skin

ผิวขาดน้ำใช้อะไรดี รวม 5 สูตรมาร์กหน้าเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว

February 15, 2023
ผิวขาดน้ำใช้อะไรดี

ผิวขาดน้ำเป็นอีกหนึ่งปัญหาผิวหนังสำหรับหลายคน ซึ่งปัญหาผิวขาดน้ำนี้จะมีผลทำให้ผิวมันมากกว่าปกติ ผิวหยาบกร้านและตามมาด้วยปัญหาผิวอีกมากมาย ซึ่งภาวะผิวขาดน้ำสามารถเกิดขึ้นได้กับผิวทุกประเภท ทั้งผิวแห้ง ผิวมัน โดยเฉพาะผิวแพ้ง่ายจะมีโอกาสเกิดภาวะผิวขาดน้ำสูงกว่าผิวชนิดอื่น ซึ่งปัญหาผิวขาดน้ำสังเกตได้ยาก ทำให้คนส่วนมากทำการรักษาผิดวิธี ส่งผลให้ปัญหาผิวที่เป็นอยู่มีอาการหนักขึ้น ดังนั้นวันนี้เรามาทำความรู้จักกับผิวขาดน้ำว่ามีสาเหตุ อาการและวิธีการดูแลรักษาอย่างไร  ผิวขาดน้ำใช้อะไรดี ผิวถึงจะกลับมาสวยงามเป็นปกติได้


ผิวขาดน้ำ เกิดจากสาเหตุอะไร

ผิวขาดน้ำใช้อะไรดี

ผิวขาดน้ำ คือ ภาวะที่ปริมาณน้ำที่อยู่ในผิวน้อยกว่าร้อยละ 10 ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น ซึ่งผิวขาดน้ำเป็นสภาพที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกสภาพผิว ทั้งผิวมัน ผิวผสม ผิวแห้งและผิวแพ้ง่าย โดยผิวขาดน้ำจะมีลักษณะคล้ายผิวแห้งหลังจากล้างหน้าเสร็จใหม่ แต่หลังล้างหน้าไม่นาน ผิวหน้าจะมีความมันเพิ่มสูงขึ้นอย่างผิดปกติ โดยเฉพาะบริเวณทีโซน ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเมื่อผิวมีภาวะขาดน้ำจะทำให้ผิวมีการสร้างน้ำมันเพิ่มมากขึ้น เพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว ส่งผลให้ผิวมีความมันเพิ่มขึ้นนั่นเอง ซึ่งสาเหตุของผิวขาดน้ำ มีดังนี้

  1. ชั้น lipid bilayer ถูกทำลาย ผิวจะมีชั้นผิว lipid bilayer ทำหน้าที่ในการป้องกันและรักษาน้ำให้อยู่ในผิว ซึ่งชั้นผิวนี้ถูกทำลายได้ด้วยการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การอาบน้ำร้อน การใช้สารเคมีชนิดรุนแรง หรือการแพ้สารเคมีบางชนิด เป็นต้น เมื่อผิวชั้น lipid bilayer ถูกทำลายจะทำให้ผิวไม่สามารถรักษาน้ำให้อยู่ในผิวได้ ทำให้ผิวขาดน้ำ
  2. ผิวขาดสารความชุ่มชื้น โดยปกติผิวของคนเราจะมีสารที่ทำหน้าที่กักเก็บความชุ่มชื่น เช่น อะมิโน แอซิด สารกลุ่มแลคเตท ไฮยาลูรอนิค แอซิด เป็นต้น หากผิวขาดสารเหล่านี้จะทำให้ไม่สามารถอุ้มน้ำให้อยู่ในผิวได้ ทำให้ผิวขาดน้ำได้เช่นกัน ซึ่งสารเหล่านี้จะโดนทำลายได้ด้วยความผิดปกติของร่างกายและการใช้สารเคมีที่รุนแรง เช่น โรคภูมิแพ้ เป็นต้น
  3. การใช้ชีวิตประจำวัน การดำเนินชีวิตบางอย่างก็ส่งผลให้ผิวเกิดภาวะขาดน้ำได้ เช่น การพักผ่อนน้อย การดื่มน้ำน้อย การดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่มาก เป็นต้น

จะเห็นว่าสาเหตุที่ทำผิวขาดน้ำเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ ซึ่งภาวะผิวขาดน้ำนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในทันทีทันใด แต่จะมีการสะสมทีละน้อยจนเมื่อผิวขาดน้ำขั้นรุนแรงจึงจะแสดงอาการออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งผิวขาดน้ำสามารถรักษาได้ ด้วยการดูแลอย่างถูกต้อง


ผิวขาดน้ำใช้อะไรดี แก้ไขได้อย่างไร?

