Browsing Tag

บำรุงผิว

skin

ลดน้ำหนักผิวสวย จริงไหม? ไขข้อสงสัยการลดน้ำหนักส่งผลต่อผิวอย่างไร

December 11, 2023
ลดน้ำหนักผิวสวย จริงไหม? ไขข้อสงสัยการลดน้ำหนักส่งผลต่อผิวอย่างไร

ลดน้ำหนักผิวสวย จริงไหม? วันนี้เราจะพาคุณมาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กัน หลายคนอาจจะพอรู้มาบ้างว่าการลดน้ำหนักไม่ว่าจะเลือกทำตามวิธีธรรมชาติหรือการค้นหา ยาลดน้ำหนักตัวไหนดีที่สุด มันก็สามารถนํามาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญต่อสุขภาพผิวของคุณได้ แต่สำหรับใครที่ยังสงสัยว่ามันส่งผลต่อผิวอย่างไรและช่วยในด้านใดบ้าง ในบทความนี้เราจะพาคุณไปดูผลของการลดน้ำหนักต่อสุขภาพผิว โดยจะพูดถึงทั้งข้อดีและความท้าทายที่มาพร้อมกับมัน ตั้งแต่ศักยภาพในการลดสิวไปจนถึงปัญหาเกี่ยวกับความยืดหยุ่นของผิวหนัง

ลดน้ำหนักผิวสวย ได้อย่างไร? รวมประโยชน์ของการลดน้ำหนักต่อสุขภาพผิว

ประโยชน์ของการลดน้ำหนักต่อสุขภาพผิว

ลดสิวและปรับปรุงสภาพผิวให้ดีขึ้น

การลดน้ำหนักสามารถปรับปรุงสุขภาพผิวได้อย่างมาก โดยหลัก ๆ แล้วจะเป็นการช่วยลดสิว ซึ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นโดยเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงด้านอาหารที่มาพร้อมกับความพยายามในการลดน้ำหนัก เนื่องจากอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันต่ำ แต่มีผลไม้ ผัก และโปรตีนจากพืชสูง สามารถลดระดับการอักเสบในร่างกายได้ นําไปสู่การเกิดสิวน้อยลง นอกจากนี้ การลดน้ำหนักยังมักนําไปสู่การลดการผลิตน้ำมันในผิว ซึ่งช่วยป้องกันการเกิดสิวเพิ่มเติมอีกด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น การดื่มน้ำเพิ่มมากขึ้นยังเป็นส่วนหนึ่งโปรแกรมของการลดน้ำหนักส่วนใหญ่ การดื่มน้ำที่เพียงพอจึงมีความสำคัญอย่างมากสำหรับรักษาสภาวะผิวหนังที่แข็งแรง และช่วยขับถ่ายสารพิษออกจากร่างกาย ซึ่งนําไปสู่ผิวพรรณกระจ่างใสขึ้น นอกจากนี้ การนอนหลับที่เพียงพอเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการซ่อมแซมและการฟื้นฟูผิว ซึ่งมีส่วนช่วยให้ผิวพรรณดูมีสุขภาพดีขึ้น เพื่อทำความเข้าใจสิ่งนี้ให้ดีขึ้น คุณสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บทความ  สกินแคร์คืออะไร

ปรับปรุงโทนสีผิวและพื้นผิว

ปรับปรุงโทนสีผิวและพื้นผิว

การลดน้ำหนักอาจมีผลดีต่อโทนสีผิวและเนื้อสัมผัสของผิวอีกด้วย สาเหตุนั้นเป็นผลจากการไหลเวียนโลหิตที่ดีขึ้นและเพิ่มปริมาณสารอาหารให้กับผิวหนัง เนื่องจากร่างกายมีการตื่นตัวมากขึ้นและการไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ผิวจึงได้รับออกซิเจนและสารอาหารมากขึ้น ซึ่งจําเป็นต่อการรักษาเซลล์ผิวที่ให้แข็งแรง

นอกจากการไหลเวียนที่ดีขึ้นแล้ว การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพยังช่วยให้สุขภาพผิวดีขึ้นอีกด้วย อาหารที่มีวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระสูงจะช่วยส่งเสริมการซ่อมแซมผิวและปกป้องผิวจากความเสียหายที่เกิดจากสิ่งแวดล้อม เช่น วิตามินซีที่พบในผลไม้และผักจะช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ทำให้ผิวยืดหยุ่นและคงรูปได้ดีขึ้น ในขณะที่โอเมก้า 3 ที่พบมากในปลาและถั่ว จะช่วยให้ผิวเนียนนุ่มขึ้นและลดการอักเสบ

ป้องกันโรคผิวหนัง

การลดน้ำหนักยังช่วยป้องกันภาวะผิวหนังต่าง ๆ ได้อีกด้วย ภาวะผิวหนัง เช่น สะเก็ดเงิน ผื่นภูมิแพ้ และติ่งเนื้อ มักเกี่ยวข้องกับภาวะอ้วนและการรับประทารอาหารที่ไม่ดี ดังนั้นการลดน้ำหนักและการมีวิถีชีวิตที่ดีขึ้นจะช่วยควบคุมหรือแม้กระทั่งป้องกันภาวะเหล่านี้ได้ การลดไขมันในร่างกายจะช่วยลดความเครียดต่อผิว และปรับปรุงสุขภาพผิวโดยรวม

เห็นได้ว่าการลดน้ำหนักไม่เพียงแต่มีผลดีต่อสุขภาพทางกายเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงสุขภาพผิวด้วยการลดสิวและช่วยปรับปรุงสภาพผิวที่ดีขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงไม่กี่ข้อดีที่คนเราอาจได้รับจากการลดน้ำหนักเท่านั้น เพราะมันยังช่วยให้คุณมีวิถีชีวิตที่ดีขึ้นด้วยการอาหารที่มีประโยชน์ การดื่มน้ำมากขึ้น และคุณภาพการนอนหลับที่ดีขึ้น


ความท้าทายสำหรับผิว หลังการลดน้ำหนัก

ความท้าทายสำหรับผิวหลังการลดน้ำหนัก

 

การจัดการกับผิวหย่อนคล้อย

หลังการลดน้ำหนัก หนึ่งในความท้าทายหลักคือการจัดการผิวที่หย่อนคล้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณต่าง ๆ เช่น หน้าท้อง แขน และต้นขา เมื่อร่างกายลดขนาดลง ผิวหนังก็อาจไม่ดึงกลับเต็มที่จนทำให้เกิดความหย่อนคล้อย หากต้องการข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลผิว คุณสามารถอ่านต่อได้ที่บทความ ส่วนผสมสกินแคร์ที่น่าจับตามอง

การรักษาความยืดหยุ่นของผิว

ความท้าทายอีกอย่างหนึ่งคือการรักษาความยืดหยุ่นของผิว ความยืดหยุ่นของผิวหนังหมายถึงความสามารถของผิวหนังในการคืนรูปทรงเดิมหลังจากถูกยืดออก การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วบางครั้งอาจส่งผลต่อความยืดหยุ่น ส่งผลให้ผิวหนังหย่อนคล้อย เพื่อช่วยปรับปรุงความยืดหยุ่น การผสมผสานอาหารที่อุดมด้วยคอลลาเจนและการคงความชุ่มชื้นไว้จะเป็นประโยชน์ คุณสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวข้อนี้ได้ที่ สารสกัดเรตินอล คืออะไร ?


สรุปแล้ว การลดน้ำหนักไม่เพียงแต่ส่งผลต่อขนาดร่างกายของคุณเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพผิวของคุณด้วย ในด้านบวกสามารถนำไปสู่การลดสิว ผิวดีขึ้น รวมถึงโทนสีผิวและเนื้อสัมผัสที่ดีขึ้น การปรับปรุงนี้มักเกิดจากการเลือกวิถีชีวิตที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น เช่น อาหารที่อุดมด้วยสารอาหาร ปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้น และคุณภาพการนอนหลับที่ดีขึ้น


คําถามที่พบบ่อย

1. การลดน้ำหนักส่งผลต่อสุขภาพผิวอย่างไร?

การลดน้ำหนักสามารถนําไปสู่การลดสิว ปรับปรุงสภาพผิว และปรับปรุงโทนและพื้นผิวได้ แต่อาจทำให้เกิดปัญหาผิวหย่อนยานและลดความยืดหยุ่นของผิว

2. วิธีปฏิบัติที่ดีที่สุดในการดูแลสุขภาพผิวระหว่างการลดน้ำหนักคืออะไร?

การดูแลสุขภาพผิวระหว่างการลดน้ำหนักควรดื่มน้ำให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่ครบถ้วน มีประโยชน์ และมีกระบวนการดูแลผิวหน้าอย่างสม่ำเสมอ

3. การลดน้ำหนักสามารถก่อให้เกิดปัญหาผิวได้หรือไม่?

แม้ว่าการลดน้ำหนักจะช่วยปรับปรุงสภาพผิวบางอย่างได้ แต่การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วหรือมากเกินไปในระยะเวลาสั้น ๆ อาจนําไปสู่ปัญหาความยืดหยุ่นและผิวหย่อนคล้อย

4. สามารถทำให้ผิวหย่อนคล้อยหลังจากลดน้ำหนักแล้วกระชับให้แน่นขึ้นได้หรือไม่?

วิธีธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตสามารถช่วยปรับปรุงความกระชับของผิวได้ระดับหนึ่ง สำหรับกรณีที่ลดน้ำหนักมาก อาจต้องใช้การรักษาทางการแพทย์เพื่อแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย

อ้างอิง :

skin

ลดริ้วรอยใต้ตา ด้วยการเติมเต็มคอลลาเจนให้กับผิว

April 5, 2023
ลดริ้วรอยใต้ตา

ประโยชน์ของคอลลาเจนนั้นจะค่อนข้างโดดเด่นไปในเรื่องของการบำรุงผิว เมื่อรับประทานสารสกัดชนิดนี้เป็นประจำจะทำให้ผิวสุขภาพดี เพราะด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่เข้ามาทำหน้าที่ทำให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย แน่นอนเลยว่ามีการรีวิวหลังการรับประทานมีให้เห็นอยู่มากกมายว่าจากคนที่เคยผิวเสีย ผิวแห้ง ผิวคล้ำ เมื่อกินเข้าไปแล้วมีจะมีสุขภาพผิวที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ที่คอลลาเจนนั้นเป็นอาหารเสริมที่ถูกต้องตามกฎหมาย ได้รับมาตรฐานการผลิตอีกด้วย ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นนี้ทำให้ใครที่มีปัญหาเรื่อง “ริ้วรอยใต้ตา” ก็สามารถรักษาด้วยการเติมคอลลาเจนให้กับผิวนั่นเอง แน่นอนเลยว่าในบทความนี้พวกเรายังได้รวบรวมข้อมูลความรู้เกี่ยวกับเรื่องการเกิดขึ้นของรอยใต้ตา รวมไปถึงคุณสมบัติของคอลลาเจนที่จะเข้ามาช่วยดูแลในปัญหานี้ อีกทั้งการเลือกรับประทานคอลลาเจนที่จะส่งผลโดยตรงต่อการรักษาให้ตรงจุดอย่างการ ลดริ้วรอยใต้ตา นั่นเอง  สำหรับใครที่กำลังหนักใจกับเรื่องนี้ไม่ควรพลาด


ริ้วรอยใต้ตาเกิดจากอะไร?

