 ปลาย และวัย 60-70 ซึ่งสามารถกล่าวถึงวิธีดูแลผิวของแต่ละวัยได้ดังนี้

  • วัยทารก : ผิวของเด็กวัยนี้จะมีความบางยิ่งกว่าวัยอื่น ๆ และแห้งง่ายกว่า ดังนั้นจึงดูแลให้อุณหภูมิรอบข้างเหมาะกับผิววัยทารก
  • วัยเด็ก : การดูแลผิววัยนี้ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่สามารถฟื้นฟูความชุ่มชื้นของผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ อ่อนโยน ไม่ใส่สาร ปราศจากน้ำหอม และปลอดภัยต่อผิวเด็กที่บอบบาง
  • วัยรุ่น : เป็นวัยที่ฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลงและมีผลต่อผิวอย่างมาก วิธีดูแลคือการใช้ผลิตภัณฑ์สลายสิ่งอุดตันบริเวณรูขุมขนและควบคุมความมัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสิวได้
  • วัย 20 ปลาย : เป็นวัยที่ต้องบำรุงมากเพราะเริ่มปรากฏริ้วรอย ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ลดริ้วรอยและเพิ่มความชุ่มชื่นให้หน้ากลับมาเด้งได้เหมือนเดิม รวมถึงกระชับรูขุมขนให้ดียิ่งขึ้น
  • วัย 30 : สภาพผิวหน้าในช่วงนี้จะเริ่มอ่อนแอ การดูแลผิวที่ดีต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่กระชับหน้าให้เรียบเนียน ชุ่มชื้น
  • วัย 40-50 ปลาย : ผิวหน้าของคนวัยนี้จะค่อย ๆ เปลี่ยนไป โดยจะมีผิวที่แห้งและกร้าน สูญเสียความยืดหยุ่นแข็งแรง หมองคล้ำและอาจเห็นเส้นเลือดฝอย ดังนั้นจึงควรใช้ผลิตภัณฑ์ลดริ้วรอย เพิ่มความชุ่มชื้น กระชับใบหน้า
  • วัย 60-70 : ช่วงวัยนี้จะมีผิวที่ขาดน้ำ แห้ง มีริ้วรอยมากกว่าเดิม ผิวบาง จึงควรดูแลด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ลดริ้วรอย เพิ่มความแข็งแรงให้ผิว และต้องเป็นสูตรอ่อนโยน

จากบทความนี้จะเป็นการกล่าวถึงขั้นตอนการดูแลผิวหน้าและการดูแลตามสภาพผิว รวมถึงการดูแลผิวตามแต่ละช่วงวัย ซึ่งถือได้ว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับสาว ๆ ทุกคนที่ต้องการเสริมความแข็งแรงชุ่มชื้นให้ผิวหน้า เพื่อให้ใบหน้ากระชับ กระจ่างใส ไร้ริ้วรอยและลดปัญหาเรื่องฝ้า กระ สิว อีกทั้งยังทำให้ผิวในแต่ละช่วงวัยอ่อนแอลงตามอายุ ทำให้สภาพผิวดูเด็กลง


อ้างอิง

skin

ลดริ้วรอยใต้ตา ด้วยการเติมเต็มคอลลาเจนให้กับผิว

April 5, 2023
ลดริ้วรอยใต้ตา

ประโยชน์ของคอลลาเจนนั้นจะค่อนข้างโดดเด่นไปในเรื่องของการบำรุงผิว เมื่อรับประทานสารสกัดชนิดนี้เป็นประจำจะทำให้ผิวสุขภาพดี เพราะด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่เข้ามาทำหน้าที่ทำให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย แน่นอนเลยว่ามีการรีวิวหลังการรับประทานมีให้เห็นอยู่มากกมายว่าจากคนที่เคยผิวเสีย ผิวแห้ง ผิวคล้ำ เมื่อกินเข้าไปแล้วมีจะมีสุขภาพผิวที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ที่คอลลาเจนนั้นเป็นอาหารเสริมที่ถูกต้องตามกฎหมาย ได้รับมาตรฐานการผลิตอีกด้วย ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นนี้ทำให้ใครที่มีปัญหาเรื่อง “ริ้วรอยใต้ตา” ก็สามารถรักษาด้วยการเติมคอลลาเจนให้กับผิวนั่นเอง แน่นอนเลยว่าในบทความนี้พวกเรายังได้รวบรวมข้อมูลความรู้เกี่ยวกับเรื่องการเกิดขึ้นของรอยใต้ตา รวมไปถึงคุณสมบัติของคอลลาเจนที่จะเข้ามาช่วยดูแลในปัญหานี้ อีกทั้งการเลือกรับประทานคอลลาเจนที่จะส่งผลโดยตรงต่อการรักษาให้ตรงจุดอย่างการ ลดริ้วรอยใต้ตา นั่นเอง  สำหรับใครที่กำลังหนักใจกับเรื่องนี้ไม่ควรพลาด


ริ้วรอยใต้ตาเกิดจากอะไร?

ลดริ้วรอยใต้ตา

อีกหนึ่งปัญหาผิวที่สร้างความลำบากใจให้กับคุณผู้หญิงเป็นอย่างมากนั่นก็คือ เรื่อง “ริ้วรอยใต้ตา” ที่มักจะมาพร้อมกับสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณเองเข้าใกล้วัยที่คอลลาเจนผลิตน้อยลงไปแล้วนั่นเอง แน่นอนเลยว่าผลข้างเคียงอื่น ๆ ที่ตามมาเพิ่มไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องผิวแห้งกร้าน หรือ มีความหย่อนคล้อย พบร่องลึกบนใบหน้า สำหรับวันนี้พวกเราจึงได้รวบรวมสาเหตุในการเกิดริ้วรอยใต้ตามาพูดถึงกันกับ 4 สาเหตุสำคัญดังนี้ 


1.สูญเสียคอลลาเจน และ อิลาสติน 

สาเหตุแรกเลยที่ทำให้เกิดริ้วรอยใต้ตา นั่นก็คือ ร่างกายของคุณนั้นสูญเสียคอลลาเจนเป็นอย่างมาก รวมทั้ง อิลาสตินด้วย แน่นอนเลยว่าสาเหตุดังกล่าวจะทำให้ผิวบางลง ไม่ใช่เฉพาะส่วนใต้ตาเพียงเท่านั้น แต่ทั่วร่างกายที่เป็นผิวหนังก็จะอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ในส่วนสำคัญอย่างบริเวณหางตา กับ เปลือกตา จะมีริ้วรอย รวมทั้งรอยย่นให้ได้เห็นอย่างชัดเจน 

2.ปัจจัยเรื่องอายุ

อีกหนึ่งเหตุผลคือ อายุ เพราะเมื่อเราอายุมากขึ้น คอลลาเจนก็จะเสื่อมลง ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่เข้าสู่วัย 40 ปี ฮอร์โมนก็จะเปลี่ยนแปลง ทำให้กระดูกใต้ตาอาจจะมีการยุบตัวลง ผิวหย่อนคล้อย ทำให้เกิดเป็นริ้วรอยใต้ดวงตาได้

3.ผิวขาดความชุ่มชื้น

หลาย ๆ คนอาจจะมีผิวแห้ง ผิวลอกเป็นขุย  แต่ไม่ได้มีการผลิตคอลลาเจนน้อยลง หรือ ไม่ได้รับคอลลาเจนในปริมาณที่เพียงพอ แต่อาจจะเกิดจากพันธุกรรมของคนผิวแห้ง ซึ่งแน่นอนว่าบริเวณใต้ตานั้นจะมีไขมันน้อย ทำให้ผิวแห้ง เกิดรอยใต้ดวงตาง่ายกว่าจุดอื่น 