ผิวขาดน้ำใช้อะไรดี

ผิวขาดน้ำสามารถรักษาและแก้ไขให้หายได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อทำการรักษา ซึ่งการแก้ไขผิวขาดน้ำสามารถทำได้ดังนี้

  1. ดื่มน้ำให้มาก ร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำประมาณ 70-80% น้ำจึงมีความจำเป็นต่อร่างกายสูงมาก ทั้งการชะล้างสิ่งสกปรก เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบในร่างกายและเสริมความแข็งแรงชุ่มชื้นให้กับเซลล์ ดังนั้นในทุกวันจำเป็นต้องดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 2-3 ลิตรต่อวัน และหากมีภาวะผิวขาดน้ำจะต้องดื่มน้ำเพิ่มอีก 15-20% เพื่อให้น้ำเข้าไปทดแทนส่วนที่ขาดหายไป
  2. นอนให้เพียงพอ การนอนอาจมองว่าไม่เกี่ยวกับการแก้ไขผิวขาดน้ำ แต่เชื่อหรือไม่ว่าการนอนจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับผิว ทำให้ผิวสามารถรักษาและกักเก็บน้ำในผิวได้มากขึ้น ดังนั้นจึงควรนอนพักผ่อนให้เพียงพอทุกวัน 
  3. งดสารเคมี ปัจจุบันนี้เครื่องสำอางค์หรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวมักจะมีการผสมสารเคมีเข้าไปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้สูงขึ้น ดังนั้นควรเลือกแบบที่ไม่ใช้สารเคมีหรือสูตรอ่อนโยนที่เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ เพื่อลดความระคายเคืองและอันตรายที่จะเกิดกับผิว โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการทำความสะอาดผิวจะต้องเป็นสูตรอ่อนโยนและเหมาะกับสภาพผิวเท่านั้น 
  4. รับประทานผักผลไม้เพิ่มขึ้น นอกจากการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่แล้ว ควรจะเน้นการกินผักและผลไม้จะมีส่วนประกอบของน้ำและวิตามินเป็นหลัก ซึ่งน้ำและวิตามินที่อยู่ในผักผลไม้จะเข้าไปเพิ่มปริมาณน้ำและความแข็งแรงของผิว 

การแก้ไขให้ผิวขาดน้ำกลับมามีสุขภาพดีทำได้ไม่ยาก เพียงแค่ใส่ใจดูแลและปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันให้เหมาะสม ดื่มน้ำมาก ๆ นอนพักผ่อนเยอะและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสูตรอ่อนโยน นอกจากนั้นการมาร์กหน้าก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยแก้ไขให้ผิวกลับมาชุ่มชื่นได้อย่างรวดเร็วด้วย


3 สูตรมาร์กหน้าแก้ผิวขาดน้ำ

ผิวขาดน้ำใช้อะไรดี

การมาร์กหน้าสามารถช่วยดูแลผิวขาดน้ำให้กลับมามีชุ่มชื้นและมีสุขภาพที่ดีขึ้นได้ ซึ่งสูตรมาร์กหน้าที่จะช่วยเติมน้ำให้กับผิวมีดังนี้