ลดริ้วรอยใต้ตา

อีกหนึ่งปัญหาผิวที่สร้างความลำบากใจให้กับคุณผู้หญิงเป็นอย่างมากนั่นก็คือ เรื่อง “ริ้วรอยใต้ตา” ที่มักจะมาพร้อมกับสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณเองเข้าใกล้วัยที่คอลลาเจนผลิตน้อยลงไปแล้วนั่นเอง แน่นอนเลยว่าผลข้างเคียงอื่น ๆ ที่ตามมาเพิ่มไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องผิวแห้งกร้าน หรือ มีความหย่อนคล้อย พบร่องลึกบนใบหน้า สำหรับวันนี้พวกเราจึงได้รวบรวมสาเหตุในการเกิดริ้วรอยใต้ตามาพูดถึงกันกับ 4 สาเหตุสำคัญดังนี้ 


1.สูญเสียคอลลาเจน และ อิลาสติน 

สาเหตุแรกเลยที่ทำให้เกิดริ้วรอยใต้ตา นั่นก็คือ ร่างกายของคุณนั้นสูญเสียคอลลาเจนเป็นอย่างมาก รวมทั้ง อิลาสตินด้วย แน่นอนเลยว่าสาเหตุดังกล่าวจะทำให้ผิวบางลง ไม่ใช่เฉพาะส่วนใต้ตาเพียงเท่านั้น แต่ทั่วร่างกายที่เป็นผิวหนังก็จะอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ในส่วนสำคัญอย่างบริเวณหางตา กับ เปลือกตา จะมีริ้วรอย รวมทั้งรอยย่นให้ได้เห็นอย่างชัดเจน 

2.ปัจจัยเรื่องอายุ

อีกหนึ่งเหตุผลคือ อายุ เพราะเมื่อเราอายุมากขึ้น คอลลาเจนก็จะเสื่อมลง ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่เข้าสู่วัย 40 ปี ฮอร์โมนก็จะเปลี่ยนแปลง ทำให้กระดูกใต้ตาอาจจะมีการยุบตัวลง ผิวหย่อนคล้อย ทำให้เกิดเป็นริ้วรอยใต้ดวงตาได้

3.ผิวขาดความชุ่มชื้น

หลาย ๆ คนอาจจะมีผิวแห้ง ผิวลอกเป็นขุย  แต่ไม่ได้มีการผลิตคอลลาเจนน้อยลง หรือ ไม่ได้รับคอลลาเจนในปริมาณที่เพียงพอ แต่อาจจะเกิดจากพันธุกรรมของคนผิวแห้ง ซึ่งแน่นอนว่าบริเวณใต้ตานั้นจะมีไขมันน้อย ทำให้ผิวแห้ง เกิดรอยใต้ดวงตาง่ายกว่าจุดอื่น 

4.พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน 

ในแต่ละวันคุณเองดูแลตัวเองมากน้อยแค่ไหน พฤติกรรมของคุณอาจจะมีความเสี่ยงที่จะทำให้คอลลาเจนเสื่อมเร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด ซึ่งจะทำให้ฮอร์โมนทำงานผิดเวลา ผิดปกติ อีกทั้งใส่ส่วนของริ้วรอยใต้ดวงตา การขยี้ตาบ่อย ๆ ก็ทำให้เซลล์ผิวบริเวณนั้นเกิดการติดเชื้อ หรือ มีการเสื่อมของคอลลาเจนได้


สำหรับสาเหตุดังกล่าวนั้น ไม่ว่าจะอายุน้อย หรือ อายุมากก็สามารถเกิดริ้วรอยใต้ดวงตาได้ทั้งนั้น โดยจะขึ้นอยู่กับพฤติกรรมส่วนตัวในแต่ละวันด้วย แต่เมื่อเกิดริ้วรอยใต้ตาก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะว่ามีวิธีการรักษาได้หลายวิธี ทั้งแบบการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ หรือ การรักษาลดริ้วรอยด้วยตัวเอง


วิธีการรักษา ลดริ้วรอยใต้ตา 

ลดริ้วรอยใต้ตา

ถ้าหากจะพูดถึงวิธีการรักษาที่ได้ผลเร็ว ก็ขอแนะนำเลยกับวิธีทางการแพทย์ ซึ่งในปัจจุบันได้มีการพัฒนาไปไกลมาก โดยมีด้วยกันถึง 8 วิธี ซึ่งแน่นอนเลยว่ายังมีอีกหลายวิธีที่คุณยังไม่รู้ แต่สำหรับใครที่งบประมาณในการรักษาจำกัด หรือ อยากรักษาด้วยตัวเองพวกเราก็มีคำแนะนำมาฝากด้วยเช่นกัน โดยจะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้  


1.ฉีดฟิลเลอร์  

อีกหนึ่งวิธีทางการแพทย์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากนั่นก็คือ “การฉีดฟิลเลอร์” โดยในจุดที่ฉีดจะเป็นส่วนของใต้ตาสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องริ้วรอยใต้ตา โดยจะสามารถรักษาได้หลายอาการ ไม่ว่าจะเป็น รอยย่นใต้ตา ใต้ตาคล้ำ มีรอยพับใต้ตา หรือ เบ้าตาลึก โดยการรักษาด้วยการฉีดฟิลเลอร์ จะเป็นการเติมเต็มของชั้นกระดูกที่ยุบตัวลงไป จะช่วยให้ใต้ตาเต็มขึ้นอีกครั้ง รวมทั้งลดริ้วรอยแล้วยังทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์เป็นธรรมชาติอีกด้วย 

2.โบท็อก 

สำหรับใครที่มีรอยใต้ตาในเวลายิ้ม รวมทั้งปัญหาใต้ตาอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น รอยพับใต้ตา หรือ เบ้าตาลึก และที่สำคัญ มีริ้วรอยที่หางตา หรือ อาจจะมีการเกิดจากผิวหนังที่มีการขยับบ่อย ๆ โดยในจุดนี้วิธีทางการแพทย์จะใช้การฉีดโบท็อกในการแก้ปัญหา มีข้อดีคือเห็นผลได้เร็ว ราคาไม่แพง อีกทั้งยังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาเลยด้วยเพราะเห็นผลภายใน 5-7 วันเท่านั้น อีกทั้งยังคงสภาพอยู่ได้นานถึง 6 เดือน โดยจะขึ้นอยู่กับแบรนด์ของโบท็อกที่ใช้นั่นเอง 

3.คลื่นวิทยุ “Thermage” 

คลื่นวิทยุสามารถช่วยลดริ้วรอยใต้ตาได้ โดยวิธีทางการแพทย์อย่างการทำ “เทอร์มาจ” เป็นอีกหนึ่งวิธีทีได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน โดยการทำงานของ Thermage จะเป็นการส่งพลังงานความร้อน Monopolar RF หรือคลื่นวิทยุ ที่มีความถี่สูง ส่งลงไปยังชั้นผิวจนถึงชั้นไขมัน โดยจะทำให้คอลลาเจนเกิดการหดตัว กับ กระตุ้นสร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้นมา ซึ่งมีประโยชน์หลัก ๆ ก็คือ จะช่วยลดปัญหาผิวหนังหน่อย ผิวที่มีรอยย่นที่เกิดจากการขาดคอลลาเจนนั่นเอง 

4.คลื่นเสียง Hifu Ultrafomer III 

ปัญหาริ้วรอยใต้ตา เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้ คลื่นเสียง Hifu Ultrafomer III โดยจะเป็นวิธีที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยที่ไม่เยอะมาก โดยวิธีนี้จะใช้คลื่นเสียงอัลตราซาวด์ที่พัฒนามาจากการอัลตราซาวด์ดูครรภ์ โดยจะยิงคลื่นเสียงไปยังชั้นผิว ทำให้หดตัว บริเวณผิวก็จะกระชับขึ้นโดยไม่ต้องฉีดยา ถ้าใครที่กลัวเข็มแนะนำวิธีนี้จะช่วยได้  

5.การฉีดไขมัน 

สำหรับวิธีนี้เป็นวิธีที่เสี่ยงต่อการแพ้สารเติมเต็ม ไม่ว่าจะเป็น โบท็อก หรือ การฉีดฟิลเลอร์ โดยจะเป็นการฉีดไขมันใต้ตา โดยการนำไขมันของตัวคนไข้เองมาฉีดบริเวณที่มีปัญหา โดยจะวิธีนี้จะมีข้อเสียอยู่ที่ขั้นตอนการทำจะยุ่งยากซับซ้อน เสี่ยงผิวไม่เรียบเนียน อีกทั้งมีการเจ็บตัวหลายครั้ง หากจะให้เห็นผลดีจะต้องแก้ปัญหาหลาย ๆ ครั้งนั่นเอง จึงไม่เป็นที่นิยมสักเท่าไหร่ เหมสำหรับคนบางกลุ่มเท่านั้น  

6.การเลเซอร์ 

สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องใต้ตาลึก มีการแสดงสีหน้า หรือ ส่วนของกระดูกใต้ตายุบตัวจะไม่เหมาะกับวิธีนี้ แต่สำหรับใครที่มีปัญหาเล็ก ๆ หรือ ริ้วรอยที่ไม่ลึกมาก ก็จะเหมาะกับการทำเลเซอร์มากกว่า เพราะว่าค่าใช้จ่ายในการรักษาด้วยวิธีนี้สูง แต่เห็นผลช้า ไม่ชัดเจน จึงไม่ค่อยได้รับความนิยมแล้วในปัจจุบัน 

7.การทำ PRP 

สำหรับการทำ PRP หรือ Platelet Rich Plasma จะเป็นการแก้ปัญหาด้วยการนำเกล็ดเลือดของตัวเองเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหารื้วรอยใต้ตา รวมทั้ง แก้ปัญหาเรื่องใต้ตาคล้ำ โดยการรักษาจะใช้วิธีเจาะเลือดประมาณ 20 ซีซี ก่อนที่จะนำมาปั่นแยกส่วน เพื่อได้พลาสมาที่มีเกล็ดเลือดที่เข้มข้น โดยวิธีนี้มีข้อดีคือ ช่วยลดการอักเสบ รวมทั้งกระตุ้นสร้างคอลลาเจน ฟื้นฟูทำให้รอบดวงตากลับมาอิ่มฟูได้ 

โดยการทำ PRP แบบทั่วไป จะมีความปลอดภัยมากถ้ารักษาโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ดังนั้นไม่ต้องกลัวเลยเกี่ยวกับผลข้างเคียง แต่ในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด โลหิตจาง อีกทั้งโรคประจำตัวอื่น ๆ จะไม่เหมาะกับวิธีนี้

8.ศัลยกรรมผ่าตัด 

การศัลยกรรม หรือ การผ่าตัด ตรงตัวเลยก็คือการผ่าตัดเพื่อลบริ้วรอยใต้ตา โดยเป็นการแก้ปัญหาที่ได้ผลนานกว่าวิธีอื่น ๆ โดยส่วนใหญ่แล้วจะนิยมการผ่าเอาถุงใต้ตา หรือ จัดการกับตัวผิวที่หน่อยคล้อยมาก ๆ เอาออกไป ทำให้ผิวตาตึงกระชับ ซึ่งวิธีนี้จะนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างเร่งด่วน แต่มีข้อเสียคือ การพักฟื้น และ การเจ็บตัวที่หลีกเลี่ยงใช้วิธีอื่น ๆ ไปได้ 


3 วิธีการรักษาแบบธรรมชาติ

ลดริ้วรอยใต้ตา

1.ครีม ลดริ้วรอยใต้ตา สูตรสมุนไพร

สำหรับวิธีการรักษาริ้วรอยใต้ตาด้วยตัวเองนั้น จะมีหลายสูตร หลายวิธีที่แชร์ต่อกันมา โดยการใช้ครีมลดริ้วรอย ที่มีขายตามท้องตลาดที่มีส่วนผสมของสมุนไพร โดยมีสูตรที่นิยมเช่น ครีมสูตรแตงกวา,ใบบัวบก,มะเขือเทศ รวมไปถึง แครอท หรือ ว่านหางจระเข้ด้วย แน่นอนเลยว่าส่วนใหญ่จะใช้มาส์กที่บริเวณหน้าเพื่อลดริ้วรอยรอบดวงตา ซึ่งจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดี

2.ครีมลดริ้วรอยสูตรวิตามิน 

ในปัจจุบันนี้ มีเวชสำอางหรือยาทาในกลุ่มของ “วิตามินซี” กับ “วิตามินเอ” อย่าง เรตินอล ที่จะช่วยลดริ้วรอยใต้ตาได้เป็นอย่างดี เพราะจะสามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น รวมทั้งปรับสีผิวใต้ตาให้ดูสว่าง รวมทั้งจะทำให้ดูสดใสขึ้น จะเหมาะกับผู้ที่เพิ่งจะเริ่มมีปัญหาริ้วรอยใต้ตาในจุดเล็ก ๆ ซึ่งครีมเหล่านี้จะช่วยชะลอการเกิดรอยที่ลึกขึ้น ในปัจจุบันยังคงได้รับความนิยม ถึงแม้ว่าจะใช้เวลาในการรักษาไปสักระยะ แต่ก็ยังได้ผล แต่กลับบางคนที่ผิวบางแพ้ง่ายอาจจะยังระคายเคืองต่อเวชสำอางเหล่านี้ได้จึงเหมาะสำหรับคนบางกลุ่มเท่านั้น 


จะเห็นได้เลยว่าการรักษา ลดริ้วรอยใต้ตา เป็นเรื่องที่ไม่ยากแล้วในปัจจุบันด้วยนวัตกรรมการรักษาทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าขึ้นมาก มีหลากหลายวิธีที่จะช่วยให้คุณลดความกังวลเกี่ยวกับปัญหานี้ได้อย่างมั่นใจ โดยปกติแล้ววิธีเดิม ๆเช่นการผ่าตัดศัลยกรรม กำลังจะลดลงเรื่อย ๆ เพราะด้วยข้อเสียที่ต้องใช้เวลาพักฟื้น หรือ การเจ็บตัว ดังนั้นการรักษาแบบคลื่นวิทยุ หรือ การฉีดฟิลเลอร์ เติมเต็มด้วยโบท็อกซ์จะได้รับความนิยมมากกว่า ด้วยข้อดีที่มีมากกว่าข้อเสียทำให้คนไข้เชื่อมั่นในวิธีต่าง ๆ เหล่านี้มากกว่า แต่สำหรับวิธีการรักษาแบบธรรมชาติ ก็จะช่วยได้ในส่วนของอาการเบื้องต้น หรือ ในกลุ่มที่เป็นไม่มากนัก การทาครีม หรือ วิตามินช่วยกระตุ้นคอลลาเจนก็ยังได้รับความนิยมอยู่ แต่ในปัจจุบัน การรับประทานคอลลาเจนเสริม ก็ช่วยบำรุงใต้ตา บำรุงผิวใต้ตา รวมทั้งลดริ้วรอยใต้ตาได้เช่นเดียวกัน 


