skin

ลดริ้วรอยใต้ตา ด้วยการเติมเต็มคอลลาเจนให้กับผิว

April 5, 2023
ลดริ้วรอยใต้ตา

ประโยชน์ของคอลลาเจนนั้นจะค่อนข้างโดดเด่นไปในเรื่องของการบำรุงผิว เมื่อรับประทานสารสกัดชนิดนี้เป็นประจำจะทำให้ผิวสุขภาพดี เพราะด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่เข้ามาทำหน้าที่ทำให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย แน่นอนเลยว่ามีการรีวิวหลังการรับประทานมีให้เห็นอยู่มากกมายว่าจากคนที่เคยผิวเสีย ผิวแห้ง ผิวคล้ำ เมื่อกินเข้าไปแล้วมีจะมีสุขภาพผิวที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ที่คอลลาเจนนั้นเป็นอาหารเสริมที่ถูกต้องตามกฎหมาย ได้รับมาตรฐานการผลิตอีกด้วย ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นนี้ทำให้ใครที่มีปัญหาเรื่อง “ริ้วรอยใต้ตา” ก็สามารถรักษาด้วยการเติมคอลลาเจนให้กับผิวนั่นเอง แน่นอนเลยว่าในบทความนี้พวกเรายังได้รวบรวมข้อมูลความรู้เกี่ยวกับเรื่องการเกิดขึ้นของรอยใต้ตา รวมไปถึงคุณสมบัติของคอลลาเจนที่จะเข้ามาช่วยดูแลในปัญหานี้ อีกทั้งการเลือกรับประทานคอลลาเจนที่จะส่งผลโดยตรงต่อการรักษาให้ตรงจุดอย่างการ ลดริ้วรอยใต้ตา นั่นเอง  สำหรับใครที่กำลังหนักใจกับเรื่องนี้ไม่ควรพลาด


ริ้วรอยใต้ตาเกิดจากอะไร?

ลดริ้วรอยใต้ตา

อีกหนึ่งปัญหาผิวที่สร้างความลำบากใจให้กับคุณผู้หญิงเป็นอย่างมากนั่นก็คือ เรื่อง “ริ้วรอยใต้ตา” ที่มักจะมาพร้อมกับสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณเองเข้าใกล้วัยที่คอลลาเจนผลิตน้อยลงไปแล้วนั่นเอง แน่นอนเลยว่าผลข้างเคียงอื่น ๆ ที่ตามมาเพิ่มไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องผิวแห้งกร้าน หรือ มีความหย่อนคล้อย พบร่องลึกบนใบหน้า สำหรับวันนี้พวกเราจึงได้รวบรวมสาเหตุในการเกิดริ้วรอยใต้ตามาพูดถึงกันกับ 4 สาเหตุสำคัญดังนี้ 


1.สูญเสียคอลลาเจน และ อิลาสติน 

สาเหตุแรกเลยที่ทำให้เกิดริ้วรอยใต้ตา นั่นก็คือ ร่างกายของคุณนั้นสูญเสียคอลลาเจนเป็นอย่างมาก รวมทั้ง อิลาสตินด้วย แน่นอนเลยว่าสาเหตุดังกล่าวจะทำให้ผิวบางลง ไม่ใช่เฉพาะส่วนใต้ตาเพียงเท่านั้น แต่ทั่วร่างกายที่เป็นผิวหนังก็จะอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ในส่วนสำคัญอย่างบริเวณหางตา กับ เปลือกตา จะมีริ้วรอย รวมทั้งรอยย่นให้ได้เห็นอย่างชัดเจน 

2.ปัจจัยเรื่องอายุ

อีกหนึ่งเหตุผลคือ อายุ เพราะเมื่อเราอายุมากขึ้น คอลลาเจนก็จะเสื่อมลง ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่เข้าสู่วัย 40 ปี ฮอร์โมนก็จะเปลี่ยนแปลง ทำให้กระดูกใต้ตาอาจจะมีการยุบตัวลง ผิวหย่อนคล้อย ทำให้เกิดเป็นริ้วรอยใต้ดวงตาได้

3.ผิวขาดความชุ่มชื้น

หลาย ๆ คนอาจจะมีผิวแห้ง ผิวลอกเป็นขุย  แต่ไม่ได้มีการผลิตคอลลาเจนน้อยลง หรือ ไม่ได้รับคอลลาเจนในปริมาณที่เพียงพอ แต่อาจจะเกิดจากพันธุกรรมของคนผิวแห้ง ซึ่งแน่นอนว่าบริเวณใต้ตานั้นจะมีไขมันน้อย ทำให้ผิวแห้ง เกิดรอยใต้ดวงตาง่ายกว่าจุดอื่น 

