Browsing Tag

สกินแคร์

skin

5 ส่วนผสมสกินแคร์ ที่น่าจับตามองในวงการผิวสวย

December 10, 2023
5 ส่วนผสมสกินแคร์ ที่น่าจับตามองในวงการผิวสวย

ส่วนผสมสกินแคร์ เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์บํารุงผิวที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และมีการค้นพบส่วนผสมใหม่ ๆ เพื่อให้ผิวสวยงาม สุขภาพดีขึ้น ในบทความนี้ เราจะพาคุณมาดู 5 ส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่กําลังเป็นที่สนใจในอุตสาหกรรมความงาม ตั้งแต่ประโยชน์ที่โดดเด่นจนถึงวิธีการทำงานของมัน ซึ่งจะครอบคลุมทุกอย่างที่คุณต้องรู้

ส่วนผสมสกินแคร์ เพื่อผิวสวย : 5 สารสำคัญที่ควรรู้

1. Bakuchiol

Bakuchiol ส่วนผสมสกินแคร์

ทางเลือกธรรมชาติสำหรับเรทินอล

สารสกัด Bakuchiol ที่สกัดจากต้น Psoralea corylifolia กําลังเป็นทางเลือกที่อ่อนโยนกว่า เรตินอล ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งผู้ที่มีผิวไวต่อการระคายเคืองจากผลิตภัณฑ์เรตินอลแบบดั้งเดิม

บาคูชิออล ทำงานอย่างไร?

บาคุชิลทำงานคล้ายกับเรตินอลโดยกระตุ้นการหมุนเวียนของเซลล์ผิว ช่วยลดริ้วรอย ริ้วรอย และสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ แต่จะทำให้เกิดการระคายเคืองและลอกน้อยกว่า ดังนั้น จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายหรือผิผู้ที่มีผิวไวต่อการระคายเคือง

ผลิตภัณฑ์ที่มีบาคูชิออล

แบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหลายแบรนด์กําลังนําบาคูชิออลมาใส่ในสูตรต่าง ๆ ตั้งแต่เซรั่มและครีมไปจนถึงน้ำมัน ซึ่งให้ประโยชน์คล้ายเรตินอลโดยไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรง ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นที่นิยมโดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์ต้านริ้วรอยและผลิตภัณฑ์เพื่อผิวขาวกระจ่างใส


2. Polyhydroxy Acids (PHAs)

ส่วนผสมสกินแคร์ PHA

ผลิตภัณฑ์ขัดผิวอย่างอ่อนโยนสำหรับผิวแพ้ง่าย

PHAs เป็นกลุ่มกรดเอ็กซ์โฟลิเอตชนิดใหม่ คล้ายกับ Alpha-Hydroxy Acids (AHAs) และ Beta-Hydroxy Acids (BHAs) แต่อ่อนโยนต่อผิวมากกว่า จึงเหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย ผิวแห้ง หรือผิวที่มีปัญหาผื่นภูมิแพ้

ประโยชน์ของ PHAs

PHAs จะช่วยขัดผิวที่ตายแล้วบนพื้นผิว ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้นและสีผิวสม่ําเสมอขึ้น นอกจากนี้ PHAs ยังมีขนาดโมเลกุลใหญ่กว่า AHAs และ BHAs ทำให้ซึมลงผิวช้ากว่าและไม่ระคายเคืองเหมือนกรดชนิดอื่น ที่สำคัญ PHAs ยังช่วยให้ผิวกักเก็บความชุ่มชื้น ทำให้ผิวชุ่มชื้นขึ้นด้วย

ผลิตภัณฑ์ที่มี PHAs

ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มี PHA กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ที่มองหาทางเลือกที่อ่อนโยนแทนการขัดผิวแบบดั้งเดิม คุณสามารถพบได้ในผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภท เช่น โทนเนอร์ ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า เซรั่ม และครีมบํารุงผิว ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการขัดผิวและให้ความชุ่มชื้นในแต่ละวัน โดยไม่เสี่ยงต่อการขัดผิวมากเกินไป


3. Niacinamide

Niacinamide ส่วนผสมสกินแคร์

วิตามินหลากหลายประโยชน์เพื่อสุขภาพผิว

ไนอาซินาไมด์หรือวิตามินบี 3 เป็นส่วนประกอบบํารุงผิวที่หลากหลายประโยชน์ ช่วยแก้ไขปัญหาผิวหลายอย่าง

ความหลากหลายของไนอาซินาไมด์

ไนอาซินาไมด์มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ช่วยลดการระคายเคืองและสิวได้ ยังช่วยลดขนาดรูขุมขนและควบคุมการหลั่งน้ำมันส่วนเกินของผิว พร้อมปกป้องผิวจากมลภาวะภายนอก นอกจากนี้ไนอาซินาไมด์ยังช่วยปรับปรุงพื้นผิวและเสริมสร้างการทำงานของเกราะป้องกันผิวอีกด้วย

ผลิตภัณฑ์บํารุงผิวที่มีไนอาซินาไมด์

เนื่องจากคุณประโยชน์มากมาย ไนอาซินาไมด์จึงพบได้ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหลายชนิด รวมถึงเซรั่ม มอยเจอร์ไรเซอร์ และครีมกันแดด เหมาะสมกับผิวทุกประเภท สามารถนําไปใช้ในการบํารุงผิวประจำวันได้ง่าย


4. Cannabidiol (CBD)

Cannabidiol (CBD)

ส่วนประกอบช่วยปลอบประโลมและรักษาผิว

CBD เป็นสารประกอบที่ได้มาจากต้นกัญชาที่ได้รับความนิยมในผลิตภัณฑ์บํารุงผิว เนื่องจากมีฤทธิ์ต้านอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ

Cannabidiol มีประโยชน์ต่อผิวอย่างไร?

CBD ช่วยลดการระคายเคืองผิว ลดการอักเสบ จัดการปัญหาผิว เช่น สิว ผื่นภูมิแพ้ และสะเก็ดเงินได้ นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต่อต้านความเสื่อม ความหมองคล้ำของผิว

CBD ในผลิตภัณฑ์บํารุงผิว

ปัจจุบัน CBD มีการนํามาใช้ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหลากหลายชนิด เช่น ครีม เซรั่ม และบาล์ม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดการระคายเคืองผิว หรือต้องการเพิ่มฤทธิ์ต้านความเสื่อมให้กับผิว


5. Peptides

Peptides

องค์ประกอบสำคัญให้ผิวดูเยาว์

เพปไทด์เป็นโซ่อะมิโนแอซิดสั้น ๆ ที่มีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพและความงามของผิว

บทบาทของเพปไทด์ในผลิตภัณฑ์บํารุงผิว

เพปไทด์ในผลิตภัณฑ์จะช่วยกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนซึ่งจำเป็นต่อการรักษาความยืดหยุ่นและความตึงตัวของผิว ยังช่วยซ่อมแซมผิวให้ดูอ่อนเยาว์ จึงมักพบในผลิตภัณฑ์ต้านความเสื่อมของผิว