คอลลาเจน ช่วยบำรุงใต้ตา ลดริ้วรอยใต้ตา ได้อย่างไร

ลดริ้วรอยใต้ตา

เป็นอีกหนึ่งคำถามที่หลายคนสงสัยเลยว่า “คอลลาเจน” ที่โดดเด่นในเรื่องของการดูแลผิว ช่วยให้ผิวดูเปล่งปลั่งมีความชุ่มชื้น แก้หน้าโทรม จะช่วยบำรุงใต้ตาได้เหมือนกันหรือไม่ ซึ่งก็ต้องขอตอบตรงนี้เลยว่า คอลลาเจนคือหนึ่งในสารสกัดที่ช่วยบำรุงผิว บำรุงผิวใต้ตาได้เป็นอย่างดี เพราะนี่คือโปรตีนที่มีมากที่สุดในร่างกาย ซึ่งจะคิดเป็น 1 ใน 3 ของโปรตีนทั่วร่างกายสำหรับตัวคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของผิวหนัง เล็บ ผม กระดูก ข้อต่อ กล้ามเนื้อ และ เส้นเอ็น ซึ่งยิ่งได้รับมากเท่าไหร่ก็จะช่วยบำรุงในส่วนต่าง ๆมากเท่านั้น ด้วยหน้าที่ของสารสกัดชนิดนี้ที่เหมือนกับกาวคอยเชื่อม ซ่อมแซมในส่วนที่ร่างกายสึกหรออยู่ตลอดเวลา แต่การสร้างคอลลาเจนมีจำกัดช่วงอายุ เมื่อไหร่ที่อายุมากขึ้น การสร้างคอลลาเจนก็จะลดน้อยลงมานั่นเอง นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ร่างกายของเราควรได้รับคอลลาเจนอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งคอลลาเจนจะมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายด้านดังนี้ 


ประโยชน์แท้จริงของ “คอลลาเจน” 

การศึกษาวิจัยทางสถาบันที่สำคัญเกี่ยวกับสุขภาในต่างประเทศได้มีการวิจัยเกี่ยวประโยชน์ที่น่าสนใจของคอลลาเจนเอาไว้มากมาย ซึ่งแต่ละผลงานก็แสดงถึงข้อดีที่คอลลาเจนช่วยดูแลสุขภาพทั้งกล้ามเนื้อ ผิวหนัง ข้อต่อ กระดูก รวมไปถึงการลดความเจ็บปวดจากโรคที่เกี่ยวกับข้อเข่าเสื่อมได้ดีด้วยเช่นกัน  โดยพวกเราจะขอพูดถึงตัวอย่างงานวิจัย ที่บ่งบอกถึงประโยชน์ของ “คอลลาเจน” เอาไว้ชัดเจน ดังนี้ 


1.งานวิจัยจากจีน โดย แอมเวย์ประเทศจีน

เริ่มต้นกันด้วยงานวิจัยโดย แอมเวย์ จากประเทศจีน ที่ให้ผู้หญิง 62 คน ที่มีภาวะ “ฝ้า” บนใบหน้า ให้รับประทานผลิตภัณฑ์ที่ประกอบไปด้วยคอลลาเจนแบบ เปปไทด์ รวมทั้งเปปไทด์จากถั่วเหลือง พร้อมทั้งสารสกัดจากดอกเก๊กฮวย 10 กรัม ในทุกวัน เป็นระยะเวลากว่า 60 วัน ผลการวิจัยพบว่ารอยดำที่ฝ้าจางลง เมื่อนำไปเทียบกับผู้ที่ไม่ได้รับประทานผลิตภัณฑ์คอลลาเจน 

2.งานวิจัย ของผู้หญิงรับประทาน “คอลลาเจน” 

การศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่องของ “คอลลาเจน” เพราะสำหรับผู้หญิงที่รับประทานคอลลาเจน 2.5-5 กรัมต่อวัน ติดต่อกันเป็นเวลากว่า 2 เดือน จะพบว่าผิวแห้งน้อยลง มีความยืดหยุ่น ความชุ่มชื้นของผิวอย่างเห็นได้ชัด รวมไปถึงการรับประทาคอลลาเจนเกิน 2 เดือนขึ้นไป พบว่าความลึกของริ้วรอยลดลงอย่างมาก เมื่อเทียบกับผู้ที่ได้รับประทานผลิตภัณฑ์คอลลาเจน 

3.ช่วยลดอาการปวดของ ข้อต่อ ในผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม

มีผลงานวิจัยจากต่างประเทศที่มีผลดีต่อผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม เพราะเมื่อไหร่ที่มีอาการอักเสบของโรคนี้จะทำให้ปวดข้อเข่าเป็นอย่างมาก แต่เมื่อรับประทานคอลลาเจนอยู่เป็นประจำ อาการปวดของโรคนี้ก็จะบรรเทาลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะด้วยคอลลาเจนทำหน้าที่เปรียบเหมือนกาวที่คอยช่วยซ่อมแซมในส่วนข้อต่อ ข้อเข่าที่เกิดการอักเสบ ลดอาการเจ็บปวดได้เป็นอย่างดี 


อย่างไรก็ตาม “คอลลาเจน” คือหนึ่งในสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่จะช่วยชะลอความแก่ ยังคงทำให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย อีกทั้งการรับประทานคู่กับ วิตามินซี หรือ วิตามินประเภทอื่นที่ทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระเช่นเดียวกัน ก็จะทำให้ผิวที่แห้ง กลับมามีความยืดหยุ่นชุ่มชื้น พร้อมกับสุขภาพผิวหน้าที่ริ้วรอยดูจางลง ทั้งรอยดำจากสิว รอยดำจากฝ้า ก็จะค่อย ๆจางลงจนมองไม่เห็นนั่นเอง ดังนั้นแล้วการเลือกรับประทานคอลลาเจน ก็จำเป็นที่จะต้องเลือกในรูปแบบที่ส่งผลดีต่อร่างกายมากที่สุดนั่นเอง


เลือกใช้คอลลาเจนรูปแบบไหนดี

ลดริ้วรอยใต้ตา

รูปแบบของ “คอลลาเจน” คืออีกหนึ่งเรื่องสำคัญสำหรับผู้ที่รับประทานเช่นเดียวกัน เพราะด้วยสูตรต่าง ๆของแต่ละแบรนด์ก็จะมีจุดเด่นที่ค่อนข้างแตกต่างกันอยู่บ้าง ซึ่งคอลลาเจนนั้นจะมีรูปแบบที่คุณรู้จักกันดีนั่นก็คือ “คอลลาเจนเปปไทด์” นั่นเอง โดยรูปแบบของคอลลาเจนชนิดนี้จะหมายถึง คอลลาเจนที่ทำการสกัดให้อยู่ในรูปแบบของสายกรดอะมิโนที่สั้นขึ้น เพราะปกติแล้วจะมีขนาดที่ใหญ่ทำให้ร่างกายของเราดูดซึมได้ยาก ดังนั้นการเลือกใช้คอลลาเจนที่มีรูปแบบที่ดูดซึมง่ายจะตอบโจทย์การดูแลสุขภาพได้มากที่สุด พร้อมทั้งเห็นผลได้เร็วที่สุดด้วยเช่นกัน 


เลือกใช้คอลลาเจน ไดเปปไทด์

อันที่จริงแล้วเราอาจจะคุ้นหูกันอยู่บ้างกับ “คอลลาเจน ไตรเปปไทด์” โดยจะเป็นคอลลาเจนที่มีการเรียงตัวรวมกันของคอลลาเจนที่ใหญ่ มีขนาดเฉลี่ยราว ๆ 300-400 คาลตัน แต่ในส่วนของ คอลลาเจน “ไดเปปไทด์” จะมีขนาดเล็กกว่าถึง 300 คาลตัน ทำให้จุดเด่นในเรื่องการดูดซึมนั้นรูปแบบของ  Collagen Dipeptide ไดเปปไทด์จะสามารถดูดซึมได้ดีกว่ามากจึงขอแนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีรูปแบบคอลลาเจนประเภทนี้ 


รู้จัก “คอลลาเจนไดเปปไทด์” 

Collagen Dipeptide จะเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่พัฒนาการสกัดคอลลาเจนให้อยู่ในรูปแบบโมเลกุลที่เล็กมาก โดยเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 200 คาลตัน ด้วยกรดอะมิโนโครงสร้างหลักที่เรียงตัวต่อกันเพียง 2 หน่วย ทำให้ร่างกายนั้นสามารถดูดซึมได้เร็ว และ มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจุดเด่นของ คอลลาเจนไดเปปไทด์ จะมีเรื่องที่โดดเด่นดังต่อไปนี้ 

  • จะช่วยลดอาการปวดข้อเข่า สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม และ ช่วยบำรุงจ้อต่อให้แข็งแรง
  • ช่วยเพิ่มน้ำในข้อต่อของร่างกาย ทำให้เคลื่อนไหวได้ดี ข้อต่อไม่ขัดกัน
  • บำรุงเส้นผม ลดอาการผมร่วง ผมบาง
  • ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ลดความเสี่ยงโรคกระดูกเปราะ 
  • จะช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น กระชับเรียบเนียน พร้อมชะลอการเกิดริ้วรอย
  • รอยดำ ฝ้า จะจางลง พร้อมทั้งช่วยลดการเกิดสิวด้วย 

จุดเด่นของคอลลาเจนประเภทนี้ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมในส่วนที่สึกหรอมากมาย เรียกได้ว่ายิ่งคอลลาเจนมีโมเลกุลที่เล็ก การดูดซึมของร่างกายก็จะสามารถทำได้ดีเช่นเดียวกัน แต่เรื่องสุดท้ายที่ขอนำมาฝากคนรักสุขภาพในบทความนี้ก็คือ ขอแนะนำ 10 คอลลาเจนประเภท “ไดเปปไทด์” ยอดนิยม ซึ่งมีสูตรที่ผสมวิตามินซี รวมทั้งสารสกัดอื่น ๆที่มีผลดีทั้งต่อผิวพรรณ กระดูก ข้อต่อ และ ช่วยบำรุงร่างกายกับการปรับสมดุลทั้งหมด โดยมีผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ 


10 คอลลาเจนไดเปปไทด์ แบรนด์ยอดนิยม 

ลดริ้วรอยใต้ตา

1.Vistra Collagen Dipeptide Plus Vitamin C

จุดเด่นของ Vistra Collagen Dipeptide Plus Vitamin C ก็คือ เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมคอลลาเจนไดเปปไทด์ที่เปปไทด์สูงมากถึง 1,000 มิลลิกรัม ต่อ 1 เม็ด สิ่งที่ทำให้น่าเชื่อถืออีกเรื่องคือ แบรนด์นี้เป็นลิขสิทธิ์จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งผ่านการทดสอบวิจัยมาแล้วว่า สามารถดูดซึมได้เร็ว สังเคราะห์คอลลาเจนได้ดี ช่วยฟื้นฟูผิวแห้งเสีย ลดริ้วรอย รวมทั้งเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวได้เป็นอย่างดี อีกทั้งมีส่วนผสมของ วิตามินซี ที่ช่วยบูสต์ให้เห็นผลได้เร็วด้วย

2.Dr.PONG 100,000 mg Collagen Dipeptide Plus Vitamin C

ความโดดเด่นของ Dr.PONG 100,000 mg Collagen Dipeptide Plus Vitamin C  ก็คือ เป็นคอลลาเจนรูปแบบพรีเมียมจากประเทศญี่ปุ่น ไม่ต้องกังวลกับสารตกค้าง ไม่มีสี ไม่แต่งกลิ่น ไม่แต่งรส ไม่มีน้ำตาล ด้วยความโดดเด่นในเรื่องโมเลกุลขนาดเล็กของ คอลลาเจนไดเปปไทด์ ทำให้ช่วยบำรุงผิวได้เป็นอย่างดี 

3.Donutt Collagen Dipeptide Plus Calcium

สำหรับใครที่มีปัญหาในเรื่องกระดูก อยากบำรุงกระดูก ขอแนะนำเลยกับ Donutt Collagen Dipeptide Plus Calcium ซึ่งจะเป็นคอลลาเจนไดเปปไทด์ทีมีคุณค่าของคอลลาเจนสูงมากถึง 120,000 มิลลกิกรัมต่อ 1 กระป๋อง โมเลกุลขนาดเล็กมีมาตรฐานการผลิตจากประเทศญี่ปุ่น ทำให้ช่วยบำรุงผิวพรรณ พร้อมทำหน้าที่เป็นกาวซ่อมแซมร่างกายได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญผลิตภัณฑ์นี้ยังมีแคลเซียมที่จะช่วยบำรุงกระดูก กับ ป้องกันอาการข้อเข่าเสื่อมด้วย 

4.VIDA C&E Collagen Dipeptide

VIDA C&E Collagen Dipeptide เป็นอีกหนึ่งอาหารเสริมคอลลาเจนไดเปปไทด์ที่มีคุณภาพระดับพรีเมียมจากญี่ปุ่นอีกเช่นเดียวกัน ด้วยโมเลกุลขนาดเล็กทำให้ดูดซึมง่าย พร้อมทั้งสารสกัดจากส้ม เลมอนฝรั่งเศส และ วิตามินกว่า 11 ชนิด จะช่วยบำรุงผิวพรรณให้ดูกระชับเรียบเนียน ลดเลือดการเกิดริ้วรอยได้เป็นอย่างดี 