4.พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน 

ในแต่ละวันคุณเองดูแลตัวเองมากน้อยแค่ไหน พฤติกรรมของคุณอาจจะมีความเสี่ยงที่จะทำให้คอลลาเจนเสื่อมเร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด ซึ่งจะทำให้ฮอร์โมนทำงานผิดเวลา ผิดปกติ อีกทั้งใส่ส่วนของริ้วรอยใต้ดวงตา การขยี้ตาบ่อย ๆ ก็ทำให้เซลล์ผิวบริเวณนั้นเกิดการติดเชื้อ หรือ มีการเสื่อมของคอลลาเจนได้


สำหรับสาเหตุดังกล่าวนั้น ไม่ว่าจะอายุน้อย หรือ อายุมากก็สามารถเกิดริ้วรอยใต้ดวงตาได้ทั้งนั้น โดยจะขึ้นอยู่กับพฤติกรรมส่วนตัวในแต่ละวันด้วย แต่เมื่อเกิดริ้วรอยใต้ตาก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะว่ามีวิธีการรักษาได้หลายวิธี ทั้งแบบการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ หรือ การรักษาลดริ้วรอยด้วยตัวเอง


วิธีการรักษา ลดริ้วรอยใต้ตา 

ลดริ้วรอยใต้ตา

ถ้าหากจะพูดถึงวิธีการรักษาที่ได้ผลเร็ว ก็ขอแนะนำเลยกับวิธีทางการแพทย์ ซึ่งในปัจจุบันได้มีการพัฒนาไปไกลมาก โดยมีด้วยกันถึง 8 วิธี ซึ่งแน่นอนเลยว่ายังมีอีกหลายวิธีที่คุณยังไม่รู้ แต่สำหรับใครที่งบประมาณในการรักษาจำกัด หรือ อยากรักษาด้วยตัวเองพวกเราก็มีคำแนะนำมาฝากด้วยเช่นกัน โดยจะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้  


1.ฉีดฟิลเลอร์  

อีกหนึ่งวิธีทางการแพทย์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากนั่นก็คือ “การฉีดฟิลเลอร์” โดยในจุดที่ฉีดจะเป็นส่วนของใต้ตาสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องริ้วรอยใต้ตา โดยจะสามารถรักษาได้หลายอาการ ไม่ว่าจะเป็น รอยย่นใต้ตา ใต้ตาคล้ำ มีรอยพับใต้ตา หรือ เบ้าตาลึก โดยการรักษาด้วยการฉีดฟิลเลอร์ จะเป็นการเติมเต็มของชั้นกระดูกที่ยุบตัวลงไป จะช่วยให้ใต้ตาเต็มขึ้นอีกครั้ง รวมทั้งลดริ้วรอยแล้วยังทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์เป็นธรรมชาติอีกด้วย 

2.โบท็อก 

สำหรับใครที่มีรอยใต้ตาในเวลายิ้ม รวมทั้งปัญหาใต้ตาอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น รอยพับใต้ตา หรือ เบ้าตาลึก และที่สำคัญ มีริ้วรอยที่หางตา หรือ อาจจะมีการเกิดจากผิวหนังที่มีการขยับบ่อย ๆ โดยในจุดนี้วิธีทางการแพทย์จะใช้การฉีดโบท็อกในการแก้ปัญหา มีข้อดีคือเห็นผลได้เร็ว ราคาไม่แพง อีกทั้งยังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาเลยด้วยเพราะเห็นผลภายใน 5-7 วันเท่านั้น อีกทั้งยังคงสภาพอยู่ได้นานถึง 6 เดือน โดยจะขึ้นอยู่กับแบรนด์ของโบท็อกที่ใช้นั่นเอง 

3.คลื่นวิทยุ “Thermage” 

คลื่นวิทยุสามารถช่วยลดริ้วรอยใต้ตาได้ โดยวิธีทางการแพทย์อย่างการทำ “เทอร์มาจ” เป็นอีกหนึ่งวิธีทีได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน โดยการทำงานของ Thermage จะเป็นการส่งพลังงานความร้อน Monopolar RF หรือคลื่นวิทยุ ที่มีความถี่สูง ส่งลงไปยังชั้นผิวจนถึงชั้นไขมัน โดยจะทำให้คอลลาเจนเกิดการหดตัว กับ กระตุ้นสร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้นมา ซึ่งมีประโยชน์หลัก ๆ ก็คือ จะช่วยลดปัญหาผิวหนังหน่อย ผิวที่มีรอยย่นที่เกิดจากการขาดคอลลาเจนนั่นเอง 