ผลิตภัณฑ์ที่มีเพปไทด์

เพปไทด์มักพบในเซรั่ม ครีมบํารุงผิวและครีมบํารุงดวงตา สามารถใช้ร่วมกับส่วนประกอบอื่นได้ดี เหมาะสำหรับผิวทุกประเภท โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการลดริ้วรอยและอาการความเสื่อมของผิว


สรุปได้ว่า ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวมีการพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับนวัตกรรมส่วนประกอบใหม่ ๆ เพื่อปรับปรุงสุขภาพและความงามของผิว บทความนี้ได้กล่าวถึง 5 ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ปฏิวัติวงการ คือ Bakuchiol ซึ่งเป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่เป็นทางเลือกที่อ่อนโยนกว่าเรทินอลและเหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย รวมถึง PHAs ที่ให้ความอ่อนโยนและทำให้ผิวชุ่มชื้นผิว

รวมถึงยังมี Niacinamide วิตามินบํารุงผิวมากประโยชน์สำหรับผิวทุกประเภท และแคนนาบิดิออลที่ช่วยลดอาการระคายเคืองและรักษาสภาพผิว ส่วนท้ายคือ Peptides ที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและชะลอความเสื่อมของผิว แต่ละส่วนประกอบต่างมีประโยชน์เฉพาะตัวในโลกของ สกินแคร์บำรุงผิว จึงน่าจับตามองอย่างยิ่งในแวดวงผลิตภัณฑ์ดูแลผิว


คําถามที่พบบ่อย

1. บาคูชิออลมีข้อดีเหนือเรทินอลอย่างไร?

บาคูชิออลให้ผลลัพธ์คล้ายกับเรทินอล แต่อ่อนโยนและเหมาะกับผิวไวมากกว่า

2. PHA เหมาะสำหรับผิวทุกประเภทหรือไม่?

เหมาะโดยเฉพาะผิวแห้งและผิวแพ้ง่าย เพราะมีคุณสมบัติในการขัดผิวอย่างอ่อนโยนและให้ความชุ่มชื้น

3. ไนอาซินาไมด์ช่วยปรับปรุงสุขภาพผิวได้อย่างไร?

ลดการอักเสบ ลดขนาดรูขุมขน ควบคุมความมัน และปกป้องจากมลภาวะ ทำให้เหมาะสำหรับผิวหลายประเภท

4. CBD ช่วยรักษาสิวได้หรือไม่?

ได้ เนื่องจาก CBD มีฤทธิ์ต้านการอักเสบช่วยรักษาสิวและโรคผิวหลายชนิดได้

5. เพปไทด์มีบทบาทในผลิตภัณฑ์บํารุงผิวอย่างไร?

ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวตึงกระชับ ยืดหยุ่น และชุ่มชื้น ช่วยชะลอความเสื่อมของผิว

อ้างอิง :

skin

สกินแคร์มีอะไรบ้าง ? เลือกใช้อย่างไรให้เหมาะกับสภาพผิว

December 14, 2022
สกินแคร์มีอะไรบ้าง

เรื่องของผิว ต้องบอกเลยว่าถ้าได้ศึกษาดี ๆ จะมีเรื่องราวที่เป็นมากกว่าเครื่องสำอางทั่วไป สำหรับในปัจจุบันนี้ผลิตภัณฑ์อย่างสกินแคร์ ได้รับความนิยมมากขึ้น ถ้าหากย้อนเวลากลับไปในสมัยก่อน คงจะมีแต่คุณผู้หญิงที่หันมาดูแลตัวเอง แต่ในปัจจุบันนี้คุณผู้ชายทั่วไปก็หันมาใช้สกินแคร์กันเป็นจำนวนมาก ด้วยผลกระทบอย่างมลพิษ แสงแดด ความเครียด ส่งผลโดยตรงต่อผิวหน้า ผิวกาย ดังนั้นเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องรีบฟื้นฟูโดยเร็วเพราะเมื่อไหร่ที่ผิวเสีย บุคลิกของคุณก็จะดูไม่ดีตามไปด้วย ดังนั้นการดูแลผิวหน้าจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนจะต้องอาศัยความเข้าใจอย่างแท้จริงในการดูแล วันนี้พวกเราจึงไม่พลาดที่จะพาทุกท่านไปแนะนำให้พบกับ “สกินแคร์” ซึ่ง สกินแคร์มีอะไรบ้าง เลือกแบบไหนให้เหมาะกับสภาพผิว ทุกข้อมูลของเรื่องนี้พวกเราได้รวบรวมมาอธิบายให้อ่านกันแบบเข้าใจง่ายแล้วในบทความนี้ ถ้าหากว่าคุณคืออีกหนึ่งคนที่กำลังหันมาดูแลผิวของตัวเอง ไม่ควรพลาดกับบทความนี้


สกินแคร์ คืออะไร ทำไมถึงต้องทา?

สกินแคร์มีอะไรบ้าง

ด้วยสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน ส่งผลเสียต่อผิวเป็นอย่างมาก ส่งผลให้เกิดอาการแพ้ หรือสีผิวที่เสียไม่สม่ำเสมอ ดังนั้นอีกหนึ่งหนทางสำหรับคนรักดูแลผิวนั่นก็คือ การใช้สกินแคร์นั่นเอง ซึ่งความหมายของสิ่งนี้จะตรงตัวเลยก็คือ เป็นผลิตภัณฑ์ที่บำรุงผิวหน้า โดยจะมีลักษณะหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นเจล ครีม มอยส์เจอไรเซอร์ รวมไปถึงครีมที่มีคุณสมบัติช่วยบำรุง พร้อมทั้งฟื้นฟูผิวแห้งเสีย ซึ่งจะเป็นการดูแลบำรุงผิวหน้า หรือ ผิวกายด้วยครีมบำรุงต่าง ๆ แต่สิ่งสำคัญของการใช้งานก็คือ จะต้องเลือกให้เหมาะกับผิวของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นคนผิวแห้ง ผิวมัน หรือ ผิวปกติ ก็จะต้องเลือกสกินแคร์ให้เหมาะสม เพื่อการปกป้องผิวได้อย่างเต็มที่ 


สกินแคร์ ใช้แล้วดีอย่างไร ? 