4.พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน 

ในแต่ละวันคุณเองดูแลตัวเองมากน้อยแค่ไหน พฤติกรรมของคุณอาจจะมีความเสี่ยงที่จะทำให้คอลลาเจนเสื่อมเร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด ซึ่งจะทำให้ฮอร์โมนทำงานผิดเวลา ผิดปกติ อีกทั้งใส่ส่วนของริ้วรอยใต้ดวงตา การขยี้ตาบ่อย ๆ ก็ทำให้เซลล์ผิวบริเวณนั้นเกิดการติดเชื้อ หรือ มีการเสื่อมของคอลลาเจนได้


สำหรับสาเหตุดังกล่าวนั้น ไม่ว่าจะอายุน้อย หรือ อายุมากก็สามารถเกิดริ้วรอยใต้ดวงตาได้ทั้งนั้น โดยจะขึ้นอยู่กับพฤติกรรมส่วนตัวในแต่ละวันด้วย แต่เมื่อเกิดริ้วรอยใต้ตาก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะว่ามีวิธีการรักษาได้หลายวิธี ทั้งแบบการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ หรือ การรักษาลดริ้วรอยด้วยตัวเอง


วิธีการรักษา ลดริ้วรอยใต้ตา 

ลดริ้วรอยใต้ตา

ถ้าหากจะพูดถึงวิธีการรักษาที่ได้ผลเร็ว ก็ขอแนะนำเลยกับวิธีทางการแพทย์ ซึ่งในปัจจุบันได้มีการพัฒนาไปไกลมาก โดยมีด้วยกันถึง 8 วิธี ซึ่งแน่นอนเลยว่ายังมีอีกหลายวิธีที่คุณยังไม่รู้ แต่สำหรับใครที่งบประมาณในการรักษาจำกัด หรือ อยากรักษาด้วยตัวเองพวกเราก็มีคำแนะนำมาฝากด้วยเช่นกัน โดยจะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้  


1.ฉีดฟิลเลอร์  

อีกหนึ่งวิธีทางการแพทย์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากนั่นก็คือ “การฉีดฟิลเลอร์” โดยในจุดที่ฉีดจะเป็นส่วนของใต้ตาสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องริ้วรอยใต้ตา โดยจะสามารถรักษาได้หลายอาการ ไม่ว่าจะเป็น รอยย่นใต้ตา ใต้ตาคล้ำ มีรอยพับใต้ตา หรือ เบ้าตาลึก โดยการรักษาด้วยการฉีดฟิลเลอร์ จะเป็นการเติมเต็มของชั้นกระดูกที่ยุบตัวลงไป จะช่วยให้ใต้ตาเต็มขึ้นอีกครั้ง รวมทั้งลดริ้วรอยแล้วยังทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์เป็นธรรมชาติอีกด้วย 

2.โบท็อก 

สำหรับใครที่มีรอยใต้ตาในเวลายิ้ม รวมทั้งปัญหาใต้ตาอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น รอยพับใต้ตา หรือ เบ้าตาลึก และที่สำคัญ มีริ้วรอยที่หางตา หรือ อาจจะมีการเกิดจากผิวหนังที่มีการขยับบ่อย ๆ โดยในจุดนี้วิธีทางการแพทย์จะใช้การฉีดโบท็อกในการแก้ปัญหา มีข้อดีคือเห็นผลได้เร็ว ราคาไม่แพง อีกทั้งยังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาเลยด้วยเพราะเห็นผลภายใน 5-7 วันเท่านั้น อีกทั้งยังคงสภาพอยู่ได้นานถึง 6 เดือน โดยจะขึ้นอยู่กับแบรนด์ของโบท็อกที่ใช้นั่นเอง 

3.คลื่นวิทยุ “Thermage” 

คลื่นวิทยุสามารถช่วยลดริ้วรอยใต้ตาได้ โดยวิธีทางการแพทย์อย่างการทำ “เทอร์มาจ” เป็นอีกหนึ่งวิธีทีได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน โดยการทำงานของ Thermage จะเป็นการส่งพลังงานความร้อน Monopolar RF หรือคลื่นวิทยุ ที่มีความถี่สูง ส่งลงไปยังชั้นผิวจนถึงชั้นไขมัน โดยจะทำให้คอลลาเจนเกิดการหดตัว กับ กระตุ้นสร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้นมา ซึ่งมีประโยชน์หลัก ๆ ก็คือ จะช่วยลดปัญหาผิวหนังหน่อย ผิวที่มีรอยย่นที่เกิดจากการขาดคอลลาเจนนั่นเอง 

4.คลื่นเสียง Hifu Ultrafomer III 

ปัญหาริ้วรอยใต้ตา เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้ คลื่นเสียง Hifu Ultrafomer III โดยจะเป็นวิธีที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยที่ไม่เยอะมาก โดยวิธีนี้จะใช้คลื่นเสียงอัลตราซาวด์ที่พัฒนามาจากการอัลตราซาวด์ดูครรภ์ โดยจะยิงคลื่นเสียงไปยังชั้นผิว ทำให้หดตัว บริเวณผิวก็จะกระชับขึ้นโดยไม่ต้องฉีดยา ถ้าใครที่กลัวเข็มแนะนำวิธีนี้จะช่วยได้  

5.การฉีดไขมัน 

สำหรับวิธีนี้เป็นวิธีที่เสี่ยงต่อการแพ้สารเติมเต็ม ไม่ว่าจะเป็น โบท็อก หรือ การฉีดฟิลเลอร์ โดยจะเป็นการฉีดไขมันใต้ตา โดยการนำไขมันของตัวคนไข้เองมาฉีดบริเวณที่มีปัญหา โดยจะวิธีนี้จะมีข้อเสียอยู่ที่ขั้นตอนการทำจะยุ่งยากซับซ้อน เสี่ยงผิวไม่เรียบเนียน อีกทั้งมีการเจ็บตัวหลายครั้ง หากจะให้เห็นผลดีจะต้องแก้ปัญหาหลาย ๆ ครั้งนั่นเอง จึงไม่เป็นที่นิยมสักเท่าไหร่ เหมสำหรับคนบางกลุ่มเท่านั้น  

6.การเลเซอร์ 

สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องใต้ตาลึก มีการแสดงสีหน้า หรือ ส่วนของกระดูกใต้ตายุบตัวจะไม่เหมาะกับวิธีนี้ แต่สำหรับใครที่มีปัญหาเล็ก ๆ หรือ ริ้วรอยที่ไม่ลึกมาก ก็จะเหมาะกับการทำเลเซอร์มากกว่า เพราะว่าค่าใช้จ่ายในการรักษาด้วยวิธีนี้สูง แต่เห็นผลช้า ไม่ชัดเจน จึงไม่ค่อยได้รับความนิยมแล้วในปัจจุบัน 

7.การทำ PRP 

สำหรับการทำ PRP หรือ Platelet Rich Plasma จะเป็นการแก้ปัญหาด้วยการนำเกล็ดเลือดของตัวเองเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหารื้วรอยใต้ตา รวมทั้ง แก้ปัญหาเรื่องใต้ตาคล้ำ โดยการรักษาจะใช้วิธีเจาะเลือดประมาณ 20 ซีซี ก่อนที่จะนำมาปั่นแยกส่วน เพื่อได้พลาสมาที่มีเกล็ดเลือดที่เข้มข้น โดยวิธีนี้มีข้อดีคือ ช่วยลดการอักเสบ รวมทั้งกระตุ้นสร้างคอลลาเจน ฟื้นฟูทำให้รอบดวงตากลับมาอิ่มฟูได้ 