5.Zeavita Activ 70x Collagen Plus

เป็นอีกหนึ่งอาหารเสริมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะว่าเป็นคอลลาเจนไดเปปไทด์ที่มาจากปลา 100% ไม่แต่งสี ปรุงรสอื่น ๆ ด้วยจุดเด่นของ Zeavita Activ 70x Collagen Plus ที่ไม่ผสมกับคอลลาเจนชนิดอื่น ทำให้ได้รับคุณค่ามากขึ้น 70 เท่า พร้อมทั้งอุดมไปด้วยวิตามินซี กับ วิตามินบี 3 ซึ่งจะช่วยดูแลผิวพรรณให้กระชับเรียบเนียนอยู่เสมอ กลิ่นคอลลาเจนคล้ายผลไม้ ทานง่าย อร่อย ปราศจากน้ำตาล

6.VISTRA Pure Collagen Dipeptide

เป็นอีกหนึ่งสูตรที่ขอแนะนำกับ Pure Collagen Dipeptide จากแบรนด์ VISTRA ซึ่งจะเป็นคอลลาเจนที่มีคุณค่าทางวิตามินซี รวมทั้ง Co-Q10 ช่วยทำให้ร่างกายดูดซึมคอลลาเจนได้ง่าย คอลลาเจนไดเปปไทด์จากปลาทะเลแบบไม่มีคอลลาเจนชนิดอื่นผสม ทำให้ผิวพรรณดูเรียบเนียน กระชับ กระจ่างใส พร้อมช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงด้วย 

7.JOJU Collagen Dipeptide

อีกหนึ่งแบรนด์จากประเทศญี่ปุ่น JOJU Collagen Dipeptide กับ ส่วนผสมส้มสีแดงจากอิตาลี ,คาลาไมน์ญี่ปุ่น และที่สำคัญยังมีแร่ธาตุสังกะสี ที่จะเป็นตัวช่วยบำรุงผิว ลดรอยดำ รอยแดง พร้อมทั้งเสริมสร้างคอลลาเจนในชั้นกระดูกได้เป็นอย่างดี 

8.Zenji Collagen Dipeptide Plus Tripeptide

คอลลาเจนแบรนด์นี้จะต้องนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น เพราะสำหรับ Zenji Collagen Dipeptide Plus Tripeptide เองแล้วนั้น จะมีชนิดทั้ง ไดเปปไทด์ กับ ไตรเปปไทด์ ที่สกัดมาจากปลาทะเล 100% ซึ่งจะดูดซึมง่ายเพราะโมเลกุลที่เล็ก ส่งผลให้ได้รับประโยชน์จากคอลลาเจนได้อย่างเต็มที่ จะช่วยลดอาการปวดข้อเข่า และ บำรุงผิวให้ดูสุขภาพดีอยู่เสมอ 

9.PiaOMe Pure Collagen Dipeptide

ด้วยปริมาณคอลลาเจนที่มีมากถึง 1 แสน มิลลิกรัม PiaOMe Pure Collagen Dipeptide จากญี่ปุ่น สามารถตอบโจทย์คุณได้ เพราะคอลลาเจนไดเปปไทด์ของแบรนด์นี้ จะช่วยเสริมสร้าง กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ช่วยให้ผิวเรียบเนียนกระชับ ที่สำคัญ กระดูก เส้นผม เล็บ จะดูมีความแข็งแรงเพิ่มมากขึ้นด้วย 

10.Well U Collagen Dipeptide & Tripeptide

การผสมผสานระหว่าง คอลลาเจน ไดเปปไทด์ กับ ไตรเปปไทด์ จะช่วยทำให้ร่างกายดูดซึมได้อย่างรวดเร็ว โดย Well U Collagen Dipeptide & Tripeptide จะอุดมไปด้วยสารสกัดจากเห็ดหูหนูขาว จมูกข้าวญี่ปุ่น รวมไปถึงวิตามินซี และ ไบโอติน ที่จะช่วยเร่งการสร้างคอลลาเจนได้ดีขึ้น พร้อมทั้งบำรุงสุขภาพผิว เส้นผม เล็บ ที่สำคัญผิวพรรณก็จะดูกระจ่างใสมากขึ้นด้วย 


เรียกได้ว่าทั้ง 10 คอลลาเจนไดเปปไทด์ จะมีจุดเด่นในเรื่องที่เน้นไปทางการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ส่วนประโยชน์ที่ได้รับจากคอลลาเจนนั้นจะมีความคล้ายกัน ได้แก่ การบำรุงผิว ลดริ้วรอยใต้ดวงตา ข้อเข่า เป็นต้น อย่างไรก็ตามร่างกายของแต่ละคนนั้นมีการดูดซึมไม่เท่ากัน บางคนรับประทานคอลลาเจนใช้เวลาไม่นานถึงเห็นผล แต่สำหรับบางคนใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล เพราะนอกจากประเภทของคอลลาเจนแล้ว ปัจจัยในด้านอื่น ๆไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมในการใช้ชีวิตที่อาจจะส่งผลให้ร่างกายเกิดการดูดซึมได้ช้า แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องที่คนรักสุขภาพต้องทำความเข้าใจ 


สำหรับใครที่กำลังพบเจอกับปัญหาริ้วรอยใต้ดวงตา ร่องลึก ริ้วรอยจากสิว แน่นอนเลยว่าบนใบหน้าเมื่อเกิดริ้วรอย หรือ จุดด่างดำ ความมั่นใจในการใช้ชีวิตก็จะลดลงไปเป็นอย่างมากเพราะใคร ๆ ก็อยากมีใบหน้าที่ดูอ่อนกว่าวัย มีผิวกระจ่างใสสุขภาพดี ดังนั้นการเติมเต็มด้วยคอลลาเจนจึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ขอแนะนำว่าสามารถปรับเปลี่ยนตัวเองได้อย่างที่คุณไม่ต้องเจ็บตัว อย่างไรก็ตามการรักษาริ้วรอยใต้ตายังมีวิธีทางการแพทย์ที่ช่วยได้ ถ้าเกิดว่ามีการรักษาควบคู่กันไป ก็จะเห็นผลได้เร็วขึ้นนั่นเอง สุดท้ายนี้ใครที่กำลังรักษาริ้วรอยใต้ดวงตาพวกเราก็ขอเป็นกำลังใจให้สุขภาพผิวกลับมาแข็งแรง กระชับเรียบเนียน และ สดใสเหมือนวัยเยาว์


อ้างอิง:

skin

ผิวขาดน้ำใช้อะไรดี รวม 5 สูตรมาสก์หน้าเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว

February 15, 2023
ผิวขาดน้ำใช้อะไรดี

ผิวขาดน้ำเป็นอีกหนึ่งปัญหาผิวหนังสำหรับหลายคน ซึ่งปัญหาผิวขาดน้ำนี้จะมีผลทำให้ผิวมันมากกว่าปกติ ผิวหยาบกร้านและตามมาด้วยปัญหาผิวอีกมากมาย ซึ่งภาวะผิวขาดน้ำสามารถเกิดขึ้นได้กับผิวทุกประเภท ทั้งผิวแห้ง ผิวมัน โดยเฉพาะผิวแพ้ง่ายจะมีโอกาสเกิดภาวะผิวขาดน้ำสูงกว่าผิวชนิดอื่น ซึ่งปัญหาผิวขาดน้ำสังเกตได้ยาก ทำให้คนส่วนมากทำการรักษาผิดวิธี ส่งผลให้ปัญหาผิวที่เป็นอยู่มีอาการหนักขึ้น ดังนั้นวันนี้เรามาทำความรู้จักกับผิวขาดน้ำว่ามีสาเหตุ อาการและวิธีการดูแลรักษาอย่างไร  ผิวขาดน้ำใช้อะไรดี ผิวถึงจะกลับมาสวยงามเป็นปกติได้


ผิวขาดน้ำ เกิดจากสาเหตุอะไร

ผิวขาดน้ำใช้อะไรดี

ผิวขาดน้ำ คือ ภาวะที่ปริมาณน้ำที่อยู่ในผิวน้อยกว่าร้อยละ 10 ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น ซึ่งผิวขาดน้ำเป็นสภาพที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกสภาพผิว ทั้งผิวมัน ผิวผสม ผิวแห้งและผิวแพ้ง่าย โดยผิวขาดน้ำจะมีลักษณะคล้ายผิวแห้งหลังจากล้างหน้าเสร็จใหม่ แต่หลังล้างหน้าไม่นาน ผิวหน้าจะมีความมันเพิ่มสูงขึ้นอย่างผิดปกติ โดยเฉพาะบริเวณทีโซน ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเมื่อผิวมีภาวะขาดน้ำจะทำให้ผิวมีการสร้างน้ำมันเพิ่มมากขึ้น เพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว ส่งผลให้ผิวมีความมันเพิ่มขึ้นนั่นเอง ซึ่งสาเหตุของผิวขาดน้ำ มีดังนี้

  1. ชั้น lipid bilayer ถูกทำลาย ผิวจะมีชั้นผิว lipid bilayer ทำหน้าที่ในการป้องกันและรักษาน้ำให้อยู่ในผิว ซึ่งชั้นผิวนี้ถูกทำลายได้ด้วยการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การอาบน้ำร้อน การใช้สารเคมีชนิดรุนแรง หรือการแพ้สารเคมีบางชนิด เป็นต้น เมื่อผิวชั้น lipid bilayer ถูกทำลายจะทำให้ผิวไม่สามารถรักษาน้ำให้อยู่ในผิวได้ ทำให้ผิวขาดน้ำ
  2. ผิวขาดสารความชุ่มชื้น โดยปกติผิวของคนเราจะมีสารที่ทำหน้าที่กักเก็บความชุ่มชื่น เช่น อะมิโน แอซิด สารกลุ่มแลคเตท ไฮยาลูรอนิค แอซิด เป็นต้น หากผิวขาดสารเหล่านี้จะทำให้ไม่สามารถอุ้มน้ำให้อยู่ในผิวได้ ทำให้ผิวขาดน้ำได้เช่นกัน ซึ่งสารเหล่านี้จะโดนทำลายได้ด้วยความผิดปกติของร่างกายและการใช้สารเคมีที่รุนแรง เช่น โรคภูมิแพ้ เป็นต้น
  3. การใช้ชีวิตประจำวัน การดำเนินชีวิตบางอย่างก็ส่งผลให้ผิวเกิดภาวะขาดน้ำได้ เช่น การพักผ่อนน้อย การดื่มน้ำน้อย การดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่มาก เป็นต้น

จะเห็นว่าสาเหตุที่ทำผิวขาดน้ำเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ ซึ่งภาวะผิวขาดน้ำนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในทันทีทันใด แต่จะมีการสะสมทีละน้อยจนเมื่อผิวขาดน้ำขั้นรุนแรงจึงจะแสดงอาการออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งผิวขาดน้ำสามารถรักษาได้ ด้วยการดูแลอย่างถูกต้อง แนะนำขั้นตอนการดูแลผิวหน้า เพื่อสุขภาพผิวที่ดี 


ผิวขาดน้ำใช้อะไรดี แก้ไขได้อย่างไร?

ผิวขาดน้ำใช้อะไรดี

ผิวขาดน้ำสามารถรักษาและแก้ไขให้หายได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อทำการรักษา ซึ่งการแก้ไขผิวขาดน้ำสามารถทำได้ดังนี้

  1. ดื่มน้ำให้มาก ร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำประมาณ 70-80% น้ำจึงมีความจำเป็นต่อร่างกายสูงมาก ทั้งการชะล้างสิ่งสกปรก เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบในร่างกายและเสริมความแข็งแรงชุ่มชื้นให้กับเซลล์ ดังนั้นในทุกวันจำเป็นต้องดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 2-3 ลิตรต่อวัน และหากมีภาวะผิวขาดน้ำจะต้องดื่มน้ำเพิ่มอีก 15-20% เพื่อให้น้ำเข้าไปทดแทนส่วนที่ขาดหายไป
  2. นอนให้เพียงพอ การนอนอาจมองว่าไม่เกี่ยวกับการแก้ไขผิวขาดน้ำ แต่เชื่อหรือไม่ว่าการนอนจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับผิว ทำให้ผิวสามารถรักษาและกักเก็บน้ำในผิวได้มากขึ้น ดังนั้นจึงควรนอนพักผ่อนให้เพียงพอทุกวัน 
  3. งดสารเคมี ปัจจุบันนี้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวมักจะมีการผสมสารเคมีเข้าไปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้สูงขึ้น ดังนั้นควรเลือกแบบที่ไม่ใช้สารเคมีหรือสูตรอ่อนโยนที่เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ เพื่อลดความระคายเคืองและอันตรายที่จะเกิดกับผิว โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการทำความสะอาดผิวจะต้องเป็นสูตรอ่อนโยนและเหมาะกับสภาพผิวเท่านั้น สกินแคร์ที่ช่วยบำรุงผิวขาดความชุ่มชื้น
  4. รับประทานผักผลไม้เพิ่มขึ้น นอกจากการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่แล้ว ควรจะเน้นการกินผักและผลไม้จะมีส่วนประกอบของน้ำและวิตามินเป็นหลัก ซึ่งน้ำและวิตามินที่อยู่ในผักผลไม้จะเข้าไปเพิ่มปริมาณน้ำและความแข็งแรงของผิว 