นี่จึงเป็นอีกหลายเหตุผลที่เห็นได้ว่า มีสกินแคร์หลากหลายยี่ห้อให้เลือกใช้งานจนไม่รู้เลยว่าจะเลือกแบบไหนดี แบบไหนที่เหมาะกับผิวของคุณ เพราะว่าแต่ละคนนั้นมีรูปแบบของผิวที่ไม่เหมือนกันบางคนก็ผิวมัน บางคนก็ผิวแห้ง ซึ่งการใช้สกินแคร์ก็ส่งผลต่อการระคายเคืองของผิวด้วยเช่นกัน ซึ่งสิ่งสำคัญก็คือการเลือกผลิตภัณฑ์ในการบำรุงผิวหน้า ผิวกาย รวมทั้งครีมบำรุงต่าง ๆ ก็จะต้องเลือกให้เหมาะกับผิว ซึ่งจะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 


สกินแคร์ กับ ประเภทของผิว

สกินแคร์มีอะไรบ้าง

การรู้ตัวเองว่ามีสภาพผิวแบบไหน เป็นเรื่องที่ดี เพราะว่าคุณจะสามารถใช้งานผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสมได้โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องการแพ้ หรือ ระคายเคือง แต่การสำรวจตัวเองนั้นไม่ยาก สำหรับการตรวจสอบผิวก็ดูได้จากความสมบูรณ์ของผิว ถ้าดูแห้งกร้าน ก็คือ ผิวแห้ง ถ้าผิวมัน มักจะมีน้ำมันหล่อเลี้ยงอยู่ที่บริเวณหน้าตลอดเวลา โดยการดูแลผิวจะแบ่งตามประเภทของผิว ดังนี้ 

  • ผิวธรรมดา

ก่อนที่จะเลือกครีมบำรุงผิวสำหรับคนผิวธรรมดานั้น จะต้องรู้จักกับผิวตัวเองก่อนว่า มีผิวแบบไหน โดยผู้ที่ผิวแบบธรรมดา จะมีผิวที่มีน้ำมันบนใบหน้าในแบบพอดี ไม่มันจนเกินไป อีกทั้งผิวก็ยังมีความแข็งแรง สุขภาพดี ดูเปล่ง ไม่ค่อยมีริ้วรอย โดยรูปแบบผิวนี้จะมีข้อดีก็คือ ไม่ค่อยมองเห็นรูขุมขน ทำให้ไม่มีปัญหาผิวเรื่องสิว หรือ ฝ้า รบกวน แต่ข้อเสียก็คือ จะต้องดูแลผิวไม่ให้ขาดความชุ่มชื้นตลอดเวลา รักษาความสมดุลให้พอเหมาะ ไม่เช่นนั้นผิวก็จะเสียได้เช่นกัน 

การดูแลรักษาของผิวธรรมดา จะใช้ครีมบำรุงผิวที่ไม่เข้มข้น หรือ เบาบางจนเกินไป ใช้ครีมกันแดดทุกวัน สครับผิวอาทิตย์ละ 1 ครั้ง เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว พร้อมยังคงความอ่อนเยาว์ต่อไป 

  • ผิวแห้ง

ลักษณะของคนผิวแห้ง จะเกิดภาวะการผลิตน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวได้น้อย เวลาที่ล้างหน้า จะรู้สึกว่าหน้าแห้งตึง หน้าเป็นขุย มีริ้วรอยบาง ๆ ที่มองเห็นได้ นี่แหละคือคนผิวแห้ง ถึงแม้ว่าจะมีข้อดีเรื่องไม่มีปัญหารูขุมขน แต่ข้อเสียนั้นมีเพียบ ไม่ว่าจะเป็น ริ้วรอยที่มาเร็ว เมื่อมีสิวก็จะรักษายากกว่าคนผิวมัน เมื่อผิวแห้ง ก็จะยิ่งแดง ลอก แห้ง ระคายเคืองง่าย 

สำหรับการดูแลผิว ในผู้ที่มีผิวแห้งนั้น จะต้องใช้เนื้อครีมที่เข้มข้น ให้ความชุ่มชื้น พร้อมทั้งเติมความชุ่มชื้นในระหว่างวัน ใช้สเปรย์น้ำแร่เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นก่อนแต่งหน้า ใช้ครีมกันแดดที่ผสมมอยส์เจอไรเซอร์ ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ไม่มีฟอง ส่วนอาหารเสริมก็ให้เลือกทานน้ำมันปลาจะดีมาก เพราะจะทำให้ผิวดูแข็งแรงขึ้น พร้อมช่วยลดการอักเสบ หรือผื่นแพ้ได้ 

  • ผิวมัน 

สำหรับคนผิวมัน จะเกิดจากภาวะที่มีน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวมากเกินไป เวลาที่ล้างหน้าภายใน 2 ชั่วโมงไปแล้ว ผิวก็จะเริ่มมันในส่วนของ ทีโซน แก้ม จมูก คิ้ว รูขุมขนกว้าง สิวเสี้ยนเกิดง่าย พร้อมกับสิวหัวดำบริเวณจมูกด้วย สำหรับข้อดีของผู้ที่มีผิวมันก็คือ เกิดริ้วรอยได้ยากกว่าคนผิวแห้ง ระคายเคืองยาก แต่ข้อเสียก็คือ จะเกิดสิวอักเสบได้ง่าย พร้อมกับเกิดสิวอุดตันก็เกิดได้ง่ายเช่นกัน 

สำหรับผิวมันให้ใช้โทนเนอร์ควบคุมความมัน ในรูปแบบที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว รวมทั้งใช้แบบลดความมัน จะช่วยให้ละลายไขมันที่อุดตันในรูขุมขน หลีกเลี่ยงส่วนผสมที่เกี่ยวกับน้ำมัน โดยในช่วงหน้าร้อนจะต้องดูแลเป็นพิเศษ เพราะว่าช่วงนี้จะผลิตน้ำมันที่มากเกินไป เกิดสิวอุดตันง่าย พร้อมทั้งสิวอักเสบด้วย ดังนั้นการเลือกสกินแคร์จะต้องระวังเป็นพิเศษ ควรใช้ครีมบำรุงที่เนื้อบางเบา หรือผลิตภัณฑ์แบบสูตรน้ำแทนจะดีต่อผิวมากกว่าแบบอื่น

  • ผิวผสม

สำหรับผิวแบบผสมก็คือ การเกิดภาวะที่ผิวทั้งแห้ง ทั้งมัน ซึ่งอาจจะเกิดเป็นคนละจุดกัน โดยส่วนของผิวมันจะเกิดสิวง่าย ส่วนผิวแห้งก็จะลอกเป็นขุยได้ ซึ่งผิวลักษณะนี้จะมีข้อดีก็คือ เกิดริ้วรอยยากในจุดที่มัน แล้วก็จะไม่มีปัญหาเรื่องรูขุมขนกว้างในจุดที่ผิวแห้งด้วยนั่นเอง ส่วนที่เป็นข้อด้อยของผิวประเภทนี้ก็คือ การดูแลที่จะยากกว่ารูปแบบทั่วไป เพราะว่าแห้งกับมันเป็นส่วน ซึ่งการเลือกครีมอาจจะต้องปรับไปตามสภาพผิวของแต่ละจุดนั่นเอง