4.คลื่นเสียง Hifu Ultrafomer III 

ปัญหาริ้วรอยใต้ตา เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้ คลื่นเสียง Hifu Ultrafomer III โดยจะเป็นวิธีที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยที่ไม่เยอะมาก โดยวิธีนี้จะใช้คลื่นเสียงอัลตราซาวด์ที่พัฒนามาจากการอัลตราซาวด์ดูครรภ์ โดยจะยิงคลื่นเสียงไปยังชั้นผิว ทำให้หดตัว บริเวณผิวก็จะกระชับขึ้นโดยไม่ต้องฉีดยา ถ้าใครที่กลัวเข็มแนะนำวิธีนี้จะช่วยได้  

5.การฉีดไขมัน 

สำหรับวิธีนี้เป็นวิธีที่เสี่ยงต่อการแพ้สารเติมเต็ม ไม่ว่าจะเป็น โบท็อก หรือ การฉีดฟิลเลอร์ โดยจะเป็นการฉีดไขมันใต้ตา โดยการนำไขมันของตัวคนไข้เองมาฉีดบริเวณที่มีปัญหา โดยจะวิธีนี้จะมีข้อเสียอยู่ที่ขั้นตอนการทำจะยุ่งยากซับซ้อน เสี่ยงผิวไม่เรียบเนียน อีกทั้งมีการเจ็บตัวหลายครั้ง หากจะให้เห็นผลดีจะต้องแก้ปัญหาหลาย ๆ ครั้งนั่นเอง จึงไม่เป็นที่นิยมสักเท่าไหร่ เหมสำหรับคนบางกลุ่มเท่านั้น  

6.การเลเซอร์ 

สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องใต้ตาลึก มีการแสดงสีหน้า หรือ ส่วนของกระดูกใต้ตายุบตัวจะไม่เหมาะกับวิธีนี้ แต่สำหรับใครที่มีปัญหาเล็ก ๆ หรือ ริ้วรอยที่ไม่ลึกมาก ก็จะเหมาะกับการทำเลเซอร์มากกว่า เพราะว่าค่าใช้จ่ายในการรักษาด้วยวิธีนี้สูง แต่เห็นผลช้า ไม่ชัดเจน จึงไม่ค่อยได้รับความนิยมแล้วในปัจจุบัน 

7.การทำ PRP 

สำหรับการทำ PRP หรือ Platelet Rich Plasma จะเป็นการแก้ปัญหาด้วยการนำเกล็ดเลือดของตัวเองเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหารื้วรอยใต้ตา รวมทั้ง แก้ปัญหาเรื่องใต้ตาคล้ำ โดยการรักษาจะใช้วิธีเจาะเลือดประมาณ 20 ซีซี ก่อนที่จะนำมาปั่นแยกส่วน เพื่อได้พลาสมาที่มีเกล็ดเลือดที่เข้มข้น โดยวิธีนี้มีข้อดีคือ ช่วยลดการอักเสบ รวมทั้งกระตุ้นสร้างคอลลาเจน ฟื้นฟูทำให้รอบดวงตากลับมาอิ่มฟูได้ 

โดยการทำ PRP แบบทั่วไป จะมีความปลอดภัยมากถ้ารักษาโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ดังนั้นไม่ต้องกลัวเลยเกี่ยวกับผลข้างเคียง แต่ในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด โลหิตจาง อีกทั้งโรคประจำตัวอื่น ๆ จะไม่เหมาะกับวิธีนี้

8.ศัลยกรรมผ่าตัด 

การศัลยกรรม หรือ การผ่าตัด ตรงตัวเลยก็คือการผ่าตัดเพื่อลบริ้วรอยใต้ตา โดยเป็นการแก้ปัญหาที่ได้ผลนานกว่าวิธีอื่น ๆ โดยส่วนใหญ่แล้วจะนิยมการผ่าเอาถุงใต้ตา หรือ จัดการกับตัวผิวที่หน่อยคล้อยมาก ๆ เอาออกไป ทำให้ผิวตาตึงกระชับ ซึ่งวิธีนี้จะนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างเร่งด่วน แต่มีข้อเสียคือ การพักฟื้น และ การเจ็บตัวที่หลีกเลี่ยงใช้วิธีอื่น ๆ ไปได้ 


3 วิธีการรักษาแบบธรรมชาติ

ลดริ้วรอยใต้ตา

1.ครีม ลดริ้วรอยใต้ตา สูตรสมุนไพร

สำหรับวิธีการรักษาริ้วรอยใต้ตาด้วยตัวเองนั้น จะมีหลายสูตร หลายวิธีที่แชร์ต่อกันมา โดยการใช้ครีมลดริ้วรอย ที่มีขายตามท้องตลาดที่มีส่วนผสมของสมุนไพร โดยมีสูตรที่นิยมเช่น ครีมสูตรแตงกวา,ใบบัวบก,มะเขือเทศ รวมไปถึง แครอท หรือ ว่านหางจระเข้ด้วย แน่นอนเลยว่าส่วนใหญ่จะใช้มาส์กที่บริเวณหน้าเพื่อลดริ้วรอยรอบดวงตา ซึ่งจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดี

2.ครีมลดริ้วรอยสูตรวิตามิน 

ในปัจจุบันนี้ มีเวชสำอางหรือยาทาในกลุ่มของ “วิตามินซี” กับ “วิตามินเอ” อย่าง เรตินอล ที่จะช่วยลดริ้วรอยใต้ตาได้เป็นอย่างดี เพราะจะสามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น รวมทั้งปรับสีผิวใต้ตาให้ดูสว่าง รวมทั้งจะทำให้ดูสดใสขึ้น จะเหมาะกับผู้ที่เพิ่งจะเริ่มมีปัญหาริ้วรอยใต้ตาในจุดเล็ก ๆ ซึ่งครีมเหล่านี้จะช่วยชะลอการเกิดรอยที่ลึกขึ้น ในปัจจุบันยังคงได้รับความนิยม ถึงแม้ว่าจะใช้เวลาในการรักษาไปสักระยะ แต่ก็ยังได้ผล แต่กลับบางคนที่ผิวบางแพ้ง่ายอาจจะยังระคายเคืองต่อเวชสำอางเหล่านี้ได้จึงเหมาะสำหรับคนบางกลุ่มเท่านั้น 


จะเห็นได้เลยว่าการรักษา ลดริ้วรอยใต้ตา เป็นเรื่องที่ไม่ยากแล้วในปัจจุบันด้วยนวัตกรรมการรักษาทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าขึ้นมาก มีหลากหลายวิธีที่จะช่วยให้คุณลดความกังวลเกี่ยวกับปัญหานี้ได้อย่างมั่นใจ โดยปกติแล้ววิธีเดิม ๆเช่นการผ่าตัดศัลยกรรม กำลังจะลดลงเรื่อย ๆ เพราะด้วยข้อเสียที่ต้องใช้เวลาพักฟื้น หรือ การเจ็บตัว ดังนั้นการรักษาแบบคลื่นวิทยุ หรือ การฉีดฟิลเลอร์ เติมเต็มด้วยโบท็อกซ์จะได้รับความนิยมมากกว่า ด้วยข้อดีที่มีมากกว่าข้อเสียทำให้คนไข้เชื่อมั่นในวิธีต่าง ๆ เหล่านี้มากกว่า แต่สำหรับวิธีการรักษาแบบธรรมชาติ ก็จะช่วยได้ในส่วนของอาการเบื้องต้น หรือ ในกลุ่มที่เป็นไม่มากนัก การทาครีม หรือ วิตามินช่วยกระตุ้นคอลลาเจนก็ยังได้รับความนิยมอยู่ แต่ในปัจจุบัน การรับประทานคอลลาเจนเสริม ก็ช่วยบำรุงใต้ตา บำรุงผิวใต้ตา รวมทั้งลดริ้วรอยใต้ตาได้เช่นเดียวกัน 


คอลลาเจน ช่วยบำรุงใต้ตา ลดริ้วรอยใต้ตา ได้อย่างไร

ลดริ้วรอยใต้ตา

เป็นอีกหนึ่งคำถามที่หลายคนสงสัยเลยว่า “คอลลาเจน” ที่โดดเด่นในเรื่องของการดูแลผิว ช่วยให้ผิวดูเปล่งปลั่งมีความชุ่มชื้น แก้หน้าโทรม จะช่วยบำรุงใต้ตาได้เหมือนกันหรือไม่ ซึ่งก็ต้องขอตอบตรงนี้เลยว่า คอลลาเจนคือหนึ่งในสารสกัดที่ช่วยบำรุงผิว บำรุงผิวใต้ตาได้เป็นอย่างดี เพราะนี่คือโปรตีนที่มีมากที่สุดในร่างกาย ซึ่งจะคิดเป็น 1 ใน 3 ของโปรตีนทั่วร่างกายสำหรับตัวคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของผิวหนัง เล็บ ผม กระดูก ข้อต่อ กล้ามเนื้อ และ เส้นเอ็น ซึ่งยิ่งได้รับมากเท่าไหร่ก็จะช่วยบำรุงในส่วนต่าง ๆมากเท่านั้น ด้วยหน้าที่ของสารสกัดชนิดนี้ที่เหมือนกับกาวคอยเชื่อม ซ่อมแซมในส่วนที่ร่างกายสึกหรออยู่ตลอดเวลา แต่การสร้างคอลลาเจนมีจำกัดช่วงอายุ เมื่อไหร่ที่อายุมากขึ้น การสร้างคอลลาเจนก็จะลดน้อยลงมานั่นเอง นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ร่างกายของเราควรได้รับคอลลาเจนอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งคอลลาเจนจะมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายด้านดังนี้ 