การแก้ไขให้ผิวขาดน้ำกลับมามีสุขภาพดีทำได้ไม่ยาก เพียงแค่ใส่ใจดูแลและปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันให้เหมาะสม ดื่มน้ำมาก ๆ นอนพักผ่อนเยอะและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสูตรอ่อนโยน นอกจากนั้นการมาร์กหน้าก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยแก้ไขให้ผิวกลับมาชุ่มชื่นได้อย่างรวดเร็วด้วย หรือถ้าผิวลอกเป็นขุยหนักมาก


5 สูตรมาสก์หน้าแก้ผิวขาดน้ำ

ผิวขาดน้ำใช้อะไรดี

การมาสก์หน้าสามารถช่วยดูแลผิวขาดน้ำให้กลับมามีชุ่มชื้นและมีสุขภาพที่ดีขึ้นได้ ซึ่งสูตรมาสก์หน้าที่จะช่วยเติมน้ำให้กับผิวมีดังนี้

1. สูตรที่ 1 นมสด+ขมิ้น สูตรนี้นำนมสดผสมกับขมิ้นในอัตราส่วน 1:2 หรือผสมให้มีลักษณะเป็นเนื้อครีมสีเหลือง นำมามาสก์หน้าบาง ๆ ประมาณ 15-20 นาที สูตรนี้นมสดจะเข้าไปเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และยังช่วยขับผิวให้ขาวใสอีกด้วย

2. สูตรที่ 2 แตงกวา+น้ำผึ้ง นำแตงกวามาบดละเอียด 2 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา นำมามาสก์หน้าทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แตงกวาถือว่าเป็นผักที่มีน้ำสูง การนำมามาสก์หน้าน้ำในแตงกวาจะซึมเข้าสู่ผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้น ส่วนน้ำผึ้งจะช่วยฆ่าเชื้อที่อยู่บนผิวหน้าทำให้ผิวแข็งแรง ลดการเกิดสิวได้อีกด้วย

3. สูตรที่ 3 มะเขือเทศ+โยเกิร์ต นำมะเขือเทศบด 1 ช้อนโต๊ะผสมโยเกิร์ต 1 ช้อนโต๊ะ ผสมแล้วนำไปมาสก์หน้า ทิ้งไว้ 15-20 นาที มะเขือเทศและโยเกิร์ตจะเข้าไปเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวแล้ว ในมะเขือเทศยังมี AHA ช่วยขัดเซลล์ผิว เพิ่มความกระจ่างใสให้กับผิว

4. สูตรที่ 4 ไข่ขาว+โยเกิร์ต ไข่ขาว 1 ฟองผสมกับโยเกิร์ต 1 ช้อนโต๊ะ มาสก์ทิ้งไว้ 5-10 นาที โยเกิร์ตช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ไข่ขาวช่วยรักษาความชุ่มชื้น เพิ่มความเต่งตึงให้ผิว

5. สูตรที่ 5 กล้วย+น้ำผึ้ง กล้วยบด ½ ถ้วยตวงผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ มาสก์หน้าทิ้งไว้ 5-10 นาที กล้วยและน้ำผึ้งเพิ่มความชุ่มชื้นและลดเลือนริ้วรอย ส่วนน้ำผึ้งยังส่วนลดการอักเสบของผิวด้วย

สูตรมาสก์หน้าที่นำมาในวันนี้เป็นสูตรมาสก์หน้าที่รับรองได้ว่าช่วยปรับแก้ไขให้ผิวขาดน้ำกลับมาชุ่มชื่น หรือลอง วิธีดูแลผิวให้ชุ่มชื้นขึ้น เติมเต็มน้ำใต้ผิว ทำให้ผิวกลับมาชุ่มชื่น เนียนนุ่มและกระจ่างใสไปพร้อมกัน การมาสก์หน้าสำหรับผู้ที่ผิวขาดน้ำควรมาสก์หน้าอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง จนผิวกลับมาชุ่มชื้นให้ปรับมามาสก์หน้าสัปดาห์ละ 1 ครั้งก็เพียงพอแล้ว รับรองได้การมาสก์หน้าด้วยสูตรที่ให้มานี้อ่อนโยนต่อทุกสภาพผิวแน่นอน


อ้างอิง 

skin

ขัดผิวขาวเร่งด่วน สูตรง่าย ๆ ด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติ

February 9, 2023
ขัดผิวขาวเร่งด่วน

การมีผิวขาวใสแน่นอนว่าเป็นที่ต้องการของทุกคน แต่ว่าหลังจากไปเที่ยวตากอากาศสัมผัสลมหนาว สายลม แสงแดดเพื่อชาร์ตพลังงานให้กับตัวเอง พอกลับมาถึงพบว่าผิวขาวเนียนได้กลายมาเป็นผิวหมองคล้ำ หยาบกร้านไปเสียแล้ว สาว ๆ ไม่ต้องกังวลไป เพราะวันนี้เรามีสูตร ขัดผิวขาวเร่งด่วน ที่จะช่วยฟื้นฟูผิวเสีย ผิวหมองคล้ำของคุณให้กลับมาขาว เนียนนุ่มด้วยวัตถุดิบง่าย ๆ จากธรรมชาติมาฝากกัน


การขัดผิวสำคัญหรือไม่ จำเป็นต้องขัดทุกวันไหม?

ขัดผิวขาวเร่งด่วน

หลายคนมีข้อสงสัยว่าการขัดผิวมีความจำเป็นหรือไม่ ถ้าไม่ขัดผิวแล้วผิวจะกลับมาขาวได้ไหม แน่นอนว่าถ้าคุณไม่ขัดผิว ผิวของคุณก็จะกลับมาขาวได้ แต่ว่าจะต้องใช้ระยะเวลาหลายเดือนกว่าผิวจะกลับมาขาวเนียนและก่อนที่ผิวจะขาว ผิวของคุณจะกระดำกระด่างไม่น่ามองเอาเสียเลย

ซึ่งการขัดผิวจะเข้าไปกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายและติดอยู่บนผิวหนังออกมา เผยให้เห็นผิวใหม่ที่มีขาว เนียนและมีสุขภาพดี อีกทั้งการขัดผิวไม่จำเป็นต้องขัดทุกวัน โดยการขัดผิวจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ

  • ขัดผิวเพิ่มความเนียนเรียบ สำหรับคนปกติทั่วไปที่ผิวไม่มีปัญหาหมองคล้ำ มีจุดด่างดำ เนื่องจากแสงแดด ลมหนาวแล้ว การขัดผิวสามารถขัดผิวสัปดาห์ละครั้งหรือ 2 สัปดาห์ครั้งก็ได้ เพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่และขัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายไปให้หลุดออกจากผิวหนัง ลดการอุดตันของรูขุมขนและทำให้ผิวกระจ่างใสมากขึ้น 
  • ขัดผิวเพื่อเร่งผิวขาว สำหรับคนที่ต้องการขัดผิวเพื่อเร่งผิวให้กลับมาขาว เนียนใสแบบเร่งด่วน ควรทำการขัดผิวสัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยการขัดผิวจะเป็นขจัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายไป ยังเป็นการล้างสิ่งอุดตันในรูขุมขน ทำให้รูขุมขนกระชับ ป้องกันการเกิดสิวได้แล้ว การขัดผิวด้วยการหมุนเป็นวงกลมไปทั่วบริเวณยังเป็นการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้เลือดไปหล่อเลี้ยงเซลล์ผิวได้อย่างทั่วถึง ทำให้ผิวมีสุขภาพดี เปล่งปลั่ง เนียนนุ่มมากยิ่งขึ้น แนะนำ เลือกสครับขัดผิวแบบไหนดี

จะเห็นว่าการขัดผิวไม่จำเป็นต้องขัดทุกวัน แต่ถ้าต้องการขัดผิวเพื่อให้ผิวขาวแบบเร่งด่วนจะต้องทำการขัดผิวสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งก็เพียงพอแล้ว และในการขัดผิวจะต้องขัดเบา ๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นและไม่ทำให้เซลล์ผิวหนังเกิดการอักเสบระคายเคือง และนอกจากการขัดผิวแล้ว อย่าลืมดูแลผิวหน้าด้วย นี่คือ 5 ขั้นตอนที่ใช้ดูแลผิวในตอนเช้า


5 สูตร ขัดผิวขาวเร่งด่วน ด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติ 

ขัดผิวขาวเร่งด่วน

การขัดผิวเพื่อช่วยให้ผิวขาวแบบเร่งด่วนที่นำเสนอในวันนี้ เป็นสูตรขัดผิวที่ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติเป็นหลัก เพราะวัตถุดิบจากธรรมชาติจะอ่อนโยนต่อผิว ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ นอกจากนั้นยังหาได้ง่ายอีกด้วย แต่รับรองได้ว่าผิวขาวจริง มาดูกันว่ามีสูตรขัดผิวอะไรบ้าง

1. แตงกวา+น้ำตาล+น้ำมันมะพร้าว สูตรนี้เป็นสูตรขัดผิวที่ช่วยเสริมความชุ่มชื้นให้กับผิวจากแตงกวากับน้ำมันมะพร้าว พร้อมทั้งขัดเซลล์และสิ่งสกปรกด้วยเกล็ดน้ำตาล โดยมีขั้นตอนการทำเพียงแค่นำแตงกวาปั่นประมาณ 3/4  ถ้วย ผสมกับน้ำตาลทราย 1 ถ้วย และน้ำมันมะพร้าว 1/4 ถ้วย คนให้เข้ากันก็พร้อมสำหรับนำไปขัดผิวแล้ว

2. กากกาแฟ + น้ำผึ้ง + โยเกิร์ต สำหรับใครที่ผิวหมองคล้ำเนื่องจากการโดนแดดแล้ว สูตรขัดผิวนี้จะช่วยทำให้ผิวของคุณกลับมาขาวเนียนแบบสุขภาพดี โดยนำกากกาแฟ 1 ถ้วยผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะและโยเกิร์ต 2 ช้อนโต๊ะ นำไปพอกและขัดผิวประมาณ 30 นาทีแล้วล้างออก

3. น้ำมะกรูด+น้ำผึ้ง+นมสด สูตรนี้เป็นสูตรสำหรับผิวแบบบาง เนื่องจากใช้น้ำมะกรูดแทนน้ำมะนาว เนื่องจากน้ำมะกรูดมีความเป็นกรดน้อยกว่าน้ำมะนาว เมื่อนำมาใช้จึงมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ เท่านั้น โดยนำน้ำมะกรูด 2 ช้อนโต๊ะผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชาและนมสด 1 ถ้วยตวง นำไปขัดผิวเบา เพื่อความชุ่มชื้นกระจ่างใสให้กับผิว

4. ดินสอพอง+ขมิ้น+แตงกวา+นมสด สำหรับขมิ้นเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นสมุนไพรบำรุงผิวที่ช่วยทำให้ผิวขาวกระจ่างใส โดยนำแตงกวาบด 1 ถ้วยตวงผสมดินสอพอง 1 ช้อนโต๊ะ นมสด 1 ถ้วยตวงและขมิ้น 2 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากัน สูตรนี้นอกจากคืนผิวขาวแล้วยังเพิ่มความแข็งแรงให้กับผิวอีกด้วย

5. น้ำมะขามเปียก+ขมิ้น+โยเกิร์ต สูตรนี้เป็นสูตรขัดผิวแบบดั้งเดิมที่คนไทยเรารู้จักกันดี เพราะใช้กันมายาวนาน แต่มีการปรับเปลี่ยนมาใช้โยเกิร์ตผสมเข้าไป เพื่อให้ผิวได้รับความชุ่มชื้นเพิ่มมากขึ้น โดยใช้น้ำมะขามเปียก 1 ถ้วยตวง ผสมโยเกิร์ต ½ ถ้วยตวงและขมิ้น 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากันนำไปขัดผิว 

สำหรับใครที่ต้องการเร่งให้ผิวขาวแบบมีสุขภาพดีแล้ว แนะนำให้หาซื้อคอลาเจนมาผสมในสูตรขัดผิวข้างต้น แบบนี้จะช่วยให้ผิวขาวเร็วขึ้นและมีสุขภาพดีมากขึ้นด้วย หรือลองใช้ วิธีแก้หน้าโทรมผิวหมองคล้ำที่ทำได้ด้วยตัวเอง


เคล็ดลับ ขัดผิวขาวเร่งด่วน แบบไม่ทำร้ายผิว

ขัดผิวขาวเร่งด่วน

การขัดผิวขาวเร่งด่วนสามารถช่วยให้ผิวขาวขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ แต่ว่าหลายคนเมื่อทำการขัดผิวแล้ว แทนที่ผิวจะขาวขึ้นกลับกลายเป็นทำร้ายผิว ทำให้ผิวเกิดการอักเสบ ระคายเคือง ซึ่งเคล็ดลับในการขัดผิวให้ขาวกระจ่างใสแบบเร่งด้วยก็คือ ความต่อเนื่องและความอ่อนโยน นั่นคือ การขัดผิวต้องขัดเป็นประจำแบบวันเว้นวันหรือวันเว้น 2 วัน โดยการขัดจะต้องขัดอย่างเบามือและขัดหมุนเป็นวงกลมเล็ก ๆ ไปทั่วบริเวณที่ต้องการขัด เพียงเท่านี้ผิวของคุณก็จะกลับมาขาวใสแบบมีสุขภาพดีได้แล้ว