  1. สูตรที่ 1 นมสด+ขมิ้น สูตรนี้นำนมสดผสมกับขมิ้นในอัตราส่วน 1:2 หรือผสมให้มีลักษณะเป็นเนื้อครีมสีเหลือง นำมามาร์กหน้าบาง ๆ ประมาณ 15-20 นาที สูตรนี้นมสดจะเข้าไปเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และยังช่วยขับผิวให้ขาวใสอีกด้วย
  2. สูตรที่ 2 แตงกวา+น้ำผึ้ง นำแตงกวามาบดละเอียด 2 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา นำมามาร์กหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แตงกวาถือว่าเป็นผักที่มีน้ำสูง การนำมามาร์กหน้าน้ำในแตงกวาจะซึมเข้าสู่ผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้น ส่วนน้ำผึ้งจะช่วยฆ่าเชื้อที่อยู่บนผิวหน้าทำให้ผิวแข็งแรง ลดการเกิดสิวได้อีกด้วย
  3. สูตรที่ 3 มะเขือเทศ+โยเกิร์ต นำมะเขือเทศบด 1 ช้อนโต๊ะผสมโยเกิร์ต 1 ช้อนโต๊ะ ผสมแล้วนำไปมาร์กหน้า ทิ้งไว้ 15-20 นาที มะเขือเทศและโยเกิร์ตจะเข้าไปเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวแล้ว ในมะเขือเทศยังมี AHA ช่วยขัดเซลล์ผิว เพิ่มความกระจ่างใสให้กับผิว
  4. สูตรที่ 4 ไข่ขาว+โยเกิร์ต ไข่ขาว 1 ฟองผสมกับโยเกิร์ต 1 ช้อนโต๊ะ มาร์กทิ้งไว้ 5-10 นาที โยเกิร์ตช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ไข่ขาวช่วยรักษาความชุ่มชื้น เพิ่มความเต่งตึงให้ผิว
  5. สูตรที่ 5 กล้วย+น้ำผึ้ง กล้วยบด ½ ถ้วยตวงผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ มาร์กหน้าทิ้งไว้ 5-10 นาที กล้วยและน้ำผึ้งเพิ่มความชุ่มชื้นและลดเลือนริ้วรอย ส่วนน้ำผึ้งยังส่วนลดการอักเสบของผิวด้วย

สูตรมาร์กหน้าที่นำมาในวันนี้เป็นสูตรมาร์กหน้าที่รับรองได้ว่าช่วยปรับแก้ไขให้ผิวขาดน้ำกลับมาชุ่มชื่น เติมเต็มน้ำใต้ผิว ทำให้ผิวกลับมาชุ่มชื่น เนียนนุ่มและกระจ่างใสไปพร้อมกัน การมาร์กหน้าสำหรับผู้ที่ผิวขาดน้ำควรมาร์กหน้าอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง จนผิวกลับมาชุ่มชื้นให้ปรับมามาร์กหน้าสัปดาห์ละ 1 ครั้งก็เพียงพอแล้ว รับรองได้การมาร์กหน้าด้วยสูตรที่ให้มานี้อ่อนโยนต่อทุกสภาพผิวแน่นอน


อ้างอิง 

skin

ขัดผิวขาวเร่งด่วน สูตรง่าย ๆ ด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติ

February 9, 2023
ขัดผิวขาวเร่งด่วน

การมีผิวขาวใสแน่นอนว่าเป็นที่ต้องการของทุกคน แต่ว่าหลังจากไปเที่ยวตากอากาศสัมผัสลมหนาว สายลม แสงแดดเพื่อชาร์ตพลังงานให้กับตัวเอง พอกลับมาถึงพบว่าผิวขาวเนียนได้กลายมาเป็นผิวหมองคล้ำ หยาบกล้านไปเสียแล้ว สาว ๆ ไม่ต้องกังวลไปค่ะ เพราะวันนี้เรามีสูตร ขัดผิวขาวเร่งด่วน ที่จะช่วยฟื้นฟูผิวเสีย หมองคล้ำของคุณให้กลับมาขาว เนียนนุ่มด้วยวัตถุดิบง่าย ๆ จากธรรมชาติมาฝากกันคะ


การขัดผิวสำคัญหรือไม่ จำเป็นต้องขัดทุกวันไหม?