ประโยชน์แท้จริงของ “คอลลาเจน” 

การศึกษาวิจัยทางสถาบันที่สำคัญเกี่ยวกับสุขภาในต่างประเทศได้มีการวิจัยเกี่ยวประโยชน์ที่น่าสนใจของคอลลาเจนเอาไว้มากมาย ซึ่งแต่ละผลงานก็แสดงถึงข้อดีที่คอลลาเจนช่วยดูแลสุขภาพทั้งกล้ามเนื้อ ผิวหนัง ข้อต่อ กระดูก รวมไปถึงการลดความเจ็บปวดจากโรคที่เกี่ยวกับข้อเข่าเสื่อมได้ดีด้วยเช่นกัน  โดยพวกเราจะขอพูดถึงตัวอย่างงานวิจัย ที่บ่งบอกถึงประโยชน์ของ “คอลลาเจน” เอาไว้ชัดเจน ดังนี้ 


1.งานวิจัยจากจีน โดย แอมเวย์ประเทศจีน

เริ่มต้นกันด้วยงานวิจัยโดย แอมเวย์ จากประเทศจีน ที่ให้ผู้หญิง 62 คน ที่มีภาวะ “ฝ้า” บนใบหน้า ให้รับประทานผลิตภัณฑ์ที่ประกอบไปด้วยคอลลาเจนแบบ เปปไทด์ รวมทั้งเปปไทด์จากถั่วเหลือง พร้อมทั้งสารสกัดจากดอกเก๊กฮวย 10 กรัม ในทุกวัน เป็นระยะเวลากว่า 60 วัน ผลการวิจัยพบว่ารอยดำที่ฝ้าจางลง เมื่อนำไปเทียบกับผู้ที่ไม่ได้รับประทานผลิตภัณฑ์คอลลาเจน 

2.งานวิจัย ของผู้หญิงรับประทาน “คอลลาเจน” 

การศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่องของ “คอลลาเจน” เพราะสำหรับผู้หญิงที่รับประทานคอลลาเจน 2.5-5 กรัมต่อวัน ติดต่อกันเป็นเวลากว่า 2 เดือน จะพบว่าผิวแห้งน้อยลง มีความยืดหยุ่น ความชุ่มชื้นของผิวอย่างเห็นได้ชัด รวมไปถึงการรับประทาคอลลาเจนเกิน 2 เดือนขึ้นไป พบว่าความลึกของริ้วรอยลดลงอย่างมาก เมื่อเทียบกับผู้ที่ได้รับประทานผลิตภัณฑ์คอลลาเจน 

3.ช่วยลดอาการปวดของ ข้อต่อ ในผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม

มีผลงานวิจัยจากต่างประเทศที่มีผลดีต่อผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม เพราะเมื่อไหร่ที่มีอาการอักเสบของโรคนี้จะทำให้ปวดข้อเข่าเป็นอย่างมาก แต่เมื่อรับประทานคอลลาเจนอยู่เป็นประจำ อาการปวดของโรคนี้ก็จะบรรเทาลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะด้วยคอลลาเจนทำหน้าที่เปรียบเหมือนกาวที่คอยช่วยซ่อมแซมในส่วนข้อต่อ ข้อเข่าที่เกิดการอักเสบ ลดอาการเจ็บปวดได้เป็นอย่างดี 


อย่างไรก็ตาม “คอลลาเจน” คือหนึ่งในสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่จะช่วยชะลอความแก่ ยังคงทำให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย อีกทั้งการรับประทานคู่กับ วิตามินซี หรือ วิตามินประเภทอื่นที่ทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระเช่นเดียวกัน ก็จะทำให้ผิวที่แห้ง กลับมามีความยืดหยุ่นชุ่มชื้น พร้อมกับสุขภาพผิวหน้าที่ริ้วรอยดูจางลง ทั้งรอยดำจากสิว รอยดำจากฝ้า ก็จะค่อย ๆจางลงจนมองไม่เห็นนั่นเอง ดังนั้นแล้วการเลือกรับประทานคอลลาเจน ก็จำเป็นที่จะต้องเลือกในรูปแบบที่ส่งผลดีต่อร่างกายมากที่สุดนั่นเอง