จะเห็นว่าการขัดผิวขาวเร่งด่วนทำได้ไม่ยาก และของที่ใช้ในการขัดผิวก็หาได้ง่าย สิ่งสำคัญคืออย่าลืมขัดผิวบ่อยเกินไป เนื่องจากการขัดผิวมากเกินไปก็อาจทำให้ผิวระคายเคือง แห้งกร้าน รบกวนผิวมากไป ผิวเสียหายได้ และต้องให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหลังจากการขัดผิวเพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและมีสุขภาพดี สำหรับใครที่มีปัญาหาผิวหมองคล้ำ มีริ้วรอยลองนำไปใช้กันนะ รับรองว่าผิวของคุณจะกลับมาขาวเนียนใสขึ้นได้อย่างแน่นอน


อ้างอิง

skin

แก้หน้าโทรม ผิวหมองคล้ำ ให้กลับมาดูสดใสจากภายในสู่ภายนอก

December 26, 2022
แก้หน้าโทรม

แก้หน้าโทรม ทำไงดี? ปัญหาที่ชายหญิงหลายคนมักจะพบเจอและทำให้เกิดความไม่มั่นใจ ถึงแม้จะพยายามหลีกเลี่ยงแล้วแต่หลายคนก็อาจจะกำลังเผชิญกับปัญหานี้อยู่ เพราะด้วยปัจจัยภายนอกและสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่ต้องพบเจอทุกวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 100% แต่วันนี้จะพาคุณไปเจาะลึกถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาเหล่านี้พร้อมวิธีบำรุงให้หน้ากลับมาสดใสได้ทั้งจากภายในสู่ภายนอกกันเลย


ทำไมหน้าโทรม ผิวหมองคล้ำดูไม่สดใส

ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่าปัญหาผิวหน้าโทรมนี้เกิดจากอะไร แก้หน้าโทรม ได้อย่างไรบ้าง หากเรารู้ถึงปัญหาที่แท้จริงแล้วก็จะสามารถหลีกเลี่ยงและแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด มาดูกันว่าทำไมใบหน้าของหลายคนจึงดูโทรมและไม่สดใส

  • อาการเครียด : หากคุณมีอาการเครียดมาก ๆ ร่างกายจะรับรู้จะเริ่มหลั่งฮอร์โมนที่มีชื่อว่า Cortisol ออกมา ซึ่งเจ้าฮอร์โมนตัวนี้จะเข้าไปกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากขึ้นทำให้หน้ามัน พอหน้ามันแล้วสิวก็มักจะเกิดขึ้นทำให้ผิวของคุณดูโทรมและเกิดความหมองคล้ำนั่นเอง
  • รังสี UV : แสงแดดหรือรังสี UV เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ใบหน้าดูโทรมและแก่ก่อนวัยได้ หากคุณเผชิญกับแสงแดดเป็นระยะเวลานานโดยไม่มีการปกป้อง แสงแดดจะเข้าไปทำร้ายได้ลึกถึงโครงสร้างชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวขาดคอลลาเจนและความชุ่มชื้น ส่งผลให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ ริ้วรอย และทำให้ผิวหน้าโทรมเร็วขึ้นได้
  • สภาพอากาศ : การอยู่ในที่ที่มีอากาศเย็น รวมถึงอยู่ในห้องแอร์จะทำให้ผิวหน้าแห้งและแตกเป็นขุยได้ เนื่องจากอากาศจะดูดซับความชุ่มชื้นของผิวหน้าไป ทำให้ใบหน้าแลดูไม่สดใสและเกิดความหมองคล้ำลง
  • พักผ่อนน้อย : การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอส่งผลเสียต่อร่างกายได้มากมาย นอกจากจะทำให้รู้สึกไม่สดชื่นแล้วก็ส่งผลต่อผิวหน้าได้ด้วยเช่นกัน เพราะขณะที่คุณนอนหลับนั่นร่างกายจะหลั่งโกรทฮอร์โมนซึ่งเป็นตัวช่วยซ่อมแซมผิวที่สึกหรอออกมา ทำให้ผิวเกิดความแข็งแรงมากขึ้น แต่หากคุณนอนน้อยร่างกายจะไม่สามารถหลั่งฮอร์โมนชนิดนี้ออกมาได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้ใบหน้าดูโทรมขึ้นนั่นเอง
  • ดื่มน้ำเปล่าน้อย : หากคุณดื่มน้ำเปล่าไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายจะเกิดภาวะขาดน้ำ ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น แห้งกร้าน และดูไม่สดใส 

วิธี แก้หน้าโทรม บอกลาหน้าปัญหาหน้าหมองคล้ำ

1. ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อร่างกาย

ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อร่างกาย

วิธี แก้หน้าโทรม ที่ง่ายที่สุดก็คือ ‘การดื่มน้ำ’ ให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ซึ่งร่างกายของแต่ละคนนั้นต้องการปริมาณน้ำไม่เท่ากันโดยจะคิดปริมาณเป็น 1.5 เท่าของแคลอรีที่ควรได้รับในแต่ละวัน แต่โดยทั่วไปแล้วปริมาณน้ำส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 8-12 แก้วต่อวัน ยิ่งดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายมากเท่าไหร่ ผิวของคุณก็จะดูสดใสและชุ่มชื้นมากขึ้นเท่านั้น

2. ทาครีมกันแดด

ทาครีมกันแดด

ครีมกันแดด เรียกได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่ง แม้ในวันที่คุณไม่ได้ออกจากบ้านการทาครีมกันแดดก็ยังคงเป็นหนึ่งไอเท็มที่ต้องใช้เป็นประจำทุกวัน เพราะนอกจากแสงแดดที่ทำร้ายผิวแล้วรังสีจากโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ หรือโทรทัศน์ก็ทำร้ายผิวหน้าได้เช่นกัน

3. รับประทานอาหารที่ให้คุณประโยชน์เยอะ

‘You are what you eat’ กินอะไรก็ได้อย่างนั้น ยิ่งคุณรับประทานอาหารที่ให้คุณประโยชน์ต่อร่างกาย ระบบต่าง ๆ ภายในรวมถึงภายนอกก็จะดีขึ้นด้วย ซึ่งอาหารที่มักจะให้คุณประโยชน์ก็จะเป็นจำพวก แซลมอน ทูน่า ปลาที่มีกรดโอเมก้า-3 และอื่น ๆ อีกมากมายที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ

4. ดูแลผิวหน้าให้สะอาด

ดูแลผิวหน้าให้สะอาด

การดูแลผิวหน้าให้สะอาดก็ช่วยให้ใบหน้าดูสดใสและไม่หมองคล้ำได้ หากคุณล้างหน้าหรือดูแลผิวหน้าไม่ดีอาจการหมักหมมของสิ่งสกปรกต่าง ๆ ทำให้ผิวอุดตันและเกิดสิวขึ้นได้

5. ทาครีมบำรุงผิวเป็นประจำ

การทาครีมบำรุงผิวหรือเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนช่วยรักษาใบหน้าหมองคล้ำก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ช่วยทำให้ใบหน้ากลับมาดูสดใสขึ้นได้ 

6. เปลี่ยนพฤติกรรม

แก้หน้าโทรม

ให้คุณลองสังเกตพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของตัวเองให้ดีว่าทำแบบไหนแล้วสิวขึ้น หรือทำแบบไหนแล้วหน้าจะดูโทรม ไม่สดใส และเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านั้น เช่น การเข้านอนให้ตรงเวลาและเร็วขึ้น การแบ่งเวลานอนกับเวลาทำงานอย่างชัดเจน การดื่มน้ำให้เพียงพอ ฯลฯ

7. ผลัดเซลล์ผิว

การสครับผิว ถือว่าเป็นการช่วยผลัดเซลล์ผิวได้อีกอย่างหนึ่งเพราะมันจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไปได้ง่ายขึ้น ทำให้ผิวได้รับการขจัดความหมองคล้ำออกไปได้ ส่งผลให้ผิวดูสดใสและมีความกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น แต่การสครับผิวก็ไม่ควรทำบ่อย ๆ เพราะผิวอาจบางได้ การผลัดเซลล์ผิวอาทิตย์ละ 1-2 ครั้งจะดีที่สุด ขอแนะนำ วิธีเลือกใช้สครับแบบไหนดีให้เหมาะกับผิว 

8. ลดความเครียด 

แก้หน้าโทรม

ยิ่งเครียด ก็ยิ่งโทรม ความเครียดส่งผลเสียต่อสุขภาพมากในหลาย ๆ ด้าน ยิ่งคุณเครียดมากเท่าไหร่มันก็จะยิ่งไปสัมพันธ์กับการทำงานของฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกายที่อาจทำให้ผิวดูหมองคล้ำและไม่สดใสได้

9. งดการสูบบุหรี่

บุหรี่ ส่งผลเสียต่าง ๆ มากมายต่อร่างกายรวมถึงด้านผิวพรรณด้วย เพราะสารนิโคตินที่อยู่ในบุหรี่นั้นจะทำให้ระบบหมุนเวียนเลือดในร่างกายทำงานได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดอาการผิวแห้งและผิวเสียขึ้นได้ นอกจากนี้การสูบบุหรี่ยังเข้าไปขัดขวางระบบการดูดซึมอาหารที่จำเป็นต่อผิวทำให้ผิวเสียและดูโทรมได้เช่นกัน

10. มาสก์หน้า 

แก้หน้าโทรม

การมาสก์หน้า ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีแก้หน้าโทรมที่สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะมาสก์หน้านั้นหาซื้อได้ง่ายตามร้านทั่วไป การเลือกมาสก์หน้าสูตรที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวจะช่วยทำให้ใบหน้าดูอิ่มฟูขึ้น และดูสดใส ไม่หมองคล้ำ รวม 5 สูตรมาสก์หน้าเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว ที่ทำเองได้


10 อาหารบำรุงผิว แก้หน้าโทรม ช่วยให้ผิวดูสดใสได้จากภายใน

นอกจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำต่าง ๆ จะส่งผลต่อการมีผิวสวยและใบหน้าที่สดใสแล้ว การรับประทานอาหารบำรุงผิวก็สามารถช่วยปรับสภาพผิวจากภายในได้ด้วยเช่นกัน มาดูกันว่าอาหารที่ผิวต้องการ ยิ่งกินผิวยิ่งสวยจะมีอะไรบ้าง

1. หน่อไม้ฝรั่ง

แก้หน้าโทรม

หน่อไม้ฝรั่ง เรียกได้ว่าเป็นอาหารที่ช่วยบำรุงผิวได้อย่างแท้จริง เพราะเป็นแหล่งของวิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี รวมถึงแร่ธาตุอื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ในหน่อไม้ฝรั่งยังอุดมไปด้วยกลูต้าไธโอนเป็นจำนวนมากและยังมีส่วนช่วยในการสร้างคอลลาเจนอีกด้วย ยิ่งกินเป็นประจำผิวของคุณก็จะยิ่งสดใสและกระจ่างใสแบบเป็นธรรมชาติ

2. ชาเขียว

ในชาเขียวอุดมไปด้วยโพลีนอลและแคเทซิน ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้มีสรรพคุณในการช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดและมลภาวะต่าง ๆ รวมถึงยังช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและป้องกันการเสื่อมของร่างกายได้เร็วอีกด้วย ทำให้ผิวพรรณไม่แก่ก่อนวัย โดยการดื่มชาเขียวอุ่นจากธรรมชาติเรียกได้ว่าเป็นเคล็ดลับความเยาว์วัยของชาวญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้

3. ธัญพืช

แก้หน้าโทรม

ธัญพืช ไม่ว่าจะเป็นชนิดใดก็ตามล้วนมีประโยชน์ต่อผิวพรรณทั้งสิ้น เพราะในถั่วดำ ถั่วเหลือง ถั่วแดง ข้ามหอมนิล ลูกเดือย หรือข้าวซ้อมมือ มีกากใยสูงทำให้ระบบการขับถ่ายทำงานได้อย่างเป็นปกติ ส่งผลให้ผิวพรรณมีน้ำมีนวลและดูยืดหยุ่นขึ้น

4. มะเขือเทศ

หากพูดถึงอาหารบำรุงผิว เชื่อว่ามะเขือเทศคงเป็นตัวเลือกแรก ๆ ที่หลายคนอาจนึกถึงแน่นอน เพราะในมะเขือเทศนั้นเป็นทั้งแหล่งของวิตามินเอ วิตามินซี ไลโคปีน และสารแคโรทีนอยด์ที่มีส่วนช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวดูกระจ่างใสและยังช่วยต้านการอักเสบของผิวได้อีกด้วย ทำให้ป้องกันการถูกแสงแดดทำร้ายได้เป็นอย่างดี

5. ผลไม้ตระกูลส้ม

แก้หน้าโทรม

ผักและผลไม้ต่าง ๆ ที่อยู่ในตระกูลส้มมีประสิทธิภาพช่วยต้านอนุมูลอิสระได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็น ส้มสายพันธ์ุต่าง ๆ ส้มโอ เลมอน มะนาว หรือมะกรูด เป็นต้น ซึ่งผักและผลไม้เหล่านี้ประกอบไปด้วยวิตามินซีสูงและสารไฟโตนิวเทรียนต์ ทำให้ช่วยเร่งการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ผิวจึงดูเปล่งปลั่งและสดใสมากยิ่งขึ้น