ขัดผิวขาวเร่งด่วน

หลายคนมีข้อสงสัยว่าการขัดผิวมีความจำเป็นหรือไม่ ถ้าไม่ขัดผิวแล้วผิวจะกลับมาขาวได้ไหม แน่นอนว่าถ้าคุณไม่ขัดผิว ผิวของคุณก็จะกลับมาขาวได้ แต่ว่าจะต้องใช้ระยะเวลาหลายเดือนกว่าผิวจะกลับมาขาวเนียนและก่อนที่ผิวจะขาว ผิวของคุณจะกระดำกระด่างไม่น่ามองเอาเสียเลย ซึ่งการขัดผิวจะเข้าไปกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายและติดอยู่บนผิวหนังออกมา เผยให้เห็นผิวใหม่ที่มีขาว เนียนและมีสุขภาพดี ซึ่งการขัดผิวไม่จำเป็นต้องขัดทุกวัน โดยการขัดผิวจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ

  • ขัดผิวเพิ่มความเนียนเรียบ สำหรับคนปกติทั่วไปที่ผิวไม่มีปัญหาหมองคล้ำ มีจุดด่างดำ เนื่องจากแสงแดด ลมหนาวแล้ว การขัดผิวสามารถขัดผิวสัปดาห์ละครั้งหรือ 2 สัปดาห์ครั้งก็ได้ เพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่และขัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายไปให้หลุดออกจากผิวหนัง ลดการอุดตันของรูขุมขนและทำให้ผิวกระจ่างใสมากขึ้น 
  • ขัดผิวเพื่อเร่งผิวขาว สำหรับคนที่ต้องการขัดผิวเพื่อเร่งผิวให้กลับมาขาว เนียนใสแบบเร่งด่วน ควรทำการขัดผิวสัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยการขัดผิวจะเป็นขจัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายไป ยังเป็นการล้างสิ่งอุดตันในรูขุมขน ทำให้รูขุมขนกระชับ ป้องกันการเกิดสิวได้แล้ว การขัดผิวด้วยการหมุนเป็นวงกลมไปทั่วบริเวณยังเป็นการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้เลือดไปหล่อเลี้ยงเซลล์ผิวได้อย่างทั่วถึง ทำให้ผิวมีสุขภาพดี เปล่งปลั่ง เนียนนุ่มมากยิ่งขึ้น

จะเห็นว่าการขัดผิวไม่จำเป็นต้องขัดทุกวัน แต่ถ้าต้องการขัดผิวเพื่อให้ผิวขาวแบบเร่งด่วนจะต้องทำการขัดผิวสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งก็เพียงพอแล้ว และในการขัดผิวจะต้องขัดเบา ๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นและไม่ทำให้เซลล์ผิวหนังเกิดการอักเสบระคายเคือง


5 สูตร ขัดผิวขาวเร่งด่วน ด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติ 

ขัดผิวขาวเร่งด่วน

การขัดผิวเพื่อช่วยให้ผิวขาวแบบเร่งด่วนที่นำเสนอในวันนี้ เป็นสูตรขัดผิวที่ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติเป็นหลัก เพราะวัตถุดิบจากธรรมชาติจะอ่อนโยนต่อผิว ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ นอกจากนั้นยังหาได้ง่ายอีกด้วย แต่รับรองได้ว่าผิวขาวจริง มาดูกันว่ามีสูตรขัดผิวอะไรบ้าง