เลือกใช้คอลลาเจนรูปแบบไหนดี

ลดริ้วรอยใต้ตา

รูปแบบของ “คอลลาเจน” คืออีกหนึ่งเรื่องสำคัญสำหรับผู้ที่รับประทานเช่นเดียวกัน เพราะด้วยสูตรต่าง ๆของแต่ละแบรนด์ก็จะมีจุดเด่นที่ค่อนข้างแตกต่างกันอยู่บ้าง ซึ่งคอลลาเจนนั้นจะมีรูปแบบที่คุณรู้จักกันดีนั่นก็คือ “คอลลาเจนเปปไทด์” นั่นเอง โดยรูปแบบของคอลลาเจนชนิดนี้จะหมายถึง คอลลาเจนที่ทำการสกัดให้อยู่ในรูปแบบของสายกรดอะมิโนที่สั้นขึ้น เพราะปกติแล้วจะมีขนาดที่ใหญ่ทำให้ร่างกายของเราดูดซึมได้ยาก ดังนั้นการเลือกใช้คอลลาเจนที่มีรูปแบบที่ดูดซึมง่ายจะตอบโจทย์การดูแลสุขภาพได้มากที่สุด พร้อมทั้งเห็นผลได้เร็วที่สุดด้วยเช่นกัน 


เลือกใช้คอลลาเจน ไดเปปไทด์

อันที่จริงแล้วเราอาจจะคุ้นหูกันอยู่บ้างกับ “คอลลาเจน ไตรเปปไทด์” โดยจะเป็นคอลลาเจนที่มีการเรียงตัวรวมกันของคอลลาเจนที่ใหญ่ มีขนาดเฉลี่ยราว ๆ 300-400 คาลตัน แต่ในส่วนของ คอลลาเจน “ไดเปปไทด์” จะมีขนาดเล็กกว่าถึง 300 คาลตัน ทำให้จุดเด่นในเรื่องการดูดซึมนั้นรูปแบบของ  Collagen Dipeptide ไดเปปไทด์จะสามารถดูดซึมได้ดีกว่ามากจึงขอแนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีรูปแบบคอลลาเจนประเภทนี้ 


รู้จัก “คอลลาเจนไดเปปไทด์” 

Collagen Dipeptide จะเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่พัฒนาการสกัดคอลลาเจนให้อยู่ในรูปแบบโมเลกุลที่เล็กมาก โดยเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 200 คาลตัน ด้วยกรดอะมิโนโครงสร้างหลักที่เรียงตัวต่อกันเพียง 2 หน่วย ทำให้ร่างกายนั้นสามารถดูดซึมได้เร็ว และ มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจุดเด่นของ คอลลาเจนไดเปปไทด์ จะมีเรื่องที่โดดเด่นดังต่อไปนี้ 

  • จะช่วยลดอาการปวดข้อเข่า สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม และ ช่วยบำรุงจ้อต่อให้แข็งแรง
  • ช่วยเพิ่มน้ำในข้อต่อของร่างกาย ทำให้เคลื่อนไหวได้ดี ข้อต่อไม่ขัดกัน
  • บำรุงเส้นผม ลดอาการผมร่วง ผมบาง
  • ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ลดความเสี่ยงโรคกระดูกเปราะ 
  • จะช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น กระชับเรียบเนียน พร้อมชะลอการเกิดริ้วรอย
  • รอยดำ ฝ้า จะจางลง พร้อมทั้งช่วยลดการเกิดสิวด้วย 

จุดเด่นของคอลลาเจนประเภทนี้ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมในส่วนที่สึกหรอมากมาย เรียกได้ว่ายิ่งคอลลาเจนมีโมเลกุลที่เล็ก การดูดซึมของร่างกายก็จะสามารถทำได้ดีเช่นเดียวกัน แต่เรื่องสุดท้ายที่ขอนำมาฝากคนรักสุขภาพในบทความนี้ก็คือ ขอแนะนำ 10 คอลลาเจนประเภท “ไดเปปไทด์” ยอดนิยม ซึ่งมีสูตรที่ผสมวิตามินซี รวมทั้งสารสกัดอื่น ๆที่มีผลดีทั้งต่อผิวพรรณ กระดูก ข้อต่อ และ ช่วยบำรุงร่างกายกับการปรับสมดุลทั้งหมด โดยมีผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ 