สำหรับการดูแล “ผิวผสม” จะใช้ครีมสองสูตร นั่นก็คือ จะต้องใช้คลีนเซอร์ทำความสะอาด  ซึ่งจะใช้ได้ทั้งผิวแห้ง รวมทั้งผิวมันด้วย โดยพยายามควบคุมความมันด้วการใช้โทนเนอร์เช็ดที่บริเวณผิว 

  • ผิวแพ้ง่าย

ผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย ค่อนข้างตรงตัว เพราะว่าผิวจะมีความสามารถในการปกป้องผิวลดลง ผิวจะอักเสบได้ง่าย ผิวอ่อนแอลง สุขภาพผิวไม่แข็งแรง ซึ่งจะใช้ครีมชนิดใด หรือสกินแคร์แบบไหน ก็จะต้องศึกษา เพราะว่าอาจจะแพ้น้ำหอม หรือสารสกัดภายในสกินแคร์นั้นด้วย 

การดูแลผิวแพ้ง่ายนั้นเหมือนจะยาก แต่ถ้าหากว่าคุณเองใช้ผลิตภัณฑ์ที่สามารถเคลือบผิวเอาไว้ โดยจะทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันให้กับผิว โดยคุณเองจะต้องหลีกเลี่ยงน้ำหอม แอลกอฮอล์ เพราะนี่คือสารที่จะทำให้ผิวของคุณเกิดความระคายเคือง โดยสกินแคร์ที่จะต้องใช้ จะต้องเลือกแบรนด์ที่อ่อนโยนต่อผิวอย่างมาก ดังนั้น มาเรียนรู้ ขั้นตอนการดูแลผิวหน้า เพื่อสุขภาพผิวที่ดีกัน


สกินแคร์มีอะไรบ้าง

สกินแคร์มีอะไรบ้าง

เห็นแบบนี้แล้วตัวของ “สกินแคร์” มีหลากหลายประเภท รวมทั้งคุณสมบัติที่แตกต่างกันด้วยเช่นกัน ถ้าหากว่าอธิบายเบื้องต้นคงจะยังไม่หมด ดังนั้น เราจึงได้รวบรวมประเภทของสกินแคร์ อีกทั้งประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ดูแลผิวในแบบต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยมีคำตอบให้กับคนที่กำลังเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1. Skin Cleansing Products สำหรับทำความสะอาด

สำหรับสกินแคร์ประเภทนี้จะมีหน้าที่หลักก็คือ ทำความสะอาด ชำระสิ่งสกปรกออกไปจากผิวกาย ไม่ว่าจะเป็น เหงื่อ ขี้ไคล ความมันบนใบหน้า ผิวกาย รวมทั้งฝุ่น และมลพิษต่าง ๆ ที่ได้รับมา ที่สำคัญเครื่องสำอางที่คุณผู้หญิงได้ใช้งานบนใบหน้า จะถูกสกินแคร์ประเภททำความสะอาด ชำระล้างไปจนหมด โดยรูปแบบก็มีหลากหลายไม่ว่าจะเป็นแบบเช็ดออกด้วยน้ำ หรือล้างออกด้วยน้ำ โดยจะมีตัวอย่างผลิตภัณฑ์สกินแคร์ประเภทนี้ที่พบได้ทั่วไปเลยก็คือ สบู่ก้อน สบู่เหลว เจลล้างหน้า เจลอาบน้ำ โฟมล้างหน้า รวมไปถึงโทนเนอร์ที่ใช้เช็ดทำความสะอาด เป็นต้น

2. Skin Whitening/Brightening Products ช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใส

แน่นอนเลยว่ามีสำหรับทำความสะอาดแล้ว ก็จะต้องมีสกินแคร์ที่ช่วยบำรุงผิวให้กระจ่างใส โดยเราจะเรียกผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ว่า “ไวท์เทนนิ่ง” นั่นเอง โดยจะมีคุณสมบัติที่จะช่วยให้ผิวดูกระจ่างใส ซึ่งจะเป็นประเภทที่คุณผู้หญิงที่รักในความงามรู้จักกันเป็นอย่างดี โดยหน้าที่หลักจะช่วยปรับสภาพผิวให้ดูขาวขึ้น กระจ่างใสขึ้น ซึ่งในปัจจุบันได้มีเครื่องสำอางหลายชนิด เพิ่มสารประเภทนี้เข้าไปทำให้ใช้แล้วดูผิวกระจ่างใสขึ้น โดยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้จะใส่สารที่มีกลไกการออกฤทธิ์ทำให้สีผิวจางลง โดยจะมี 2 แบบ ได้แก่ Tyrosinase กับ Peroxidase 

โดยในรายแรกอย่าง Tyrosinase จะหมายถึงรูปแบบการยับยั้งเอนไซม์  ซึ่งการยับยั้งเอนไซม์ตัวนี้จะทำให้ไม่ไปเกินกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานิน ผิวจะดูกระจ่างใสขึ้น

ส่วนอีกหนึ่งรูปแบบอย่าง Peroxidase  จะหมายถึงการยับยั้งเอนไซม์อื่น ๆ ที่สามารถพบได้ในเซลล์มนุษย์  

3. Moisturizing Products ผลิตภัณฑ์เพิ่มความชุ่มชื้น

นอกจากการทำความสะอาดผิว แล้วยังช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใส ผลิตภัณฑ์เพิ่มความชุ่มชื้นก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้ผิวดูขาวใส สวยเปล่งประกายเป็นธรรมชาติ ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะเรียกกันติดปากว่า moisturizer หรือมอยส์เจอไรเซอร์ นั่นเอง ซึ่งเป็นไอเทมที่สาว ๆ ขาดไม่ได้ เพราะว่าจะต้องบำรุงทุกวัน ด้วยคุณสมบัติที่จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับสาว ๆ ด้วย 

4. Anti-aging Products ผลิตภัณฑ์ชะลอวัย

สารต้านอนุมูลอิสระ เป็นอีกหนึ่งส่วนเสริมที่ช่วยลดริ้วรอย ซึ่งแน่นอนว่านี่คือสิ่งที่สาว ๆ ต้องการกับความหน้าเด็ก หน้าใส ดังนั้นผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจนี้ จึงเหมาะสำหรับคุณผู้หญิงที่อยากจะทำสักครั้งในชีวิต แล้วคุณเองก็จะเปลี่ยนไป สำหรับจุดเด่นของ Anti-aging Products นั้น จะสามารถผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป แต่แค่ไปสร้างผิวใหม่ ให้ดีกว่าเดิมด้วยนั่นเอง นี่แหละคือผลิตภัณฑ์ที่แก้ปัญหาในเรื่องของการช่วยฟื้นฟูผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