6. ฟักทอง

ในฟักทองมีไฟเบอร์และวิตามินต่าง ๆ สูง ทำให้ผิวมีความเด้งนุ่มและชุ่มชื้น พร้อมกับมีแร่ธาตุสำคัญต่าง ๆ ที่ช่วยผลิตคอลลาเจน ผิวจึงดูขาวอมชมพูได้เมื่อรับประทานอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ฟักทองยังช่วยแก้ไขปัญหาโรคผิวหนังได้อีกด้วยเช่นกัน

7. แซลมอน

แก้หน้าโทรม

ปลาแซลมอนอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่ช่วยปกป้องด้านผิวพรรณและกระตุ้นการเกิดคอลลาเจนได้เป็นอย่างดี ทำให้สามารถต่อต้านริ้วรอยก่อนวัย ชะลอวัย และบำรุงผิวได้อย่างล้ำลึก ทำให้ผิวดูใสและเนียนขึ้นได้ทั้งผิวหน้าและผิวกาย

8. น้ำแร่

น้ำแร่มีประโยชน์มากมายต่อร่างกาย นอกจากจะทำให้ผิวดูชุ่มชื้นไม่แห้งกร้านแล้ว การดื่มน้ำแร่เป็นประจำยังช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยและทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น เนื่องจากในน้ำแร่มีแร่ธาตุมากมายที่มีคุณสบบัติในการปรับสมดุลให้กับผิว

9. อะโวคาโด

อะโวคาโด เป็นแหล่งของไขมันดีที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนังและยังมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ทั้งช่วยชะลอวัย เลือดลมสูบฉีดได้อย่างดี และทำให้ผิวนุ่มฟูสุขภาพดี

10. แตงกวา 

หลายคนคงอาจเคยเห็นคนนำแตงกวามามาสก์หน้า เพราะแตงกวานั้นมีคุณสมบัติในด้านของการเติมเต็มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวอิ่มน้ำ พร้อมกับช่วยลดอุณหภูมิให้กับผิว ทำให้ผิวเย็นลงและดูเนียนนุ่มได้อีกด้วย

หน้าหมองคล้ำ ไม่สดใส เป็นปัญหาที่แก้ได้ หากคุณต้องการ ‘แก้หน้าโทรม’ เพียงแค่ต้องเริ่มจากการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น นอนให้เร็วขึ้นหรือดื่มน้ำให้มากขึ้น ที่สำหรับอย่าลืมหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่มักจะทำให้เกิดปัญหาหน้าโทรมเช่นความเครียดหรือการสูบบุหรี่ด้วย นอกจากนี้ การรับประทานอาหารบำรุงผิว และ ขัดผิวขาว ก็สามารถช่วยปรับสภาพผิวของคุณให้ดูสดใส และเปล่งปลั่งขึ้นได้เช่นเดียวกัน 


อ้างอิง  

skin

สกินแคร์มีอะไรบ้าง ? เลือกใช้อย่างไรให้เหมาะกับสภาพผิว

December 14, 2022
สกินแคร์มีอะไรบ้าง

เรื่องของผิว ต้องบอกเลยว่าถ้าได้ศึกษาดี ๆ จะมีเรื่องราวที่เป็นมากกว่าเครื่องสำอางทั่วไป สำหรับในปัจจุบันนี้ผลิตภัณฑ์อย่างสกินแคร์ ได้รับความนิยมมากขึ้น ถ้าหากย้อนเวลากลับไปในสมัยก่อน คงจะมีแต่คุณผู้หญิงที่หันมาดูแลตัวเอง แต่ในปัจจุบันนี้คุณผู้ชายทั่วไปก็หันมาใช้สกินแคร์กันเป็นจำนวนมาก ด้วยผลกระทบอย่างมลพิษ แสงแดด ความเครียด ส่งผลโดยตรงต่อผิวหน้า ผิวกาย ดังนั้นเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องรีบฟื้นฟูโดยเร็วเพราะเมื่อไหร่ที่ผิวเสีย บุคลิกของคุณก็จะดูไม่ดีตามไปด้วย ดังนั้นการดูแลผิวหน้าจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนจะต้องอาศัยความเข้าใจอย่างแท้จริงในการดูแล วันนี้พวกเราจึงไม่พลาดที่จะพาทุกท่านไปแนะนำให้พบกับ “สกินแคร์” ซึ่ง สกินแคร์มีอะไรบ้าง เลือกแบบไหนให้เหมาะกับสภาพผิว ทุกข้อมูลของเรื่องนี้พวกเราได้รวบรวมมาอธิบายให้อ่านกันแบบเข้าใจง่ายแล้วในบทความนี้ ถ้าหากว่าคุณคืออีกหนึ่งคนที่กำลังหันมาดูแลผิวของตัวเอง ไม่ควรพลาดกับบทความนี้


สกินแคร์ คืออะไร ทำไมถึงต้องทา?

สกินแคร์มีอะไรบ้าง

ด้วยสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน ส่งผลเสียต่อผิวเป็นอย่างมาก ส่งผลให้เกิดอาการแพ้ หรือสีผิวที่เสียไม่สม่ำเสมอ ดังนั้นอีกหนึ่งหนทางสำหรับคนรักดูแลผิวนั่นก็คือ การใช้สกินแคร์นั่นเอง ซึ่งความหมายของสิ่งนี้จะตรงตัวเลยก็คือ เป็นผลิตภัณฑ์ที่บำรุงผิวหน้า โดยจะมีลักษณะหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นเจล ครีม มอยส์เจอไรเซอร์ รวมไปถึงครีมที่มีคุณสมบัติช่วยบำรุง พร้อมทั้งฟื้นฟูผิวแห้งเสีย ซึ่งจะเป็นการดูแลบำรุงผิวหน้า หรือ ผิวกายด้วยครีมบำรุงต่าง ๆ แต่สิ่งสำคัญของการใช้งานก็คือ จะต้องเลือกให้เหมาะกับผิวของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นคนผิวแห้ง ผิวมัน หรือ ผิวปกติ ก็จะต้องเลือกสกินแคร์ให้เหมาะสม เพื่อการปกป้องผิวได้อย่างเต็มที่ 


สกินแคร์ ใช้แล้วดีอย่างไร ? 

นี่จึงเป็นอีกหลายเหตุผลที่เห็นได้ว่า มีสกินแคร์หลากหลายยี่ห้อให้เลือกใช้งานจนไม่รู้เลยว่าจะเลือกแบบไหนดี แบบไหนที่เหมาะกับผิวของคุณ เพราะว่าแต่ละคนนั้นมีรูปแบบของผิวที่ไม่เหมือนกันบางคนก็ผิวมัน บางคนก็ผิวแห้ง ซึ่งการใช้สกินแคร์ก็ส่งผลต่อการระคายเคืองของผิวด้วยเช่นกัน ซึ่งสิ่งสำคัญก็คือการเลือกผลิตภัณฑ์ในการบำรุงผิวหน้า ผิวกาย รวมทั้งครีมบำรุงต่าง ๆ ก็จะต้องเลือกให้เหมาะกับผิว ซึ่งจะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 


สกินแคร์ กับ ประเภทของผิว

สกินแคร์มีอะไรบ้าง

การรู้ตัวเองว่ามีสภาพผิวแบบไหน เป็นเรื่องที่ดี เพราะว่าคุณจะสามารถใช้งานผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสมได้โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องการแพ้ หรือ ระคายเคือง แต่การสำรวจตัวเองนั้นไม่ยาก สำหรับการตรวจสอบผิวก็ดูได้จากความสมบูรณ์ของผิว ถ้าดูแห้งกร้าน ก็คือ ผิวแห้ง ถ้าผิวมัน มักจะมีน้ำมันหล่อเลี้ยงอยู่ที่บริเวณหน้าตลอดเวลา โดยการดูแลผิวจะแบ่งตามประเภทของผิว ดังนี้ 

  • ผิวธรรมดา

ก่อนที่จะเลือกครีมบำรุงผิวสำหรับคนผิวธรรมดานั้น จะต้องรู้จักกับผิวตัวเองก่อนว่า มีผิวแบบไหน โดยผู้ที่ผิวแบบธรรมดา จะมีผิวที่มีน้ำมันบนใบหน้าในแบบพอดี ไม่มันจนเกินไป อีกทั้งผิวก็ยังมีความแข็งแรง สุขภาพดี ดูเปล่ง ไม่ค่อยมีริ้วรอย โดยรูปแบบผิวนี้จะมีข้อดีก็คือ ไม่ค่อยมองเห็นรูขุมขน ทำให้ไม่มีปัญหาผิวเรื่องสิว หรือ ฝ้า รบกวน แต่ข้อเสียก็คือ จะต้องดูแลผิวไม่ให้ขาดความชุ่มชื้นตลอดเวลา รักษาความสมดุลให้พอเหมาะ ไม่เช่นนั้นผิวก็จะเสียได้เช่นกัน 

การดูแลรักษาของผิวธรรมดา จะใช้ครีมบำรุงผิวที่ไม่เข้มข้น หรือ เบาบางจนเกินไป ใช้ครีมกันแดดทุกวัน สครับผิวอาทิตย์ละ 1 ครั้ง เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว พร้อมยังคงความอ่อนเยาว์ต่อไป 

  • ผิวแห้ง

ลักษณะของคนผิวแห้ง จะเกิดภาวะการผลิตน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวได้น้อย เวลาที่ล้างหน้า จะรู้สึกว่าหน้าแห้งตึง หน้าเป็นขุย มีริ้วรอยบาง ๆ ที่มองเห็นได้ นี่แหละคือคนผิวแห้ง ถึงแม้ว่าจะมีข้อดีเรื่องไม่มีปัญหารูขุมขน แต่ข้อเสียนั้นมีเพียบ ไม่ว่าจะเป็น ริ้วรอยที่มาเร็ว เมื่อมีสิวก็จะรักษายากกว่าคนผิวมัน เมื่อผิวแห้ง ก็จะยิ่งแดง ลอก แห้ง ระคายเคืองง่าย 

สำหรับการดูแลผิว ในผู้ที่มีผิวแห้งนั้น จะต้องใช้เนื้อครีมที่เข้มข้น ให้ความชุ่มชื้น พร้อมทั้งเติมความชุ่มชื้นในระหว่างวัน ใช้สเปรย์น้ำแร่เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นก่อนแต่งหน้า ใช้ครีมกันแดดที่ผสมมอยส์เจอไรเซอร์ ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ไม่มีฟอง ส่วนอาหารเสริมก็ให้เลือกทานน้ำมันปลาจะดีมาก เพราะจะทำให้ผิวดูแข็งแรงขึ้น พร้อมช่วยลดการอักเสบ หรือผื่นแพ้ได้ 

  • ผิวมัน 

สำหรับคนผิวมัน จะเกิดจากภาวะที่มีน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวมากเกินไป เวลาที่ล้างหน้าภายใน 2 ชั่วโมงไปแล้ว ผิวก็จะเริ่มมันในส่วนของ ทีโซน แก้ม จมูก คิ้ว รูขุมขนกว้าง สิวเสี้ยนเกิดง่าย พร้อมกับสิวหัวดำบริเวณจมูกด้วย สำหรับข้อดีของผู้ที่มีผิวมันก็คือ เกิดริ้วรอยได้ยากกว่าคนผิวแห้ง ระคายเคืองยาก แต่ข้อเสียก็คือ จะเกิดสิวอักเสบได้ง่าย พร้อมกับเกิดสิวอุดตันก็เกิดได้ง่ายเช่นกัน 

สำหรับผิวมันให้ใช้โทนเนอร์ควบคุมความมัน ในรูปแบบที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว รวมทั้งใช้แบบลดความมัน จะช่วยให้ละลายไขมันที่อุดตันในรูขุมขน หลีกเลี่ยงส่วนผสมที่เกี่ยวกับน้ำมัน โดยในช่วงหน้าร้อนจะต้องดูแลเป็นพิเศษ เพราะว่าช่วงนี้จะผลิตน้ำมันที่มากเกินไป เกิดสิวอุดตันง่าย พร้อมทั้งสิวอักเสบด้วย ดังนั้นการเลือกสกินแคร์จะต้องระวังเป็นพิเศษ ควรใช้ครีมบำรุงที่เนื้อบางเบา หรือผลิตภัณฑ์แบบสูตรน้ำแทนจะดีต่อผิวมากกว่าแบบอื่น

  • ผิวผสม

สำหรับผิวแบบผสมก็คือ การเกิดภาวะที่ผิวทั้งแห้ง ทั้งมัน ซึ่งอาจจะเกิดเป็นคนละจุดกัน โดยส่วนของผิวมันจะเกิดสิวง่าย ส่วนผิวแห้งก็จะลอกเป็นขุยได้ ซึ่งผิวลักษณะนี้จะมีข้อดีก็คือ เกิดริ้วรอยยากในจุดที่มัน แล้วก็จะไม่มีปัญหาเรื่องรูขุมขนกว้างในจุดที่ผิวแห้งด้วยนั่นเอง ส่วนที่เป็นข้อด้อยของผิวประเภทนี้ก็คือ การดูแลที่จะยากกว่ารูปแบบทั่วไป เพราะว่าแห้งกับมันเป็นส่วน ซึ่งการเลือกครีมอาจจะต้องปรับไปตามสภาพผิวของแต่ละจุดนั่นเอง