10 คอลลาเจนไดเปปไทด์ แบรนด์ยอดนิยม 

ลดริ้วรอยใต้ตา

1.Vistra Collagen Dipeptide Plus Vitamin C

จุดเด่นของ Vistra Collagen Dipeptide Plus Vitamin C ก็คือ เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมคอลลาเจนไดเปปไทด์ที่เปปไทด์สูงมากถึง 1,000 มิลลิกรัม ต่อ 1 เม็ด สิ่งที่ทำให้น่าเชื่อถืออีกเรื่องคือ แบรนด์นี้เป็นลิขสิทธิ์จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งผ่านการทดสอบวิจัยมาแล้วว่า สามารถดูดซึมได้เร็ว สังเคราะห์คอลลาเจนได้ดี ช่วยฟื้นฟูผิวแห้งเสีย ลดริ้วรอย รวมทั้งเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวได้เป็นอย่างดี อีกทั้งมีส่วนผสมของ วิตามินซี ที่ช่วยบูสต์ให้เห็นผลได้เร็วด้วย

2.Dr.PONG 100,000 mg Collagen Dipeptide Plus Vitamin C

ความโดดเด่นของ Dr.PONG 100,000 mg Collagen Dipeptide Plus Vitamin C  ก็คือ เป็นคอลลาเจนรูปแบบพรีเมียมจากประเทศญี่ปุ่น ไม่ต้องกังวลกับสารตกค้าง ไม่มีสี ไม่แต่งกลิ่น ไม่แต่งรส ไม่มีน้ำตาล ด้วยความโดดเด่นในเรื่องโมเลกุลขนาดเล็กของ คอลลาเจนไดเปปไทด์ ทำให้ช่วยบำรุงผิวได้เป็นอย่างดี 

3.Donutt Collagen Dipeptide Plus Calcium

สำหรับใครที่มีปัญหาในเรื่องกระดูก อยากบำรุงกระดูก ขอแนะนำเลยกับ Donutt Collagen Dipeptide Plus Calcium ซึ่งจะเป็นคอลลาเจนไดเปปไทด์ทีมีคุณค่าของคอลลาเจนสูงมากถึง 120,000 มิลลกิกรัมต่อ 1 กระป๋อง โมเลกุลขนาดเล็กมีมาตรฐานการผลิตจากประเทศญี่ปุ่น ทำให้ช่วยบำรุงผิวพรรณ พร้อมทำหน้าที่เป็นกาวซ่อมแซมร่างกายได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญผลิตภัณฑ์นี้ยังมีแคลเซียมที่จะช่วยบำรุงกระดูก กับ ป้องกันอาการข้อเข่าเสื่อมด้วย 

4.VIDA C&E Collagen Dipeptide

VIDA C&E Collagen Dipeptide เป็นอีกหนึ่งอาหารเสริมคอลลาเจนไดเปปไทด์ที่มีคุณภาพระดับพรีเมียมจากญี่ปุ่นอีกเช่นเดียวกัน ด้วยโมเลกุลขนาดเล็กทำให้ดูดซึมง่าย พร้อมทั้งสารสกัดจากส้ม เลมอนฝรั่งเศส และ วิตามินกว่า 11 ชนิด จะช่วยบำรุงผิวพรรณให้ดูกระชับเรียบเนียน ลดเลือดการเกิดริ้วรอยได้เป็นอย่างดี 

5.Zeavita Activ 70x Collagen Plus

เป็นอีกหนึ่งอาหารเสริมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะว่าเป็นคอลลาเจนไดเปปไทด์ที่มาจากปลา 100% ไม่แต่งสี ปรุงรสอื่น ๆ ด้วยจุดเด่นของ Zeavita Activ 70x Collagen Plus ที่ไม่ผสมกับคอลลาเจนชนิดอื่น ทำให้ได้รับคุณค่ามากขึ้น 70 เท่า พร้อมทั้งอุดมไปด้วยวิตามินซี กับ วิตามินบี 3 ซึ่งจะช่วยดูแลผิวพรรณให้กระชับเรียบเนียนอยู่เสมอ กลิ่นคอลลาเจนคล้ายผลไม้ ทานง่าย อร่อย ปราศจากน้ำตาล

6.VISTRA Pure Collagen Dipeptide

เป็นอีกหนึ่งสูตรที่ขอแนะนำกับ Pure Collagen Dipeptide จากแบรนด์ VISTRA ซึ่งจะเป็นคอลลาเจนที่มีคุณค่าทางวิตามินซี รวมทั้ง Co-Q10 ช่วยทำให้ร่างกายดูดซึมคอลลาเจนได้ง่าย คอลลาเจนไดเปปไทด์จากปลาทะเลแบบไม่มีคอลลาเจนชนิดอื่นผสม ทำให้ผิวพรรณดูเรียบเนียน กระชับ กระจ่างใส พร้อมช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงด้วย 

7.JOJU Collagen Dipeptide

อีกหนึ่งแบรนด์จากประเทศญี่ปุ่น JOJU Collagen Dipeptide กับ ส่วนผสมส้มสีแดงจากอิตาลี ,คาลาไมน์ญี่ปุ่น และที่สำคัญยังมีแร่ธาตุสังกะสี ที่จะเป็นตัวช่วยบำรุงผิว ลดรอยดำ รอยแดง พร้อมทั้งเสริมสร้างคอลลาเจนในชั้นกระดูกได้เป็นอย่างดี 