5. Antiperspirants & Deodorants Products ผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อและระงับกลิ่นกาย

เห็นแบบนี้ ผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อและระงับกลิ่นกาย จัดเป็นสกินแคร์อย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน เพราะว่าจะช่วยชำระล้างเรื่องกลิ่นกาย พร้อมกับส่งผลให้ผิวไม่เสียด้วย โดยจะมีจุดเด่นที่ให้คนทุกเพศทุกวัยได้พูดถึง กับสกินแคร์ที่จะเพิ่มความมั่นใจให้กับทุกคน มั่นใจว่าวันเหงื่อออกมาเยอะ แต่กลิ่นตัวก็ยังคงหอมแบบมั่นใจอยู่ 

6. Acne Product ผลิตภัณฑ์สิว

สกินแคร์ที่จะเน้นไปทางการรักษามากกว่าการบำรุง เพราะว่าผู้ที่มีปัญหาสิวนั้น จะต้องใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิว หรือว่าผู้ที่เป็นสิวประจำก็อาจจะต้องใช้สกินแคร์ในกลุ่มนี้ ส่วนประเภทของสิวนั้นก็มีหลากหลายรูปแบบ หลายชนิด ส่วนใหญ่แล้วจะขึ้นอยู่กับผิวหน้าด้วย แต่เมื่อไหร่ที่เป็นสิวก็จะต้องดูแลเป็นพิเศษ การใช้ครีม หรือสกินแคร์ที่บำรุงผิว ก็จะต้องคิดให้ดีก่อนใช้ เพราะอาจจะแพ้ระคายเคือง เกิดสิวเห่อหนักกว่าปกติได้ วิธีจัดการกับสิวฮอร์โมน

7. Sunscreen Products ผลิตภัณฑ์กันแดด

สำหรับครีมกันแดด คือพระเอกในเรื่องของการปกป้องผิวแบบ 90% โดยภายในครีมกันแดดจะประกอบไปด้วย เป็นส่วนประกอบของ Inorganic Sunscreens ที่เป็นกลุ่มที่ทำหน้าที่สะท้องแสงกลับไป หรือดูดแสงเอาไว้แล้วปล่อยออกมา ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งก็คือ Organic Sunscreens เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่จะทำหน้าที่ดูดซับ หรือดูดซึมแสงเอาไว้ แน่นอนเลยว่ายังไงก็แล้วแต่ครีมกันแดด ยังคงมาเป็นอันดับ 1 ในเรื่องของสกินแคร์ที่ปกป้องผิวเป็นด่านแรก ส่วนประเภทอื่น ๆ ก็จะมีความสำคัญเช่นเดียวกัน 


ส่วนผสมที่มักจะอยู่ในสกินแคร์

สกิลแคร์ จะมีส่วนผสมที่ทั้งปลอดภัย รวมทั้งส่วนผสมที่หลาย ๆ คนอาจจะแพ้สารดังกล่าวได้ แน่นอนว่าในช่วงสุดท้ายของบทความนี้ พวกเราจะขอแนะนำกับ ส่วนผสมที่อยู่ในตัวของสกินแคร์ พร้อมกับข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการเลือกใช้ การตรวจสอบสารเคมีในเครื่องสำอาง เป็นต้น ซึ่งนี่คืออีกหนึ่งความรู้ที่คุณเองจะต้องทำความเข้าใจก่อนจะใช้สกินแคร์อย่างจริงจัง โดยมีเรื่องที่คุณเองจะต้องรู้ดังต่อไปนี้

ส่วนผสมที่เสี่ยงแก่การแพ้

ข้อสำคัญสำหรับการเลือกซื้อสกินแคร์ ใครที่ผิวแพ้ง่ายก็จะต้องหลีกเลี่ยงสารอันตรายดังต่อไปนี้ 

  • สารกลุ่มซัลเฟต 
  • สารกันเสีย จะทำให้ผิวของเราระคายเคืองได้
  • น้ำหอม จะทำให้ผิวของเราระคายเคืองได้ 
  • สีสังเคราะห์ 
  • ฟอร์มาลดีไฮด์ 
  • สารปรอท 
  • แอลกอฮอล์ จะทำให้ผิวของเราระคายเคืองได้

ถึงแม้ว่าสารเหล่านี้จะมีส่วนผสมอยู่ในจำนวนที่ไม่มากนัก แต่ทว่าสามารถทำให้เกิดอันตรายต่อตัวเองได้ แต่จะต้องระวังเป็นอย่างมาก เพราะเป็นส่วนผสมที่อาจจะทำให้คุณแพ้ง่ายเช่นกัน 

ส่วนผสมที่สำคัญ

สำหรับสกินแคร์ โดยทั่วไปแล้วจะต้องเรียนรู้ส่วนผสมต่าง ๆ ด้วย ตัวอย่างเช่น ครีมที่ใช้ลดเลือนริ้วรอย จะพบเจอกับสาร Retinol จะช่วยลดเลือดริ้วรอยต่าง ๆ โดยส่วนใหญ่แล้วสร้างจากวิตามินเอ ใน่ส่วนของครีมที่เพิ่มความกระจ่างใส ก็จะมี L-Ascorbic Acid  ส่วนผสมที่สกัดมาจากวิตามินซีมีหลายอย่าง  หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า เรตินอล คืออะไร ?  ลองอ่านบทความนี้ดูก่อน

สกินแคร์ประเภทครีมกันแดด ก็จะมีค่า SPF และ PA  ที่สามารถปกป้องผิวจากแสงแดดได้ ซึ่งจะแนะนำค่า SPF ที่ปกป้องผิวเราจากแสง UVB ค่า SPF ที่แนะนำก็คือ 30 ขึ้นไป 


จะเห็นได้เลยว่า สกินแคร์มีอะไรบ้าง ซึ่ง “สกินแคร์” เป็นเหมือนอีกหนึ่งเรื่องที่เล็ก ๆ แต่เมื่อได้ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ จะทำให้คุณกลับมารักสุขภาพผิวมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะเป็นจุดที่ดูแลง่ายก็ตาม แต่ทว่าความบอบบาง รวมทั้งการระคายเคืองที่อาจจะทำให้ผิวของคุณเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงเช่นกัน สำหรับทั้งหมดนี่ก็คือเรื่องราวของ ความหมายของ “สกินแคร์” ที่พวกเราได้รวบรวมมาให้อ่านกันหลายประเภท ซึ่งแต่ละแบบก็ตอบโจทย์สำหรับคนรักสุขภาพทั้งหมด สำหรับในช่วงนี้ทั้งอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย โรคระบาด COVID-19 ยังคงมีผู้ติดเชื้อเรื่อย ๆเช่นเดิม และทั้งหมดนี่ก็คือ เรื่องราวของสกินแคร์ที่พวกเราได้รวบรวมมาพวกเราหวังว่าจะเป็นข้อมูลดี ๆ ให้กับผู้ที่อยากจะหันมาดูแลสุขภาพกันด้วย