สำหรับการดูแล “ผิวผสม” จะใช้ครีมสองสูตร นั่นก็คือ จะต้องใช้คลีนเซอร์ทำความสะอาด  ซึ่งจะใช้ได้ทั้งผิวแห้ง รวมทั้งผิวมันด้วย โดยพยายามควบคุมความมันด้วการใช้โทนเนอร์เช็ดที่บริเวณผิว 

  • ผิวแพ้ง่าย

ผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย ค่อนข้างตรงตัว เพราะว่าผิวจะมีความสามารถในการปกป้องผิวลดลง ผิวจะอักเสบได้ง่าย ผิวอ่อนแอลง สุขภาพผิวไม่แข็งแรง ซึ่งจะใช้ครีมชนิดใด หรือสกินแคร์แบบไหน ก็จะต้องศึกษา เพราะว่าอาจจะแพ้น้ำหอม หรือสารสกัดภายในสกินแคร์นั้นด้วย 

การดูแลผิวแพ้ง่ายนั้นเหมือนจะยาก แต่ถ้าหากว่าคุณเองใช้ผลิตภัณฑ์ที่สามารถเคลือบผิวเอาไว้ โดยจะทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันให้กับผิว โดยคุณเองจะต้องหลีกเลี่ยงน้ำหอม แอลกอฮอล์ เพราะนี่คือสารที่จะทำให้ผิวของคุณเกิดความระคายเคือง โดยสกินแคร์ที่จะต้องใช้ จะต้องเลือกแบรนด์ที่อ่อนโยนต่อผิวอย่างมาก ดังนั้น มาเรียนรู้ ขั้นตอนการดูแลผิวหน้า เพื่อสุขภาพผิวที่ดีกัน


สกินแคร์มีอะไรบ้าง

สกินแคร์มีอะไรบ้าง

เห็นแบบนี้แล้วตัวของ “สกินแคร์” มีหลากหลายประเภท รวมทั้งคุณสมบัติที่แตกต่างกันด้วยเช่นกัน ถ้าหากว่าอธิบายเบื้องต้นคงจะยังไม่หมด ดังนั้น เราจึงได้รวบรวมประเภทของสกินแคร์ อีกทั้งประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ดูแลผิวในแบบต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยมีคำตอบให้กับคนที่กำลังเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1. Skin Cleansing Products สำหรับทำความสะอาด

สำหรับสกินแคร์ประเภทนี้จะมีหน้าที่หลักก็คือ ทำความสะอาด ชำระสิ่งสกปรกออกไปจากผิวกาย ไม่ว่าจะเป็น เหงื่อ ขี้ไคล ความมันบนใบหน้า ผิวกาย รวมทั้งฝุ่น และมลพิษต่าง ๆ ที่ได้รับมา ที่สำคัญเครื่องสำอางที่คุณผู้หญิงได้ใช้งานบนใบหน้า จะถูกสกินแคร์ประเภททำความสะอาด ชำระล้างไปจนหมด โดยรูปแบบก็มีหลากหลายไม่ว่าจะเป็นแบบเช็ดออกด้วยน้ำ หรือล้างออกด้วยน้ำ โดยจะมีตัวอย่างผลิตภัณฑ์สกินแคร์ประเภทนี้ที่พบได้ทั่วไปเลยก็คือ สบู่ก้อน สบู่เหลว เจลล้างหน้า เจลอาบน้ำ โฟมล้างหน้า รวมไปถึงโทนเนอร์ที่ใช้เช็ดทำความสะอาด เป็นต้น

2. Skin Whitening/Brightening Products ช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใส

แน่นอนเลยว่ามีสำหรับทำความสะอาดแล้ว ก็จะต้องมีสกินแคร์ที่ช่วยบำรุงผิวให้กระจ่างใส โดยเราจะเรียกผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ว่า “ไวท์เทนนิ่ง” นั่นเอง โดยจะมีคุณสมบัติที่จะช่วยให้ผิวดูกระจ่างใส ซึ่งจะเป็นประเภทที่คุณผู้หญิงที่รักในความงามรู้จักกันเป็นอย่างดี โดยหน้าที่หลักจะช่วยปรับสภาพผิวให้ดูขาวขึ้น กระจ่างใสขึ้น ซึ่งในปัจจุบันได้มีเครื่องสำอางหลายชนิด เพิ่มสารประเภทนี้เข้าไปทำให้ใช้แล้วดูผิวกระจ่างใสขึ้น โดยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้จะใส่สารที่มีกลไกการออกฤทธิ์ทำให้สีผิวจางลง โดยจะมี 2 แบบ ได้แก่ Tyrosinase กับ Peroxidase 

โดยในรายแรกอย่าง Tyrosinase จะหมายถึงรูปแบบการยับยั้งเอนไซม์  ซึ่งการยับยั้งเอนไซม์ตัวนี้จะทำให้ไม่ไปเกินกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานิน ผิวจะดูกระจ่างใสขึ้น

ส่วนอีกหนึ่งรูปแบบอย่าง Peroxidase  จะหมายถึงการยับยั้งเอนไซม์อื่น ๆ ที่สามารถพบได้ในเซลล์มนุษย์  

3. Moisturizing Products ผลิตภัณฑ์เพิ่มความชุ่มชื้น

นอกจากการทำความสะอาดผิว แล้วยังช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใส ผลิตภัณฑ์เพิ่มความชุ่มชื้นก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้ผิวดูขาวใส สวยเปล่งประกายเป็นธรรมชาติ ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะเรียกกันติดปากว่า moisturizer หรือมอยส์เจอไรเซอร์ นั่นเอง ซึ่งเป็นไอเทมที่สาว ๆ ขาดไม่ได้ เพราะว่าจะต้องบำรุงทุกวัน ด้วยคุณสมบัติที่จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับสาว ๆ ด้วย 

4. Anti-aging Products ผลิตภัณฑ์ชะลอวัย

สารต้านอนุมูลอิสระ เป็นอีกหนึ่งส่วนเสริมที่ช่วยลดริ้วรอย ซึ่งแน่นอนว่านี่คือสิ่งที่สาว ๆ ต้องการกับความหน้าเด็ก หน้าใส ดังนั้นผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจนี้ จึงเหมาะสำหรับคุณผู้หญิงที่อยากจะทำสักครั้งในชีวิต แล้วคุณเองก็จะเปลี่ยนไป สำหรับจุดเด่นของ Anti-aging Products นั้น จะสามารถผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป แต่แค่ไปสร้างผิวใหม่ ให้ดีกว่าเดิมด้วยนั่นเอง นี่แหละคือผลิตภัณฑ์ที่แก้ปัญหาในเรื่องของการช่วยฟื้นฟูผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

5. Antiperspirants & Deodorants Products ผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อและระงับกลิ่นกาย

เห็นแบบนี้ ผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อและระงับกลิ่นกาย จัดเป็นสกินแคร์อย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน เพราะว่าจะช่วยชำระล้างเรื่องกลิ่นกาย พร้อมกับส่งผลให้ผิวไม่เสียด้วย โดยจะมีจุดเด่นที่ให้คนทุกเพศทุกวัยได้พูดถึง กับสกินแคร์ที่จะเพิ่มความมั่นใจให้กับทุกคน มั่นใจว่าวันเหงื่อออกมาเยอะ แต่กลิ่นตัวก็ยังคงหอมแบบมั่นใจอยู่ 

6. Acne Product ผลิตภัณฑ์สิว

สกินแคร์ที่จะเน้นไปทางการรักษามากกว่าการบำรุง เพราะว่าผู้ที่มีปัญหาสิวนั้น จะต้องใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิว หรือว่าผู้ที่เป็นสิวประจำก็อาจจะต้องใช้สกินแคร์ในกลุ่มนี้ ส่วนประเภทของสิวนั้นก็มีหลากหลายรูปแบบ หลายชนิด ส่วนใหญ่แล้วจะขึ้นอยู่กับผิวหน้าด้วย แต่เมื่อไหร่ที่เป็นสิวก็จะต้องดูแลเป็นพิเศษ การใช้ครีม หรือสกินแคร์ที่บำรุงผิว ก็จะต้องคิดให้ดีก่อนใช้ เพราะอาจจะแพ้ระคายเคือง เกิดสิวเห่อหนักกว่าปกติได้ วิธีจัดการกับสิวฮอร์โมน

7. Sunscreen Products ผลิตภัณฑ์กันแดด

สำหรับครีมกันแดด คือพระเอกในเรื่องของการปกป้องผิวแบบ 90% โดยภายในครีมกันแดดจะประกอบไปด้วย เป็นส่วนประกอบของ Inorganic Sunscreens ที่เป็นกลุ่มที่ทำหน้าที่สะท้องแสงกลับไป หรือดูดแสงเอาไว้แล้วปล่อยออกมา ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งก็คือ Organic Sunscreens เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่จะทำหน้าที่ดูดซับ หรือดูดซึมแสงเอาไว้ แน่นอนเลยว่ายังไงก็แล้วแต่ครีมกันแดด ยังคงมาเป็นอันดับ 1 ในเรื่องของสกินแคร์ที่ปกป้องผิวเป็นด่านแรก ส่วนประเภทอื่น ๆ ก็จะมีความสำคัญเช่นเดียวกัน 


ส่วนผสมที่มักจะอยู่ในสกินแคร์

สกิลแคร์ จะมีส่วนผสมที่ทั้งปลอดภัย รวมทั้งส่วนผสมที่หลาย ๆ คนอาจจะแพ้สารดังกล่าวได้ แน่นอนว่าในช่วงสุดท้ายของบทความนี้ พวกเราจะขอแนะนำกับ ส่วนผสมที่อยู่ในตัวของสกินแคร์ พร้อมกับข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการเลือกใช้ การตรวจสอบสารเคมีในเครื่องสำอาง เป็นต้น ซึ่งนี่คืออีกหนึ่งความรู้ที่คุณเองจะต้องทำความเข้าใจก่อนจะใช้สกินแคร์อย่างจริงจัง โดยมีเรื่องที่คุณเองจะต้องรู้ดังต่อไปนี้

ส่วนผสมที่เสี่ยงแก่การแพ้

ข้อสำคัญสำหรับการเลือกซื้อสกินแคร์ ใครที่ผิวแพ้ง่ายก็จะต้องหลีกเลี่ยงสารอันตรายดังต่อไปนี้ 

  • สารกลุ่มซัลเฟต 
  • สารกันเสีย จะทำให้ผิวของเราระคายเคืองได้
  • น้ำหอม จะทำให้ผิวของเราระคายเคืองได้ 
  • สีสังเคราะห์ 
  • ฟอร์มาลดีไฮด์ 
  • สารปรอท 
  • แอลกอฮอล์ จะทำให้ผิวของเราระคายเคืองได้

ถึงแม้ว่าสารเหล่านี้จะมีส่วนผสมอยู่ในจำนวนที่ไม่มากนัก แต่ทว่าสามารถทำให้เกิดอันตรายต่อตัวเองได้ แต่จะต้องระวังเป็นอย่างมาก เพราะเป็นส่วนผสมที่อาจจะทำให้คุณแพ้ง่ายเช่นกัน 

ส่วนผสมที่สำคัญ

สำหรับสกินแคร์ โดยทั่วไปแล้วจะต้องเรียนรู้ส่วนผสมต่าง ๆ ด้วย ตัวอย่างเช่น ครีมที่ใช้ลดเลือนริ้วรอย จะพบเจอกับสาร Retinol จะช่วยลดเลือดริ้วรอยต่าง ๆ โดยส่วนใหญ่แล้วสร้างจากวิตามินเอ ใน่ส่วนของครีมที่เพิ่มความกระจ่างใส ก็จะมี L-Ascorbic Acid  ส่วนผสมที่สกัดมาจากวิตามินซีมีหลายอย่าง  หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า เรตินอล คืออะไร ?  ลองอ่านบทความนี้ดูก่อน

สกินแคร์ประเภทครีมกันแดด ก็จะมีค่า SPF และ PA  ที่สามารถปกป้องผิวจากแสงแดดได้ ซึ่งจะแนะนำค่า SPF ที่ปกป้องผิวเราจากแสง UVB ค่า SPF ที่แนะนำก็คือ 30 ขึ้นไป 


จะเห็นได้เลยว่า สกินแคร์มีอะไรบ้าง ซึ่ง “สกินแคร์” เป็นเหมือนอีกหนึ่งเรื่องที่เล็ก ๆ แต่เมื่อได้ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ จะทำให้คุณกลับมารักสุขภาพผิวมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะเป็นจุดที่ดูแลง่ายก็ตาม แต่ทว่าความบอบบาง รวมทั้งการระคายเคืองที่อาจจะทำให้ผิวของคุณเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงเช่นกัน สำหรับทั้งหมดนี่ก็คือเรื่องราวของ ความหมายของ “สกินแคร์” ที่พวกเราได้รวบรวมมาให้อ่านกันหลายประเภท ซึ่งแต่ละแบบก็ตอบโจทย์สำหรับคนรักสุขภาพทั้งหมด สำหรับในช่วงนี้ทั้งอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย โรคระบาด COVID-19 ยังคงมีผู้ติดเชื้อเรื่อย ๆเช่นเดิม และทั้งหมดนี่ก็คือ เรื่องราวของสกินแคร์ที่พวกเราได้รวบรวมมาพวกเราหวังว่าจะเป็นข้อมูลดี ๆ ให้กับผู้ที่อยากจะหันมาดูแลสุขภาพกันด้วย


อ้างอิง