โดยการทำ PRP แบบทั่วไป จะมีความปลอดภัยมากถ้ารักษาโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ดังนั้นไม่ต้องกลัวเลยเกี่ยวกับผลข้างเคียง แต่ในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด โลหิตจาง อีกทั้งโรคประจำตัวอื่น ๆ จะไม่เหมาะกับวิธีนี้

8.ศัลยกรรมผ่าตัด 

การศัลยกรรม หรือ การผ่าตัด ตรงตัวเลยก็คือการผ่าตัดเพื่อลบริ้วรอยใต้ตา โดยเป็นการแก้ปัญหาที่ได้ผลนานกว่าวิธีอื่น ๆ โดยส่วนใหญ่แล้วจะนิยมการผ่าเอาถุงใต้ตา หรือ จัดการกับตัวผิวที่หน่อยคล้อยมาก ๆ เอาออกไป ทำให้ผิวตาตึงกระชับ ซึ่งวิธีนี้จะนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างเร่งด่วน แต่มีข้อเสียคือ การพักฟื้น และ การเจ็บตัวที่หลีกเลี่ยงใช้วิธีอื่น ๆ ไปได้ 


3 วิธีการรักษาแบบธรรมชาติ

ลดริ้วรอยใต้ตา

1.ครีม ลดริ้วรอยใต้ตา สูตรสมุนไพร

สำหรับวิธีการรักษาริ้วรอยใต้ตาด้วยตัวเองนั้น จะมีหลายสูตร หลายวิธีที่แชร์ต่อกันมา โดยการใช้ครีมลดริ้วรอย ที่มีขายตามท้องตลาดที่มีส่วนผสมของสมุนไพร โดยมีสูตรที่นิยมเช่น ครีมสูตรแตงกวา,ใบบัวบก,มะเขือเทศ รวมไปถึง แครอท หรือ ว่านหางจระเข้ด้วย แน่นอนเลยว่าส่วนใหญ่จะใช้มาส์กที่บริเวณหน้าเพื่อลดริ้วรอยรอบดวงตา ซึ่งจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดี

2.ครีมลดริ้วรอยสูตรวิตามิน 

ในปัจจุบันนี้ มีเวชสำอางหรือยาทาในกลุ่มของ “วิตามินซี” กับ “วิตามินเอ” อย่าง เรตินอล ที่จะช่วยลดริ้วรอยใต้ตาได้เป็นอย่างดี เพราะจะสามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น รวมทั้งปรับสีผิวใต้ตาให้ดูสว่าง รวมทั้งจะทำให้ดูสดใสขึ้น จะเหมาะกับผู้ที่เพิ่งจะเริ่มมีปัญหาริ้วรอยใต้ตาในจุดเล็ก ๆ ซึ่งครีมเหล่านี้จะช่วยชะลอการเกิดรอยที่ลึกขึ้น ในปัจจุบันยังคงได้รับความนิยม ถึงแม้ว่าจะใช้เวลาในการรักษาไปสักระยะ แต่ก็ยังได้ผล แต่กลับบางคนที่ผิวบางแพ้ง่ายอาจจะยังระคายเคืองต่อเวชสำอางเหล่านี้ได้จึงเหมาะสำหรับคนบางกลุ่มเท่านั้น 


จะเห็นได้เลยว่าการรักษา ลดริ้วรอยใต้ตา เป็นเรื่องที่ไม่ยากแล้วในปัจจุบันด้วยนวัตกรรมการรักษาทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าขึ้นมาก มีหลากหลายวิธีที่จะช่วยให้คุณลดความกังวลเกี่ยวกับปัญหานี้ได้อย่างมั่นใจ โดยปกติแล้ววิธีเดิม ๆเช่นการผ่าตัดศัลยกรรม กำลังจะลดลงเรื่อย ๆ เพราะด้วยข้อเสียที่ต้องใช้เวลาพักฟื้น หรือ การเจ็บตัว ดังนั้นการรักษาแบบคลื่นวิทยุ หรือ การฉีดฟิลเลอร์ เติมเต็มด้วยโบท็อกซ์จะได้รับความนิยมมากกว่า ด้วยข้อดีที่มีมากกว่าข้อเสียทำให้คนไข้เชื่อมั่นในวิธีต่าง ๆ เหล่านี้มากกว่า แต่สำหรับวิธีการรักษาแบบธรรมชาติ ก็จะช่วยได้ในส่วนของอาการเบื้องต้น หรือ ในกลุ่มที่เป็นไม่มากนัก การทาครีม หรือ วิตามินช่วยกระตุ้นคอลลาเจนก็ยังได้รับความนิยมอยู่ แต่ในปัจจุบัน การรับประทานคอลลาเจนเสริม ก็ช่วยบำรุงใต้ตา บำรุงผิวใต้ตา รวมทั้งลดริ้วรอยใต้ตาได้เช่นเดียวกัน 


คอลลาเจน ช่วยบำรุงใต้ตา ลดริ้วรอยใต้ตา ได้อย่างไร

ลดริ้วรอยใต้ตา

เป็นอีกหนึ่งคำถามที่หลายคนสงสัยเลยว่า “คอลลาเจน” ที่โดดเด่นในเรื่องของการดูแลผิว ช่วยให้ผิวดูเปล่งปลั่งมีความชุ่มชื้น แก้หน้าโทรม จะช่วยบำรุงใต้ตาได้เหมือนกันหรือไม่ ซึ่งก็ต้องขอตอบตรงนี้เลยว่า คอลลาเจนคือหนึ่งในสารสกัดที่ช่วยบำรุงผิว บำรุงผิวใต้ตาได้เป็นอย่างดี เพราะนี่คือโปรตีนที่มีมากที่สุดในร่างกาย ซึ่งจะคิดเป็น 1 ใน 3 ของโปรตีนทั่วร่างกายสำหรับตัวคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของผิวหนัง เล็บ ผม กระดูก ข้อต่อ กล้ามเนื้อ และ เส้นเอ็น ซึ่งยิ่งได้รับมากเท่าไหร่ก็จะช่วยบำรุงในส่วนต่าง ๆมากเท่านั้น ด้วยหน้าที่ของสารสกัดชนิดนี้ที่เหมือนกับกาวคอยเชื่อม ซ่อมแซมในส่วนที่ร่างกายสึกหรออยู่ตลอดเวลา แต่การสร้างคอลลาเจนมีจำกัดช่วงอายุ เมื่อไหร่ที่อายุมากขึ้น การสร้างคอลลาเจนก็จะลดน้อยลงมานั่นเอง นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ร่างกายของเราควรได้รับคอลลาเจนอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งคอลลาเจนจะมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายด้านดังนี้ 


ประโยชน์แท้จริงของ “คอลลาเจน” 

การศึกษาวิจัยทางสถาบันที่สำคัญเกี่ยวกับสุขภาในต่างประเทศได้มีการวิจัยเกี่ยวประโยชน์ที่น่าสนใจของคอลลาเจนเอาไว้มากมาย ซึ่งแต่ละผลงานก็แสดงถึงข้อดีที่คอลลาเจนช่วยดูแลสุขภาพทั้งกล้ามเนื้อ ผิวหนัง ข้อต่อ กระดูก รวมไปถึงการลดความเจ็บปวดจากโรคที่เกี่ยวกับข้อเข่าเสื่อมได้ดีด้วยเช่นกัน  โดยพวกเราจะขอพูดถึงตัวอย่างงานวิจัย ที่บ่งบอกถึงประโยชน์ของ “คอลลาเจน” เอาไว้ชัดเจน ดังนี้ 