อ้างอิง

skin

ผิวขาดความชุ่มชื้น แห้งกร้าน? ให้มองหาสกินแคร์ที่มีส่วนผสมเหล่านี้

July 8, 2021
ผิวขาดความชุ่มชื้น แห้งกร้าน? ให้มองหาสกินแคร์ที่มีส่วนผสมเหล่านี้

ผิวขาดความชุ่มชื้น มักจะดูแห้งขึ้น หยาบและไม่มีความสดชื่น ดังนั้นการดูแลและบำรุงผิวหน้าเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งลักษณะของ ผิวที่สูญเสียความชุ่มชื้น เป็นภาวะผิวขาดความชุ่มชื้น หรือขาดน้ำไปหล่อเลี้ยงเซลล์ผิวใต้ชั้นผิวหนังจึงทำให้ผิวแห้งกร้านไม่เรียบเนียน สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกสภาพผิว สังเกตเห็นได้ชัดในคนที่มีผิวผสม ผิวมัน หรือ เวลาที่ผิวต้องเจอกับสภาพอากาศที่เย็นจัดหรือร้อนจัด แม้ว่าร่างกายจะผลิตไขมันออกมาจากรูขุมขนตามปกติ แต่ผิวก็ยังคงจะมีอาการแห้ง ลอก เป็นขุย ในบางคนมีอาการคันร่วมด้วยคล้ายกับลักษณะของคนผิวแห้ง ซึ่งสามารถดูแลและบำรุงผิวให้กลับมามีสุขภาพดีได้ด้วยการเติมน้ำ และความชุ่มชื้นในชั้นผิวอย่างล้ำลึกด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์


เลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์ให้เหมาะกับผิว

ลักษณะ ผิวขาดความชุ่มชื้น

เมื่อ ผิวขาดความชุ่มชื้น การเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวหน้าถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ผิวกลับมามีสุขภาพดี ในส่วนของการเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ให้เหมาะสมกับสภาพผิวนั้น ขอแยกตามประเภทของผิวหน้าไว้ดังนี้

  • ผิวธรรมดา (Normal Skin)
  • ผิวมัน (Oily Skin)
  • ผิวแห้ง (Dry Skin)
  • ผิวผสม (Combination Skin)

ผิวธรรมดา (Normal Skin): ลักษณะผิวที่มีความสมดุล ไม่แห้งตึงหรือมันจนเกินไป มีรูขุมขนขนาดเล็ก สามารถใช้มอยส์เจอไรเซอร์แบบน้ำ (Water-based moisturizer) อาจอยู่ในรูปแบบโลชั่น เพราะช่วยให้แห้งเร็ว เบาสบายผิว ไม่รู้สึกเหนียวเหนอะหนะ หากใครที่ต้องการความชุ่มชื้นมาก ๆ สามารถเลือกใช้เป็นแบบน้ำมัน (Oil-based moisturizer) แต่เวลาที่ใช้อาจปรับตามสภาพอากาศ เช่น ถ้าอยู่ในประเทศที่มีอากาศเย็นหรือหนาว สามารถใช้ได้ทั้ง 2 เวลา เช้าและเย็น แต่หากอยู่ในประเทศที่อากาศร้อน เพื่อไม่ให้เกิดความเหนียวเหนอะหนะระหว่างวัน แนะนำให้ทาช่วงก่อนนอนจะดีที่สุด

ผิวมัน (Oily Skin): ลักษณะผิวจะมันวาว รูขุมขนกว้าง มีสิวอุดตันง่าย เนื่องจากมีการผลิตน้ำมันส่วนเกินออกมามากกว่าปกติ แม้ว่าผิวจะมันแต่มอยเจอร์ไรเซอร์ก็ยังจำเป็นต่อผู้ที่มีผิวประเภทนี้เช่นกัน แนะนำให้ใช้จะเป็นแบบฐานน้ำ (Water-based moisturizer) ที่อาจอยู่ในรูปแบบโลชั่นเหลว ซึ่งเมื่อเทียบกับครีมโลชั่นจะมีน้ำเป็นองค์ประกอบหลัก ข้อดีคือช่วยลดอัตราการเกิดสิวใหม่บนใบหน้า อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีผิวหน้ามันควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบเป็นสารที่เป็นน้ำมัน เช่น น้ำมันมะพร้าว โกโก้บัตเตอร์ (Cacao butter) หรือ ปิโตรเลียมเจลลี่ (Petroleum jelly) หากคุณกำลังประสบปัญหานี้ อาจสนใจ วิธีทำให้รูขุมขนกว้างกระชับขึ้น

ผิวแห้ง (Dry Skin): ลักษณะผิวจะค่อนข้างแห้ง ขาดน้ำ และขาดความกระจ่างใส เป็นผิวที่ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์เพื่อรักษาความชุ่มชื้นบนใบหน้าอย่างสม่ำเสมอ แนะนำว่าให้ใช้มอยส์เจอไรเซอร์แบบน้ำมัน (Oil-based moisturizer) น้ำมันจะทำการเคลือบผิวไม่ให้ความชื้นจากผิวระเหยออกไปได้ ในกรณีที่มีผิวแห้งมากเป็นพิเศษ อาจใช้ผลิตภัณฑ์เนื้อขี้ผึ้ง ซึ่งมีความสามารถในการคลือบผิว ทำให้ลดการระเหยของน้ำได้มากกว่าผลิตภัณฑ์ชนิดโลชั่นหรือครีม แต่ข้อจำกัดของผลิตภัณฑ์เนื้อขี้ผึ้งคือ จะก่อให้เกิดความมันบนผิว อาจทำให้ไม่สะดวกหากทาตอนกลางวัน จึงแนะนำให้ทาตอนก่อนนอน

ผิวผสม (Combination Skin): ลักษณะผิวจะแห้ง และมีความมันในเวลาเดียวกันแต่บางบริเวณ เช่น หน้าผาก จมูก คาง รูขุมขนช่วง T-Zone จะกว้างเป็นพิเศษ อาจเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีความหนืดเเละให้ความชุ่มชื้นปานกลาง เป็นเนื้อโลชั่นกึ่งครีม ด้วยความที่ผิวมีสภาพทั้งผิวแห้งและผิวมัน อาจต้องให้การดูแลที่แตกต่างกันในแต่ละจุด หรือ เลือกใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละส่วน เช่น ส่วนที่แห้ง ใช้มอยส์เจอไรเซอร์สำหรับคนผิวแห้ง และส่วนที่มัน ให้ใช้มอยส์เจอไรเซอร์สำหรับคนผิวมัน ขอแนะนำ สูตรมาร์กหน้าเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว


ล็อกความชุ่มชื้นให้ผิวด้วยส่วนผสมเหล่านี้

เลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ให้เหมาะกับผิว

การดูแลผิวหน้าที่ขาดความชุ่มชื้นเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ผิวหน้าดูสดใสและไม่แห้งขึ้น ดังนั้น มีวิธีการดูแลผิวหน้าที่ขาดความชุ่มชื้นด้วยการเลือกสกินแคร์ที่มีส่วนผสมเหล่านี้ ได้แก่