8.Zenji Collagen Dipeptide Plus Tripeptide

คอลลาเจนแบรนด์นี้จะต้องนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น เพราะสำหรับ Zenji Collagen Dipeptide Plus Tripeptide เองแล้วนั้น จะมีชนิดทั้ง ไดเปปไทด์ กับ ไตรเปปไทด์ ที่สกัดมาจากปลาทะเล 100% ซึ่งจะดูดซึมง่ายเพราะโมเลกุลที่เล็ก ส่งผลให้ได้รับประโยชน์จากคอลลาเจนได้อย่างเต็มที่ จะช่วยลดอาการปวดข้อเข่า และ บำรุงผิวให้ดูสุขภาพดีอยู่เสมอ 

9.PiaOMe Pure Collagen Dipeptide

ด้วยปริมาณคอลลาเจนที่มีมากถึง 1 แสน มิลลิกรัม PiaOMe Pure Collagen Dipeptide จากญี่ปุ่น สามารถตอบโจทย์คุณได้ เพราะคอลลาเจนไดเปปไทด์ของแบรนด์นี้ จะช่วยเสริมสร้าง กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ช่วยให้ผิวเรียบเนียนกระชับ ที่สำคัญ กระดูก เส้นผม เล็บ จะดูมีความแข็งแรงเพิ่มมากขึ้นด้วย 

10.Well U Collagen Dipeptide & Tripeptide

การผสมผสานระหว่าง คอลลาเจน ไดเปปไทด์ กับ ไตรเปปไทด์ จะช่วยทำให้ร่างกายดูดซึมได้อย่างรวดเร็ว โดย Well U Collagen Dipeptide & Tripeptide จะอุดมไปด้วยสารสกัดจากเห็ดหูหนูขาว จมูกข้าวญี่ปุ่น รวมไปถึงวิตามินซี และ ไบโอติน ที่จะช่วยเร่งการสร้างคอลลาเจนได้ดีขึ้น พร้อมทั้งบำรุงสุขภาพผิว เส้นผม เล็บ ที่สำคัญผิวพรรณก็จะดูกระจ่างใสมากขึ้นด้วย 


เรียกได้ว่าทั้ง 10 คอลลาเจนไดเปปไทด์ จะมีจุดเด่นในเรื่องที่เน้นไปทางการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ส่วนประโยชน์ที่ได้รับจากคอลลาเจนนั้นจะมีความคล้ายกัน ได้แก่ การบำรุงผิว ลดริ้วรอยใต้ดวงตา ข้อเข่า เป็นต้น อย่างไรก็ตามร่างกายของแต่ละคนนั้นมีการดูดซึมไม่เท่ากัน บางคนรับประทานคอลลาเจนใช้เวลาไม่นานถึงเห็นผล แต่สำหรับบางคนใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล เพราะนอกจากประเภทของคอลลาเจนแล้ว ปัจจัยในด้านอื่น ๆไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมในการใช้ชีวิตที่อาจจะส่งผลให้ร่างกายเกิดการดูดซึมได้ช้า แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องที่คนรักสุขภาพต้องทำความเข้าใจ 


สำหรับใครที่กำลังพบเจอกับปัญหาริ้วรอยใต้ดวงตา ร่องลึก ริ้วรอยจากสิว แน่นอนเลยว่าบนใบหน้าเมื่อเกิดริ้วรอย หรือ จุดด่างดำ ความมั่นใจในการใช้ชีวิตก็จะลดลงไปเป็นอย่างมากเพราะใคร ๆ ก็อยากมีใบหน้าที่ดูอ่อนกว่าวัย มีผิวกระจ่างใสสุขภาพดี ดังนั้นการเติมเต็มด้วยคอลลาเจนจึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ขอแนะนำว่าสามารถปรับเปลี่ยนตัวเองได้อย่างที่คุณไม่ต้องเจ็บตัว อย่างไรก็ตามการรักษาริ้วรอยใต้ตายังมีวิธีทางการแพทย์ที่ช่วยได้ ถ้าเกิดว่ามีการรักษาควบคู่กันไป ก็จะเห็นผลได้เร็วขึ้นนั่นเอง สุดท้ายนี้ใครที่กำลังรักษาริ้วรอยใต้ดวงตาพวกเราก็ขอเป็นกำลังใจให้สุขภาพผิวกลับมาแข็งแรง กระชับเรียบเนียน และ สดใสเหมือนวัยเยาว์


อ้างอิง:

You Might Also Like