1.งานวิจัยจากจีน โดย แอมเวย์ประเทศจีน

เริ่มต้นกันด้วยงานวิจัยโดย แอมเวย์ จากประเทศจีน ที่ให้ผู้หญิง 62 คน ที่มีภาวะ “ฝ้า” บนใบหน้า ให้รับประทานผลิตภัณฑ์ที่ประกอบไปด้วยคอลลาเจนแบบ เปปไทด์ รวมทั้งเปปไทด์จากถั่วเหลือง พร้อมทั้งสารสกัดจากดอกเก๊กฮวย 10 กรัม ในทุกวัน เป็นระยะเวลากว่า 60 วัน ผลการวิจัยพบว่ารอยดำที่ฝ้าจางลง เมื่อนำไปเทียบกับผู้ที่ไม่ได้รับประทานผลิตภัณฑ์คอลลาเจน 

2.งานวิจัย ของผู้หญิงรับประทาน “คอลลาเจน” 

การศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่องของ “คอลลาเจน” เพราะสำหรับผู้หญิงที่รับประทานคอลลาเจน 2.5-5 กรัมต่อวัน ติดต่อกันเป็นเวลากว่า 2 เดือน จะพบว่าผิวแห้งน้อยลง มีความยืดหยุ่น ความชุ่มชื้นของผิวอย่างเห็นได้ชัด รวมไปถึงการรับประทาคอลลาเจนเกิน 2 เดือนขึ้นไป พบว่าความลึกของริ้วรอยลดลงอย่างมาก เมื่อเทียบกับผู้ที่ได้รับประทานผลิตภัณฑ์คอลลาเจน 

3.ช่วยลดอาการปวดของ ข้อต่อ ในผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม

มีผลงานวิจัยจากต่างประเทศที่มีผลดีต่อผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม เพราะเมื่อไหร่ที่มีอาการอักเสบของโรคนี้จะทำให้ปวดข้อเข่าเป็นอย่างมาก แต่เมื่อรับประทานคอลลาเจนอยู่เป็นประจำ อาการปวดของโรคนี้ก็จะบรรเทาลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะด้วยคอลลาเจนทำหน้าที่เปรียบเหมือนกาวที่คอยช่วยซ่อมแซมในส่วนข้อต่อ ข้อเข่าที่เกิดการอักเสบ ลดอาการเจ็บปวดได้เป็นอย่างดี 


อย่างไรก็ตาม “คอลลาเจน” คือหนึ่งในสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่จะช่วยชะลอความแก่ ยังคงทำให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย อีกทั้งการรับประทานคู่กับ วิตามินซี หรือ วิตามินประเภทอื่นที่ทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระเช่นเดียวกัน ก็จะทำให้ผิวที่แห้ง กลับมามีความยืดหยุ่นชุ่มชื้น พร้อมกับสุขภาพผิวหน้าที่ริ้วรอยดูจางลง ทั้งรอยดำจากสิว รอยดำจากฝ้า ก็จะค่อย ๆจางลงจนมองไม่เห็นนั่นเอง ดังนั้นแล้วการเลือกรับประทานคอลลาเจน ก็จำเป็นที่จะต้องเลือกในรูปแบบที่ส่งผลดีต่อร่างกายมากที่สุดนั่นเอง


เลือกใช้คอลลาเจนรูปแบบไหนดี

ลดริ้วรอยใต้ตา

รูปแบบของ “คอลลาเจน” คืออีกหนึ่งเรื่องสำคัญสำหรับผู้ที่รับประทานเช่นเดียวกัน เพราะด้วยสูตรต่าง ๆของแต่ละแบรนด์ก็จะมีจุดเด่นที่ค่อนข้างแตกต่างกันอยู่บ้าง ซึ่งคอลลาเจนนั้นจะมีรูปแบบที่คุณรู้จักกันดีนั่นก็คือ “คอลลาเจนเปปไทด์” นั่นเอง โดยรูปแบบของคอลลาเจนชนิดนี้จะหมายถึง คอลลาเจนที่ทำการสกัดให้อยู่ในรูปแบบของสายกรดอะมิโนที่สั้นขึ้น เพราะปกติแล้วจะมีขนาดที่ใหญ่ทำให้ร่างกายของเราดูดซึมได้ยาก ดังนั้นการเลือกใช้คอลลาเจนที่มีรูปแบบที่ดูดซึมง่ายจะตอบโจทย์การดูแลสุขภาพได้มากที่สุด พร้อมทั้งเห็นผลได้เร็วที่สุดด้วยเช่นกัน 


เลือกใช้คอลลาเจน ไดเปปไทด์

อันที่จริงแล้วเราอาจจะคุ้นหูกันอยู่บ้างกับ “คอลลาเจน ไตรเปปไทด์” โดยจะเป็นคอลลาเจนที่มีการเรียงตัวรวมกันของคอลลาเจนที่ใหญ่ มีขนาดเฉลี่ยราว ๆ 300-400 คาลตัน แต่ในส่วนของ คอลลาเจน “ไดเปปไทด์” จะมีขนาดเล็กกว่าถึง 300 คาลตัน ทำให้จุดเด่นในเรื่องการดูดซึมนั้นรูปแบบของ  Collagen Dipeptide ไดเปปไทด์จะสามารถดูดซึมได้ดีกว่ามากจึงขอแนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีรูปแบบคอลลาเจนประเภทนี้ 


รู้จัก “คอลลาเจนไดเปปไทด์” 

Collagen Dipeptide จะเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่พัฒนาการสกัดคอลลาเจนให้อยู่ในรูปแบบโมเลกุลที่เล็กมาก โดยเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 200 คาลตัน ด้วยกรดอะมิโนโครงสร้างหลักที่เรียงตัวต่อกันเพียง 2 หน่วย ทำให้ร่างกายนั้นสามารถดูดซึมได้เร็ว และ มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจุดเด่นของ คอลลาเจนไดเปปไทด์ จะมีเรื่องที่โดดเด่นดังต่อไปนี้ 

  • จะช่วยลดอาการปวดข้อเข่า สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม และ ช่วยบำรุงจ้อต่อให้แข็งแรง
  • ช่วยเพิ่มน้ำในข้อต่อของร่างกาย ทำให้เคลื่อนไหวได้ดี ข้อต่อไม่ขัดกัน
  • บำรุงเส้นผม ลดอาการผมร่วง ผมบาง
  • ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ลดความเสี่ยงโรคกระดูกเปราะ 
  • จะช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น กระชับเรียบเนียน พร้อมชะลอการเกิดริ้วรอย
  • รอยดำ ฝ้า จะจางลง พร้อมทั้งช่วยลดการเกิดสิวด้วย 

จุดเด่นของคอลลาเจนประเภทนี้ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมในส่วนที่สึกหรอมากมาย เรียกได้ว่ายิ่งคอลลาเจนมีโมเลกุลที่เล็ก การดูดซึมของร่างกายก็จะสามารถทำได้ดีเช่นเดียวกัน แต่เรื่องสุดท้ายที่ขอนำมาฝากคนรักสุขภาพในบทความนี้ก็คือ ขอแนะนำ 10 คอลลาเจนประเภท “ไดเปปไทด์” ยอดนิยม ซึ่งมีสูตรที่ผสมวิตามินซี รวมทั้งสารสกัดอื่น ๆที่มีผลดีทั้งต่อผิวพรรณ กระดูก ข้อต่อ และ ช่วยบำรุงร่างกายกับการปรับสมดุลทั้งหมด โดยมีผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ 