  1. แตงกวา+น้ำตาล+น้ำมันมะพร้าว สูตรนี้เป็นสูตรขัดผิวที่ช่วยเสริมความชุ่มชื้นให้กับผิวจากแตงกวากับน้ำมันมพร้าว พร้อมทั้งขัดเซลล์และสิ่งสกปรกด้วยเกล็ดน้ำตาล โดยมีขั้นตอนการทำเพียงแค่นำแตงกวาปั่นประมาณ 3/4  ถ้วย ผสมกับน้ำตาลทราย 1 ถ้วย และน้ำมันมะพร้าว 1/4 ถ้วย คนให้เข้ากันก็พร้อมสำหรับนำไปขัดผิวแล้ว
  2. กากกาแฟ + น้ำผึ้ง + โยเกิร์ต สำหรับใครที่ผิวหมองคล้ำเนื่องจากการโดนแดดแล้ว สูตรขัดผิวนี้จะช่วยทำให้ผวิวของคุณกลับมาขาวเนียนแบบสุขภาพดี โดยนำกากกาแฟ 1 ถ้วยผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะและโยเกิร์ต 2 ช้อนโต๊ะ นำไปพอกและขัดผิวประมาณ 30 นาทีแล้วล้างออก
  3. น้ำมะกรูด+น้ำผึ้ง+นมสด สูตรนี้เป็นสูตรสำหรับผิวแบบบาง เนื่องจากใช้น้ำมะกรูดแทนน้ำมะนาว เนื่องจากน้ำมะกรูดมีความเป็นกรดน้อยกว่าน้ำมะนาว เมื่อนำมาใช้จึงมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ เท่านั้น โดยนำน้ำมะกรูด 2 ช้อนโต๊ะผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชาและนมสด 1 ถ้วยตวง นำไปขัดผิวเบา เพื่อความชุ่มชื้นกระจ่างใสให้กับผิว
  4. ดินสอพอง+ขมิ้น+แตงกวา+นมสด สำหรับขมิ้นเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นสมุนไพรบำรุงผิวที่ช่วยทำให้ผิวขาวกระจ่างใส โดยนำแตงกวาบด 1ถ้วยตวงผสมดินสอพอง 1ช้อนโต๊ะ นมสด 1 ถ้วยตวงและขมิ้น 2 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากัน สูตรนี้นอกจากคืนผิวขาวแล้วยังเพิ่มความแข็งแรงให้กับผิวอีกด้วย
  5. น้ำมะขามเปียก+ขมิ้น+โยเกิร์ต สูตรนี้เป็นสูตรขัดผิวแบบดั้งเดิมที่คนไทยเรารู้จักกันดี เพราะใช้กันมายาวนาน แต่มีการปรับเปลี่ยนมาใช้โยเกิร์ตผสมเข้าไป เพื่อให้ผิวได้รับความชุ่มชื้นเพิ่มมากขึ้น โดยใช้น้ำมะขามเปียก 1 ถ้วยตวงผสมโยเกิร์ต ½ ถ้วยตวงและขมิ้น 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากันนำไปขัดผิว 

สำหรับใครที่ต้องการเร่งให้ผิวขาวแบบมีสุขภาพดีแล้ว แนะนำให้หาซื้อคอลาเจนมาผสมในสูตรขัดผิวข้างต้น แบบนี้จะช่วยให้ผิวขาวเร็วขึ้นและมีสุขภาพดีมากขึ้นด้วย


เคล็ดลับ ขัดผิวขาวเร่งด่วน แบบไม่ทำร้ายผิว

ขัดผิวขาวเร่งด่วน

การขัดผิวขาวเร่งด่วนสามารถช่วยให้ผิวขาวขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ แต่ว่าหลายคนเมื่อทำการขัดผิวแล้ว แทนที่ผิวจะขาวขึ้นกลับกลายเป็นทำร้ายผิว ทำให้ผิวเกิดการอักเสบ ระคายเคือง ซึ่งเคล็ดลับในการขัดผิวให้ขาวกระจ่างใสแบบเร่งด้วยก็คือ ความต่อเนื่องและความอ่อนโยน นั่นคือ  การขัดผิวต้องขัดเป็นประจำแบบวันเว้นวันหรือวันเว้น 2 วัน โดยการขัดจะต้องขัดอย่างเบามือและขัดหมุนเป็นวงกลมเล็ก ๆ ไปทั่วบริเวณที่ต้องการขัด เพียงเท่านี้ผิวของคุณก็จะกลับมาขาวใสแบบมีสุขภาพดีได้แล้ว

จะเห็นว่าการขัดผิวขาวเร่งด่วนทำได้ไม่ยาก และของที่ใช้ในการขัดผิวก็หาได้ง่าย สำหรับใครที่มีปัญาหาผิวหมองคล้ำ มีริ้วรอยลองนำไปใช้กันนะ รับรองว่าผิวของคุณจะกลับมาขาวเนียนใสอย่างแน่นอน