  • Humectant – สารดูดความชื้น

เป็นสารดึงน้ำหรือสารที่ดูดความชุ่มชื้นจากชั้นหนังแท้มาสู่ชั้นหนังกำพร้า อธิบายง่าย ๆ ถ้าอากาศมีความชื้นมากพอจะดึงน้ำจากอากาศเข้าสู่ผิวได้ สารที่พบบ่อย เช่น Sodium hyaluronate, Collagen, Glycerin, Sorbitol, Propylene Glycerol, Urea, Hyaluronic Acid ฯลฯ แต่ถ้าอยู่ในสภาวะที่มีอากาศหนาวจนแห้ง อาจทำให้เกิดการดึงน้ำเข้าสู่ผิวได้น้อยลง ใครที่ผิวขาดความชุ่มชื้น ควรมองหาตัวช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นอย่างอื่นทดแทนด้วย

  • Occlusives – สารกักเก็บน้ำในผิว

สารที่ลดการระเหยของน้ำออก​จากผิว ช่วยให้ผิวไม่ขาดน้ำ ทำหน้าที่เคลือบผิวกันน้ำระเหยออกจากผิวปิดกั้นไม่ให้น้ำซึมผ่าน ผิวชั้นบนสุดจึงได้ความชุ่มชื้นจากชั้นหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้ มักจะมาในรูปแบบของออยล์หรือบาล์ม เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีผิวแห้งมาก ซึ่งสารที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด คือ Petrolatum สามารถลดการระเหยของน้ำออกจากผิวได้ถึง 99% แต่ก็มีข้อเสีย คือ ทำให้รู้สึกหนักหน้าเมื่อทาครีม หากผิวของคุณลอกเป็นขุย แนะนำ 7 วิธีในการดูแลผิวให้ชุ่มชื้นขึ้น

  • Emollient – สารทำให้ผิวเนียนนุ่ม

เป็นสารที่ช่วยปลอบประโลมผิวให้ดูเรียบเนียน ทำให้ผิวที่แห้ง หยาบกร้าน เป็นขุย นั้นอ่อนนุ่มขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าประสิทธิภาพไม่ดีเท่าสารกลุ่มอื่น เพราะบางครั้งอาจมีการผสมของพาราฟิน ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ได้จากกระบวนการกลั่นน้ำมันดิบ เป็นสารที่ช่วยให้ไฟติดได้และถ้าสะสมในผิวมาก ๆ จะเกิดการระคายเคืองได้ ฉะนั้น ผิวแพ้ง่ายและบอบบางควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ สารที่ใช้บ่อย ได้แก่ Cyclomethicone, Dimethicone Copolyol, Glyceryl Sterates ฯลฯ

การเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสมกับสภาพผิวของตนเองจะช่วยบำรุงผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึง การดื่มน้ำให้เพียงพอจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า การใช้ผลิตภัณฑ์สารสกัดจากธรรมชาติ หรือการออกกำลังกายก็ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลืองในร่างกาย ทำให้เกิดการเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้าได้เช่นกัน ที่สำคัญอย่าลืมหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และสารเคมีต่าง ๆ ซึ่งอาจทำให้ผิวหน้าขาดความชุ่มชื้นและมีอาการแห้งได้


อ้างอิง

skin care

เรตินอล ส่วนผสมปราบเซียนในสกินแคร์ ที่สำคัญกับสาวอายุ 20+

July 8, 2021
เรตินอล ส่วนผสมปราบเซียนในสกินแคร์

เรตินอลเป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินเอที่ใช้กันทั่วไปในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเพื่อช่วยปรับปรุงลักษณะของริ้วรอย รอยย่น และสัญญาณอื่น ๆ ของวัย เรตินอลทำงานโดยการเพิ่มการหมุนเวียนของเซลล์ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและปรับปรุงเนื้อผิว ทั้งยังช่วยปรับปรุงลักษณะที่ปรากฏของจุดด่างดำ รอยดำ และสิว โดยเพิ่มการผลัดเซลล์และลดการอักเสบ เรียกได้ว่าเป็น ส่วนผสมปราบเซียนในสกินแคร์หลาย ๆ ตัวเลยทีเดียว และวันนี้จะพาทุกคนมาทำความรู้กับ เรตินอล กันให้มากขึ้น

เรตินอล คืออะไร

เรตินอล คือ รูปแบบหนึ่งของวิตามินเอที่เป็นสารในกลุ่มเรตินอยด์ แล้วเรตินอยด์ก็เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเออีกที ปัจจุบันถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมในสกินแคร์และผลิตภัณฑ์ปรนนิบัติผิว ประเภท Anti-Aging อย่างแพร่หลาย เพื่อส่งเสริมการผลัดผิวใหม่และเสริมสร้างการผลิตคอลลาเจน (ที่จะเริ่มลดลงในวัย 30 ปี) จึงไม่แปลกที่ส่วนผสมดังกล่าวจะกลายเป็นส่วนผสมสุดฮิตในสกินแคร์หลายตัว หากคุณมีความกังวลเกี่ยวกับการดูแลผิวอย่าง ริ้วรอย รอยเหี่ยวย่น ขนาดรูขุมขน และสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ คุณอาจต้องปรับการใช้เรตินอลให้เป็นสกินแคร์รูทีนแล้วตั้งแต่ตอนนี้! แนะนำ เลือกสกินแคร์ใช้อย่างไรให้เหมาะกับสภาพผิว

การทำงานของเรตินอลทำได้หลายระดับ สามารถออกฤทธิ์ชั้นใต้ผิวหนังในระดับเซลล์ ส่งเสริมการหมุนเวียนของเซลล์โดยเพิ่มอัตราการผลัดเซลล์ผิวใหม่ ซึ่งมีผลต่อการสร้างเซลล์ที่ผิดปกติให้กลับไปสู่สภาพปกติ ต่อสู้กับสัญญาณแห่งวัย ช่วยลดและป้องกันการเกิดริ้วรอย เรตินอลไม่ได้เด่นแค่เรื่องของริ้วรอย แต่ยังเด่นในเรื่องรักษาสิว ซึ่งจะช่วยปรับผิวให้ดูเรียบเนียน รูขุมขนดูกระชับ ส่วนหนึ่งเกิดจากไม่มีคอมีโดนอุดอยู่ข้างใน รูขุมขนที่สะอาดจะแลดูเล็กลง ลดการสร้างน้ำมันบนใบหน้า ลดการอักเสบของสิว และลดการเจริญเติบโตของเชื้อ P.acne นอกจากนี้การหมุนเวียนของเซลล์ยังช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอด้วย