10 คอลลาเจนไดเปปไทด์ แบรนด์ยอดนิยม 

ลดริ้วรอยใต้ตา

1.Vistra Collagen Dipeptide Plus Vitamin C

จุดเด่นของ Vistra Collagen Dipeptide Plus Vitamin C ก็คือ เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมคอลลาเจนไดเปปไทด์ที่เปปไทด์สูงมากถึง 1,000 มิลลิกรัม ต่อ 1 เม็ด สิ่งที่ทำให้น่าเชื่อถืออีกเรื่องคือ แบรนด์นี้เป็นลิขสิทธิ์จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งผ่านการทดสอบวิจัยมาแล้วว่า สามารถดูดซึมได้เร็ว สังเคราะห์คอลลาเจนได้ดี ช่วยฟื้นฟูผิวแห้งเสีย ลดริ้วรอย รวมทั้งเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวได้เป็นอย่างดี อีกทั้งมีส่วนผสมของ วิตามินซี ที่ช่วยบูสต์ให้เห็นผลได้เร็วด้วย

2.Dr.PONG 100,000 mg Collagen Dipeptide Plus Vitamin C

ความโดดเด่นของ Dr.PONG 100,000 mg Collagen Dipeptide Plus Vitamin C  ก็คือ เป็นคอลลาเจนรูปแบบพรีเมียมจากประเทศญี่ปุ่น ไม่ต้องกังวลกับสารตกค้าง ไม่มีสี ไม่แต่งกลิ่น ไม่แต่งรส ไม่มีน้ำตาล ด้วยความโดดเด่นในเรื่องโมเลกุลขนาดเล็กของ คอลลาเจนไดเปปไทด์ ทำให้ช่วยบำรุงผิวได้เป็นอย่างดี 

3.Donutt Collagen Dipeptide Plus Calcium

สำหรับใครที่มีปัญหาในเรื่องกระดูก อยากบำรุงกระดูก ขอแนะนำเลยกับ Donutt Collagen Dipeptide Plus Calcium ซึ่งจะเป็นคอลลาเจนไดเปปไทด์ทีมีคุณค่าของคอลลาเจนสูงมากถึง 120,000 มิลลกิกรัมต่อ 1 กระป๋อง โมเลกุลขนาดเล็กมีมาตรฐานการผลิตจากประเทศญี่ปุ่น ทำให้ช่วยบำรุงผิวพรรณ พร้อมทำหน้าที่เป็นกาวซ่อมแซมร่างกายได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญผลิตภัณฑ์นี้ยังมีแคลเซียมที่จะช่วยบำรุงกระดูก กับ ป้องกันอาการข้อเข่าเสื่อมด้วย 

4.VIDA C&E Collagen Dipeptide

VIDA C&E Collagen Dipeptide เป็นอีกหนึ่งอาหารเสริมคอลลาเจนไดเปปไทด์ที่มีคุณภาพระดับพรีเมียมจากญี่ปุ่นอีกเช่นเดียวกัน ด้วยโมเลกุลขนาดเล็กทำให้ดูดซึมง่าย พร้อมทั้งสารสกัดจากส้ม เลมอนฝรั่งเศส และ วิตามินกว่า 11 ชนิด จะช่วยบำรุงผิวพรรณให้ดูกระชับเรียบเนียน ลดเลือดการเกิดริ้วรอยได้เป็นอย่างดี 

5.Zeavita Activ 70x Collagen Plus

เป็นอีกหนึ่งอาหารเสริมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะว่าเป็นคอลลาเจนไดเปปไทด์ที่มาจากปลา 100% ไม่แต่งสี ปรุงรสอื่น ๆ ด้วยจุดเด่นของ Zeavita Activ 70x Collagen Plus ที่ไม่ผสมกับคอลลาเจนชนิดอื่น ทำให้ได้รับคุณค่ามากขึ้น 70 เท่า พร้อมทั้งอุดมไปด้วยวิตามินซี กับ วิตามินบี 3 ซึ่งจะช่วยดูแลผิวพรรณให้กระชับเรียบเนียนอยู่เสมอ กลิ่นคอลลาเจนคล้ายผลไม้ ทานง่าย อร่อย ปราศจากน้ำตาล

6.VISTRA Pure Collagen Dipeptide

เป็นอีกหนึ่งสูตรที่ขอแนะนำกับ Pure Collagen Dipeptide จากแบรนด์ VISTRA ซึ่งจะเป็นคอลลาเจนที่มีคุณค่าทางวิตามินซี รวมทั้ง Co-Q10 ช่วยทำให้ร่างกายดูดซึมคอลลาเจนได้ง่าย คอลลาเจนไดเปปไทด์จากปลาทะเลแบบไม่มีคอลลาเจนชนิดอื่นผสม ทำให้ผิวพรรณดูเรียบเนียน กระชับ กระจ่างใส พร้อมช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงด้วย 

7.JOJU Collagen Dipeptide

อีกหนึ่งแบรนด์จากประเทศญี่ปุ่น JOJU Collagen Dipeptide กับ ส่วนผสมส้มสีแดงจากอิตาลี ,คาลาไมน์ญี่ปุ่น และที่สำคัญยังมีแร่ธาตุสังกะสี ที่จะเป็นตัวช่วยบำรุงผิว ลดรอยดำ รอยแดง พร้อมทั้งเสริมสร้างคอลลาเจนในชั้นกระดูกได้เป็นอย่างดี 

8.Zenji Collagen Dipeptide Plus Tripeptide

คอลลาเจนแบรนด์นี้จะต้องนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น เพราะสำหรับ Zenji Collagen Dipeptide Plus Tripeptide เองแล้วนั้น จะมีชนิดทั้ง ไดเปปไทด์ กับ ไตรเปปไทด์ ที่สกัดมาจากปลาทะเล 100% ซึ่งจะดูดซึมง่ายเพราะโมเลกุลที่เล็ก ส่งผลให้ได้รับประโยชน์จากคอลลาเจนได้อย่างเต็มที่ จะช่วยลดอาการปวดข้อเข่า และ บำรุงผิวให้ดูสุขภาพดีอยู่เสมอ 

9.PiaOMe Pure Collagen Dipeptide

ด้วยปริมาณคอลลาเจนที่มีมากถึง 1 แสน มิลลิกรัม PiaOMe Pure Collagen Dipeptide จากญี่ปุ่น สามารถตอบโจทย์คุณได้ เพราะคอลลาเจนไดเปปไทด์ของแบรนด์นี้ จะช่วยเสริมสร้าง กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ช่วยให้ผิวเรียบเนียนกระชับ ที่สำคัญ กระดูก เส้นผม เล็บ จะดูมีความแข็งแรงเพิ่มมากขึ้นด้วย 

10.Well U Collagen Dipeptide & Tripeptide

การผสมผสานระหว่าง คอลลาเจน ไดเปปไทด์ กับ ไตรเปปไทด์ จะช่วยทำให้ร่างกายดูดซึมได้อย่างรวดเร็ว โดย Well U Collagen Dipeptide & Tripeptide จะอุดมไปด้วยสารสกัดจากเห็ดหูหนูขาว จมูกข้าวญี่ปุ่น รวมไปถึงวิตามินซี และ ไบโอติน ที่จะช่วยเร่งการสร้างคอลลาเจนได้ดีขึ้น พร้อมทั้งบำรุงสุขภาพผิว เส้นผม เล็บ ที่สำคัญผิวพรรณก็จะดูกระจ่างใสมากขึ้นด้วย 


เรียกได้ว่าทั้ง 10 คอลลาเจนไดเปปไทด์ จะมีจุดเด่นในเรื่องที่เน้นไปทางการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ส่วนประโยชน์ที่ได้รับจากคอลลาเจนนั้นจะมีความคล้ายกัน ได้แก่ การบำรุงผิว ลดริ้วรอยใต้ดวงตา ข้อเข่า เป็นต้น อย่างไรก็ตามร่างกายของแต่ละคนนั้นมีการดูดซึมไม่เท่ากัน บางคนรับประทานคอลลาเจนใช้เวลาไม่นานถึงเห็นผล แต่สำหรับบางคนใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล เพราะนอกจากประเภทของคอลลาเจนแล้ว ปัจจัยในด้านอื่น ๆไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมในการใช้ชีวิตที่อาจจะส่งผลให้ร่างกายเกิดการดูดซึมได้ช้า แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องที่คนรักสุขภาพต้องทำความเข้าใจ 


สำหรับใครที่กำลังพบเจอกับปัญหาริ้วรอยใต้ดวงตา ร่องลึก ริ้วรอยจากสิว แน่นอนเลยว่าบนใบหน้าเมื่อเกิดริ้วรอย หรือ จุดด่างดำ ความมั่นใจในการใช้ชีวิตก็จะลดลงไปเป็นอย่างมากเพราะใคร ๆ ก็อยากมีใบหน้าที่ดูอ่อนกว่าวัย มีผิวกระจ่างใสสุขภาพดี ดังนั้นการเติมเต็มด้วยคอลลาเจนจึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ขอแนะนำว่าสามารถปรับเปลี่ยนตัวเองได้อย่างที่คุณไม่ต้องเจ็บตัว อย่างไรก็ตามการรักษาริ้วรอยใต้ตายังมีวิธีทางการแพทย์ที่ช่วยได้ ถ้าเกิดว่ามีการรักษาควบคู่กันไป ก็จะเห็นผลได้เร็วขึ้นนั่นเอง สุดท้ายนี้ใครที่กำลังรักษาริ้วรอยใต้ดวงตาพวกเราก็ขอเป็นกำลังใจให้สุขภาพผิวกลับมาแข็งแรง กระชับเรียบเนียน และ สดใสเหมือนวัยเยาว์


อ้างอิง:

skin

ผิวขาดน้ำใช้อะไรดี รวม 5 สูตรมาสก์หน้าเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว

February 15, 2023
ผิวขาดน้ำใช้อะไรดี

ผิวขาดน้ำเป็นอีกหนึ่งปัญหาผิวหนังสำหรับหลายคน ซึ่งปัญหาผิวขาดน้ำนี้จะมีผลทำให้ผิวมันมากกว่าปกติ ผิวหยาบกร้านและตามมาด้วยปัญหาผิวอีกมากมาย ซึ่งภาวะผิวขาดน้ำสามารถเกิดขึ้นได้กับผิวทุกประเภท ทั้งผิวแห้ง ผิวมัน โดยเฉพาะผิวแพ้ง่ายจะมีโอกาสเกิดภาวะผิวขาดน้ำสูงกว่าผิวชนิดอื่น ซึ่งปัญหาผิวขาดน้ำสังเกตได้ยาก ทำให้คนส่วนมากทำการรักษาผิดวิธี ส่งผลให้ปัญหาผิวที่เป็นอยู่มีอาการหนักขึ้น ดังนั้นวันนี้เรามาทำความรู้จักกับผิวขาดน้ำว่ามีสาเหตุ อาการและวิธีการดูแลรักษาอย่างไร  ผิวขาดน้ำใช้อะไรดี ผิวถึงจะกลับมาสวยงามเป็นปกติได้


ผิวขาดน้ำ เกิดจากสาเหตุอะไร

ผิวขาดน้ำใช้อะไรดี

ผิวขาดน้ำ คือ ภาวะที่ปริมาณน้ำที่อยู่ในผิวน้อยกว่าร้อยละ 10 ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น ซึ่งผิวขาดน้ำเป็นสภาพที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกสภาพผิว ทั้งผิวมัน ผิวผสม ผิวแห้งและผิวแพ้ง่าย โดยผิวขาดน้ำจะมีลักษณะคล้ายผิวแห้งหลังจากล้างหน้าเสร็จใหม่ แต่หลังล้างหน้าไม่นาน ผิวหน้าจะมีความมันเพิ่มสูงขึ้นอย่างผิดปกติ โดยเฉพาะบริเวณทีโซน ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเมื่อผิวมีภาวะขาดน้ำจะทำให้ผิวมีการสร้างน้ำมันเพิ่มมากขึ้น เพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว ส่งผลให้ผิวมีความมันเพิ่มขึ้นนั่นเอง ซึ่งสาเหตุของผิวขาดน้ำ มีดังนี้

  1. ชั้น lipid bilayer ถูกทำลาย ผิวจะมีชั้นผิว lipid bilayer ทำหน้าที่ในการป้องกันและรักษาน้ำให้อยู่ในผิว ซึ่งชั้นผิวนี้ถูกทำลายได้ด้วยการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การอาบน้ำร้อน การใช้สารเคมีชนิดรุนแรง หรือการแพ้สารเคมีบางชนิด เป็นต้น เมื่อผิวชั้น lipid bilayer ถูกทำลายจะทำให้ผิวไม่สามารถรักษาน้ำให้อยู่ในผิวได้ ทำให้ผิวขาดน้ำ
  2. ผิวขาดสารความชุ่มชื้น โดยปกติผิวของคนเราจะมีสารที่ทำหน้าที่กักเก็บความชุ่มชื่น เช่น อะมิโน แอซิด สารกลุ่มแลคเตท ไฮยาลูรอนิค แอซิด เป็นต้น หากผิวขาดสารเหล่านี้จะทำให้ไม่สามารถอุ้มน้ำให้อยู่ในผิวได้ ทำให้ผิวขาดน้ำได้เช่นกัน ซึ่งสารเหล่านี้จะโดนทำลายได้ด้วยความผิดปกติของร่างกายและการใช้สารเคมีที่รุนแรง เช่น โรคภูมิแพ้ เป็นต้น
  3. การใช้ชีวิตประจำวัน การดำเนินชีวิตบางอย่างก็ส่งผลให้ผิวเกิดภาวะขาดน้ำได้ เช่น การพักผ่อนน้อย การดื่มน้ำน้อย การดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่มาก เป็นต้น

จะเห็นว่าสาเหตุที่ทำผิวขาดน้ำเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ ซึ่งภาวะผิวขาดน้ำนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในทันทีทันใด แต่จะมีการสะสมทีละน้อยจนเมื่อผิวขาดน้ำขั้นรุนแรงจึงจะแสดงอาการออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งผิวขาดน้ำสามารถรักษาได้ ด้วยการดูแลอย่างถูกต้อง แนะนำขั้นตอนการดูแลผิวหน้า เพื่อสุขภาพผิวที่ดี 


ผิวขาดน้ำใช้อะไรดี แก้ไขได้อย่างไร?

ผิวขาดน้ำใช้อะไรดี

ผิวขาดน้ำสามารถรักษาและแก้ไขให้หายได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อทำการรักษา ซึ่งการแก้ไขผิวขาดน้ำสามารถทำได้ดังนี้