ควรเริ่มใช้เรตินอลเมื่ออายุเท่าไหร่

"</p

“อายุ 20 ปลาย ๆ – 30 ต้น ๆ เป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะเริ่มใช้เรตินอล” แม้ว่าจะไม่มีเวลากำหนดที่จะใช้เรตินอล แต่อายุ 30 มักเป็นช่วงที่คอลลาเจนจะเริ่มลดน้อยลงตามอายุที่มากขึ้น เมื่อขาดคอลลาเจนผิวจะดูมีริ้วรอยและไม่สดใสเหมือนเดิม แพทย์ผิวหนังส่วนใหญ่จึงแนะนำให้ใช้ส่วนผสมดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนการดูแลผิวช่วงอายุ 20 กลาง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีปัญหาเรื่องสิวหรือผิวคล้ำเสีย

ทั้งนี้ เรตินอลถูกอนุญาตให้ใช้ในเครื่องสำอางได้ตามกฎ FDA ทั่วโลก ส่วนอนุพันธุ์ Retinoic Acid หรือ ที่รู้จักในชื่อการค้าว่า Retin-A ยาทารักษาสิว ที่มีส่วนผสมของกรดวิตามินเอ ซึ่งมีสถานะเป็นยาไม่ใช่เครื่องสำอาง หากจะใช้ต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเท่านั้น เพราะความเป็นยาซึ่งต้องควบคุมและมีความเข้มข้นค่อนข้างสูงอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้


ประโยชน์ของเรตินอล

เรตินอลเป็นวิตามินเอรูปแบบหนึ่งที่ขึ้นชื่อในด้านประโยชน์ในการต่อต้านริ้วรอย จึงมีประโยชน์ต่อผิวหลายประการ ได้แก่

1. ช่วยลดการเกิดรอยเหี่ยวย่น : เรตินอลสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งสามารถช่วยลดริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่นบนผิวหนังได้ หรือคุณอาจสนใจ วิธีทำให้ผิวหน้าดูกระชับขึ้น

2. ช่วยปรับปรุงเซลล์ผิว : โดยช่วยเพิ่มการหมุนเวียนของเซลล์ เรตินอลสามารถช่วยปรับปรุงผิวและส่งเสริมให้ผิวเรียบเนียนและสม่ำเสมอยิ่งขึ้น

3. ลดการปรากฏของจุดด่างดำและรอยดำ : เรตินอลสามารถช่วยลดการผลิตเมลานิน ซึ่งจะนำไปสู่การลดลงของจุดด่างดำและรอยดำต่าง ๆ

4. ป้องกันการเกิดสิว : เรตินอลสามารถช่วยลดการอักเสบและเปิดรูขุมขน ทำให้เป็นส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพในการรักษาสิว หากคุณกำลังประสบปัญหาสิวลอง 9 วิธีป้องกันการเกิดสิว

5. เพิ่มความชุ่มชื้นของผิว : เรตินอลสามารถช่วยปรับปรุงความสามารถของผิวในการกักเก็บความชุ่มชื้น ซึ่งสามารถช่วยปรับปรุงความชุ่มชื้นของผิวและลดความแห้งกร้านและผิวลอกเป็นขุยได้

สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าเรตินอลสามารถระคายเคืองต่อผิวหนังได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย แนะนำให้เริ่มด้วยเรตินอลที่มีความเข้มข้นต่ำและค่อย ๆ เพิ่มความเข้มข้นเมื่อผิวมีความแข็งแรงมากขึ้น แนะนำให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์เรตินอลในตอนกลางคืนและต้องทาครีมกันแดดเสมอในระหว่างวัน เนื่องจากเรตินอลสามารถทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น

คำแนะนำสำหรับวิธีการใช้

  • ควรจะเริ่มใช้จากที่มีความเข้มข้นจากน้อยไปมาก ผลงานวิจัยที่ได้ถูกตีพิมพ์บ่งชี้ว่าเรตินอล ที่มีความเข้มข้นต่ำเพียง แค่ 0.01% ก็มีประสิทธิภาพมากพอที่จะช่วยลดปัญหาริ้วรอยแห่งวัยต่าง ๆ ได้ เพียงใช้เป็นประจำและสม่ำเสมอ
  • ความเชื่อที่ว่า ห้ามใช้ Retinol + AHA/BHA ร่วมกัน ไม่เป็นความจริง เพราะสารสองตัวทำงานต่างกัน เรตินอลจะกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเพื่อสร้างเซลล์ผิวใหม่ ในส่วนของกรด AHA และ BHA ขจัดเซลล์ผิวชั้นบนสุดเพื่อเผยเซลล์ผิวใหม่ที่อยู่ข้างล่าง สารสองตัวสามารถทำงานร่วมกันได้ เพื่อเผยให้เห็นสีผิวที่สม่ำเสมอและสุขภาพผิวที่ดียิ่งขึ้น
  • สามารถใช้ได้ทั้ง 2 เวลา ทั้งกลางวันและกลางคืน แต่มักถูกแนะนำให้ใช้ในเวลากลางคืนมากกว่ากลางวัน เพราะเข้าใจว่าผิวจะไวต่อแสงมากกว่า ซึ่งความเป็นจริงแล้วไม่ว่าจะใช้ในช่วงเวลาใดก็ทำให้ผิวไวต่อแสงได้ทั้งนั้น ที่สำคัญอยู่ที่การทาครีมกันแดด ที่มีค่า SFP ไม่ต่ำกว่า 30 ในปริมาณที่เพียงพอ เพื่อให้ผิวได้ประโยชน์สูงสุด หลังล้างหน้าและซับหน้าให้สะอาดแล้วให้ทาเรตินอล ตามด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์เป็นลำดับสุดท้ายในของขั้นตอนการดูแลผิว เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
  • ส่วนใหญ่นิยมใช้ในบริเวณผิวหน้า แต่หากคุณต้องการดูแลเพื่อแก้ปัญหาผิวส่วนอื่น ๆ ของร่างกายอย่าง บริเวณคอ หัวไหล่ อก หรือ บริเวณหลัง ก็สามารถทำได้เช่นกัน

เรตินอลก็มีผลข้างเคียง

คำแนะนำสำหรับวิธีการใช้

แม้ว่าเรตินอลจะมีคุณสมบัติที่ดีต่อผิวอย่างมากมายและตอบโจทย์ใครหลายคน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเหมาะกับทุกสภาพผิว หากคุณเป็นโรคทางผิวหนังบางชนิด เช่น โรคสะเก็ดเงิน หรือกลาก ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงการใช้สารดังกล่าว เนื่องจากยาเรตินอลจะออกฤทธิ์แรงเกินไปสำหรับผิว อาจเพิ่มการอักเสบ ความแห้งกร้าน และความไวในผิวที่บอบบางอยู่แล้ว รวมไปถึงคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ อยู่ในช่วงให้นมบุตร หรือผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย หากเป็นกรณีนี้ให้ปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มใช้จะดีที่สุด

โดยรวมแล้ว เรตินอลสามารถเป็นส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพในขั้นตอนการดูแลผิวที่รอบด้าน แต่สิ่งสำคัญคือต้องใช้ด้วยความระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลากผลิตภัณฑ์เสมอ


อ้างอิง