  1. ดื่มน้ำให้มาก ร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำประมาณ 70-80% น้ำจึงมีความจำเป็นต่อร่างกายสูงมาก ทั้งการชะล้างสิ่งสกปรก เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบในร่างกายและเสริมความแข็งแรงชุ่มชื้นให้กับเซลล์ ดังนั้นในทุกวันจำเป็นต้องดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 2-3 ลิตรต่อวัน และหากมีภาวะผิวขาดน้ำจะต้องดื่มน้ำเพิ่มอีก 15-20% เพื่อให้น้ำเข้าไปทดแทนส่วนที่ขาดหายไป
  2. นอนให้เพียงพอ การนอนอาจมองว่าไม่เกี่ยวกับการแก้ไขผิวขาดน้ำ แต่เชื่อหรือไม่ว่าการนอนจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับผิว ทำให้ผิวสามารถรักษาและกักเก็บน้ำในผิวได้มากขึ้น ดังนั้นจึงควรนอนพักผ่อนให้เพียงพอทุกวัน 
  3. งดสารเคมี ปัจจุบันนี้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวมักจะมีการผสมสารเคมีเข้าไปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้สูงขึ้น ดังนั้นควรเลือกแบบที่ไม่ใช้สารเคมีหรือสูตรอ่อนโยนที่เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ เพื่อลดความระคายเคืองและอันตรายที่จะเกิดกับผิว โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการทำความสะอาดผิวจะต้องเป็นสูตรอ่อนโยนและเหมาะกับสภาพผิวเท่านั้น สกินแคร์ที่ช่วยบำรุงผิวขาดความชุ่มชื้น
  4. รับประทานผักผลไม้เพิ่มขึ้น นอกจากการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่แล้ว ควรจะเน้นการกินผักและผลไม้จะมีส่วนประกอบของน้ำและวิตามินเป็นหลัก ซึ่งน้ำและวิตามินที่อยู่ในผักผลไม้จะเข้าไปเพิ่มปริมาณน้ำและความแข็งแรงของผิว 

การแก้ไขให้ผิวขาดน้ำกลับมามีสุขภาพดีทำได้ไม่ยาก เพียงแค่ใส่ใจดูแลและปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันให้เหมาะสม ดื่มน้ำมาก ๆ นอนพักผ่อนเยอะและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสูตรอ่อนโยน นอกจากนั้นการมาร์กหน้าก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยแก้ไขให้ผิวกลับมาชุ่มชื่นได้อย่างรวดเร็วด้วย หรือถ้าผิวลอกเป็นขุยหนักมาก


5 สูตรมาสก์หน้าแก้ผิวขาดน้ำ

ผิวขาดน้ำใช้อะไรดี

การมาสก์หน้าสามารถช่วยดูแลผิวขาดน้ำให้กลับมามีชุ่มชื้นและมีสุขภาพที่ดีขึ้นได้ ซึ่งสูตรมาสก์หน้าที่จะช่วยเติมน้ำให้กับผิวมีดังนี้

1. สูตรที่ 1 นมสด+ขมิ้น สูตรนี้นำนมสดผสมกับขมิ้นในอัตราส่วน 1:2 หรือผสมให้มีลักษณะเป็นเนื้อครีมสีเหลือง นำมามาสก์หน้าบาง ๆ ประมาณ 15-20 นาที สูตรนี้นมสดจะเข้าไปเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และยังช่วยขับผิวให้ขาวใสอีกด้วย

2. สูตรที่ 2 แตงกวา+น้ำผึ้ง นำแตงกวามาบดละเอียด 2 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา นำมามาสก์หน้าทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แตงกวาถือว่าเป็นผักที่มีน้ำสูง การนำมามาสก์หน้าน้ำในแตงกวาจะซึมเข้าสู่ผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้น ส่วนน้ำผึ้งจะช่วยฆ่าเชื้อที่อยู่บนผิวหน้าทำให้ผิวแข็งแรง ลดการเกิดสิวได้อีกด้วย

3. สูตรที่ 3 มะเขือเทศ+โยเกิร์ต นำมะเขือเทศบด 1 ช้อนโต๊ะผสมโยเกิร์ต 1 ช้อนโต๊ะ ผสมแล้วนำไปมาสก์หน้า ทิ้งไว้ 15-20 นาที มะเขือเทศและโยเกิร์ตจะเข้าไปเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวแล้ว ในมะเขือเทศยังมี AHA ช่วยขัดเซลล์ผิว เพิ่มความกระจ่างใสให้กับผิว

4. สูตรที่ 4 ไข่ขาว+โยเกิร์ต ไข่ขาว 1 ฟองผสมกับโยเกิร์ต 1 ช้อนโต๊ะ มาสก์ทิ้งไว้ 5-10 นาที โยเกิร์ตช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ไข่ขาวช่วยรักษาความชุ่มชื้น เพิ่มความเต่งตึงให้ผิว

5. สูตรที่ 5 กล้วย+น้ำผึ้ง กล้วยบด ½ ถ้วยตวงผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ มาสก์หน้าทิ้งไว้ 5-10 นาที กล้วยและน้ำผึ้งเพิ่มความชุ่มชื้นและลดเลือนริ้วรอย ส่วนน้ำผึ้งยังส่วนลดการอักเสบของผิวด้วย

สูตรมาสก์หน้าที่นำมาในวันนี้เป็นสูตรมาสก์หน้าที่รับรองได้ว่าช่วยปรับแก้ไขให้ผิวขาดน้ำกลับมาชุ่มชื่น หรือลอง วิธีดูแลผิวให้ชุ่มชื้นขึ้น เติมเต็มน้ำใต้ผิว ทำให้ผิวกลับมาชุ่มชื่น เนียนนุ่มและกระจ่างใสไปพร้อมกัน การมาสก์หน้าสำหรับผู้ที่ผิวขาดน้ำควรมาสก์หน้าอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง จนผิวกลับมาชุ่มชื้นให้ปรับมามาสก์หน้าสัปดาห์ละ 1 ครั้งก็เพียงพอแล้ว รับรองได้การมาสก์หน้าด้วยสูตรที่ให้มานี้อ่อนโยนต่อทุกสภาพผิวแน่นอน


อ้างอิง 

skin

ขัดผิวขาวเร่งด่วน สูตรง่าย ๆ ด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติ

February 9, 2023
ขัดผิวขาวเร่งด่วน

การมีผิวขาวใสแน่นอนว่าเป็นที่ต้องการของทุกคน แต่ว่าหลังจากไปเที่ยวตากอากาศสัมผัสลมหนาว สายลม แสงแดดเพื่อชาร์ตพลังงานให้กับตัวเอง พอกลับมาถึงพบว่าผิวขาวเนียนได้กลายมาเป็นผิวหมองคล้ำ หยาบกร้านไปเสียแล้ว สาว ๆ ไม่ต้องกังวลไป เพราะวันนี้เรามีสูตร ขัดผิวขาวเร่งด่วน ที่จะช่วยฟื้นฟูผิวเสีย ผิวหมองคล้ำของคุณให้กลับมาขาว เนียนนุ่มด้วยวัตถุดิบง่าย ๆ จากธรรมชาติมาฝากกัน


การขัดผิวสำคัญหรือไม่ จำเป็นต้องขัดทุกวันไหม?

ขัดผิวขาวเร่งด่วน

หลายคนมีข้อสงสัยว่าการขัดผิวมีความจำเป็นหรือไม่ ถ้าไม่ขัดผิวแล้วผิวจะกลับมาขาวได้ไหม แน่นอนว่าถ้าคุณไม่ขัดผิว ผิวของคุณก็จะกลับมาขาวได้ แต่ว่าจะต้องใช้ระยะเวลาหลายเดือนกว่าผิวจะกลับมาขาวเนียนและก่อนที่ผิวจะขาว ผิวของคุณจะกระดำกระด่างไม่น่ามองเอาเสียเลย

ซึ่งการขัดผิวจะเข้าไปกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายและติดอยู่บนผิวหนังออกมา เผยให้เห็นผิวใหม่ที่มีขาว เนียนและมีสุขภาพดี อีกทั้งการขัดผิวไม่จำเป็นต้องขัดทุกวัน โดยการขัดผิวจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ

  • ขัดผิวเพิ่มความเนียนเรียบ สำหรับคนปกติทั่วไปที่ผิวไม่มีปัญหาหมองคล้ำ มีจุดด่างดำ เนื่องจากแสงแดด ลมหนาวแล้ว การขัดผิวสามารถขัดผิวสัปดาห์ละครั้งหรือ 2 สัปดาห์ครั้งก็ได้ เพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่และขัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายไปให้หลุดออกจากผิวหนัง ลดการอุดตันของรูขุมขนและทำให้ผิวกระจ่างใสมากขึ้น 
  • ขัดผิวเพื่อเร่งผิวขาว สำหรับคนที่ต้องการขัดผิวเพื่อเร่งผิวให้กลับมาขาว เนียนใสแบบเร่งด่วน ควรทำการขัดผิวสัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยการขัดผิวจะเป็นขจัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายไป ยังเป็นการล้างสิ่งอุดตันในรูขุมขน ทำให้รูขุมขนกระชับ ป้องกันการเกิดสิวได้แล้ว การขัดผิวด้วยการหมุนเป็นวงกลมไปทั่วบริเวณยังเป็นการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้เลือดไปหล่อเลี้ยงเซลล์ผิวได้อย่างทั่วถึง ทำให้ผิวมีสุขภาพดี เปล่งปลั่ง เนียนนุ่มมากยิ่งขึ้น แนะนำ เลือกสครับขัดผิวแบบไหนดี

จะเห็นว่าการขัดผิวไม่จำเป็นต้องขัดทุกวัน แต่ถ้าต้องการขัดผิวเพื่อให้ผิวขาวแบบเร่งด่วนจะต้องทำการขัดผิวสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งก็เพียงพอแล้ว และในการขัดผิวจะต้องขัดเบา ๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นและไม่ทำให้เซลล์ผิวหนังเกิดการอักเสบระคายเคือง และนอกจากการขัดผิวแล้ว อย่าลืมดูแลผิวหน้าด้วย นี่คือ 5 ขั้นตอนที่ใช้ดูแลผิวในตอนเช้า


5 สูตร ขัดผิวขาวเร่งด่วน ด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติ 

ขัดผิวขาวเร่งด่วน

การขัดผิวเพื่อช่วยให้ผิวขาวแบบเร่งด่วนที่นำเสนอในวันนี้ เป็นสูตรขัดผิวที่ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติเป็นหลัก เพราะวัตถุดิบจากธรรมชาติจะอ่อนโยนต่อผิว ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ นอกจากนั้นยังหาได้ง่ายอีกด้วย แต่รับรองได้ว่าผิวขาวจริง มาดูกันว่ามีสูตรขัดผิวอะไรบ้าง

1. แตงกวา+น้ำตาล+น้ำมันมะพร้าว สูตรนี้เป็นสูตรขัดผิวที่ช่วยเสริมความชุ่มชื้นให้กับผิวจากแตงกวากับน้ำมันมะพร้าว พร้อมทั้งขัดเซลล์และสิ่งสกปรกด้วยเกล็ดน้ำตาล โดยมีขั้นตอนการทำเพียงแค่นำแตงกวาปั่นประมาณ 3/4  ถ้วย ผสมกับน้ำตาลทราย 1 ถ้วย และน้ำมันมะพร้าว 1/4 ถ้วย คนให้เข้ากันก็พร้อมสำหรับนำไปขัดผิวแล้ว

2. กากกาแฟ + น้ำผึ้ง + โยเกิร์ต สำหรับใครที่ผิวหมองคล้ำเนื่องจากการโดนแดดแล้ว สูตรขัดผิวนี้จะช่วยทำให้ผิวของคุณกลับมาขาวเนียนแบบสุขภาพดี โดยนำกากกาแฟ 1 ถ้วยผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะและโยเกิร์ต 2 ช้อนโต๊ะ นำไปพอกและขัดผิวประมาณ 30 นาทีแล้วล้างออก

3. น้ำมะกรูด+น้ำผึ้ง+นมสด สูตรนี้เป็นสูตรสำหรับผิวแบบบาง เนื่องจากใช้น้ำมะกรูดแทนน้ำมะนาว เนื่องจากน้ำมะกรูดมีความเป็นกรดน้อยกว่าน้ำมะนาว เมื่อนำมาใช้จึงมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ เท่านั้น โดยนำน้ำมะกรูด 2 ช้อนโต๊ะผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชาและนมสด 1 ถ้วยตวง นำไปขัดผิวเบา เพื่อความชุ่มชื้นกระจ่างใสให้กับผิว

4. ดินสอพอง+ขมิ้น+แตงกวา+นมสด สำหรับขมิ้นเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นสมุนไพรบำรุงผิวที่ช่วยทำให้ผิวขาวกระจ่างใส โดยนำแตงกวาบด 1 ถ้วยตวงผสมดินสอพอง 1 ช้อนโต๊ะ นมสด 1 ถ้วยตวงและขมิ้น 2 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากัน สูตรนี้นอกจากคืนผิวขาวแล้วยังเพิ่มความแข็งแรงให้กับผิวอีกด้วย

5. น้ำมะขามเปียก+ขมิ้น+โยเกิร์ต สูตรนี้เป็นสูตรขัดผิวแบบดั้งเดิมที่คนไทยเรารู้จักกันดี เพราะใช้กันมายาวนาน แต่มีการปรับเปลี่ยนมาใช้โยเกิร์ตผสมเข้าไป เพื่อให้ผิวได้รับความชุ่มชื้นเพิ่มมากขึ้น โดยใช้น้ำมะขามเปียก 1 ถ้วยตวง ผสมโยเกิร์ต ½ ถ้วยตวงและขมิ้น 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากันนำไปขัดผิว 

สำหรับใครที่ต้องการเร่งให้ผิวขาวแบบมีสุขภาพดีแล้ว แนะนำให้หาซื้อคอลาเจนมาผสมในสูตรขัดผิวข้างต้น แบบนี้จะช่วยให้ผิวขาวเร็วขึ้นและมีสุขภาพดีมากขึ้นด้วย หรือลองใช้ วิธีแก้หน้าโทรมผิวหมองคล้ำที่ทำได้ด้วยตัวเอง


เคล็ดลับ ขัดผิวขาวเร่งด่วน แบบไม่ทำร้ายผิว

ขัดผิวขาวเร่งด่วน

การขัดผิวขาวเร่งด่วนสามารถช่วยให้ผิวขาวขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ แต่ว่าหลายคนเมื่อทำการขัดผิวแล้ว แทนที่ผิวจะขาวขึ้นกลับกลายเป็นทำร้ายผิว ทำให้ผิวเกิดการอักเสบ ระคายเคือง ซึ่งเคล็ดลับในการขัดผิวให้ขาวกระจ่างใสแบบเร่งด้วยก็คือ ความต่อเนื่องและความอ่อนโยน นั่นคือ การขัดผิวต้องขัดเป็นประจำแบบวันเว้นวันหรือวันเว้น 2 วัน โดยการขัดจะต้องขัดอย่างเบามือและขัดหมุนเป็นวงกลมเล็ก ๆ ไปทั่วบริเวณที่ต้องการขัด เพียงเท่านี้ผิวของคุณก็จะกลับมาขาวใสแบบมีสุขภาพดีได้แล้ว

จะเห็นว่าการขัดผิวขาวเร่งด่วนทำได้ไม่ยาก และของที่ใช้ในการขัดผิวก็หาได้ง่าย สิ่งสำคัญคืออย่าลืมขัดผิวบ่อยเกินไป เนื่องจากการขัดผิวมากเกินไปก็อาจทำให้ผิวระคายเคือง แห้งกร้าน รบกวนผิวมากไป ผิวเสียหายได้ และต้องให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหลังจากการขัดผิวเพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและมีสุขภาพดี สำหรับใครที่มีปัญาหาผิวหมองคล้ำ มีริ้วรอยลองนำไปใช้กันนะ รับรองว่าผิวของคุณจะกลับมาขาวเนียนใสขึ้นได้อย่างแน่นอน


อ้างอิง