อ้างอิง

  • การขัดผิวสำคัญอย่างไร ต่อผิวเปล่งปลั่ง ทั้งผิวหน้าและผิวกาย และควรขัดบ่อยแค่ไหน.  https://www.sanook.com/women/173045/
  • ขัดผิว ประโยชน์และการดูแลผิวให้สุขภาพดี. https://hellokhunmor.com/%e0%b8%aa%e0%b8%b8%e0%b8%
skin

แก้หน้าโทรม ผิวหมองคล้ำ ให้กลับมาดูสดใสจากภายในสู่ภายนอก

December 26, 2022
แก้หน้าโทรม

แก้หน้าโทรม ทำไงดี? ปัญหาที่ชายหญิงหลายคนมักจะพบเจอและทำให้เกิดความไม่มั่นใจ ถึงแม้จะพยายามหลีกเลี่ยงแล้วแต่หลายคนก็อาจจะกำลังเผชิญกับปัญหานี้อยู่ เพราะด้วยปัจจัยภายนอกและสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่ต้องพบเจอทุกวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 100% แต่วันนี้แอดมินจะพาคุณไปเจาะลึกถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาเหล่านี้พร้อมวิธีบำรุงให้หน้ากลับมาสดใสได้ทั้งจากภายในสู่ภายนอกกันเลย


ทำไมหน้าโทรม ผิวหมองคล้ำดูไม่สดใส

ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่าปัญหาผิวหน้าโทรมนี้เกิดจากอะไร แก้หน้าโทรม ได้อย่างไรบ้าง หากเรารู้ถึงปัญหาที่แท้จริงแล้วก็จะสามารถหลีกเลี่ยงและแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด มาดูกันว่าทำไมใบหน้าของหลายคนจึงดูโทรมและไม่สดใส

  • อาการเครียด : หากคุณมีอาการเครียดมาก ๆ ร่างกายจะรับรู้จะเริ่มหลั่งฮอร์โมนที่มีชื่อว่า Cortisol ออกมา ซึ่งเจ้าฮอร์โมนตัวนี้จะเข้าไปกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากขึ้นทำให้หน้ามัน พอหน้ามันแล้วสิวก็มักจะเกิดขึ้นทำให้ผิวของคุณดูโทรมและเกิดความหมองคล้ำนั่นเอง
  • รังสี UV : แสงแดดหรือรังสี UV เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ใบหน้าดูโทรมและแก่ก่อนวัยได้ หากคุณเผชิญกับแสงแดดเป็นระยะเวลานานโดยไม่มีการปกป้องกัน แสงแดดจะเข้าไปทำร้ายได้ลึกถึงโครงสร้างชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวขาดคอลลาเจนและความชุ่มชื้น ส่งผลให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ ริ้วรอย และทำให้ผิวหน้าโทรมเร็วขึ้นได้
  • สภาพอากาศ : การอยู่ในที่ที่มีอากาศเย็นรวมถึงอยู่ในห้องแอร์จะทำให้ผิวหน้าแห้งและแตกเป็นขุยได้ เนื่องจากอากาศจะดูดซับความชุ่มชื้นของผิวหน้าไป ทำให้ใบหน้าแลดูไม่สดใสและเกิดความหมองคล้ำลง
  • พักผ่อนน้อย : การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอส่งผลเสียต่อร่างกายได้มากมาย นอกจากจะทำให้รู้สึกไม่สดชื่นแล้วก็ส่งผลต่อผิวหน้าได้ด้วยเช่นกัน เพราะขณะที่คุณนอนหลับนั่นร่างกายจะหลั่งโกรทฮอร์โมนซึ่งเป็นตัวช่วยซ่อมแซมผิวที่สึกหรอออกมา ทำให้ผิวเกิดความแข็งแรงมากขึ้น แต่หากคุณน้อยนอนร่างกายจะไม่สามารถหลั่งฮอร์โมนชนิดนี้ออกมาได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้ใบหน้าดูโทรมขึ้นนั่นเอง
  • ดื่มน้ำเปล่าน้อย : หากคุณดื่มน้ำเปล่าไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายจะเกิดภาวะขาดน้ำ ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น แห้งกร้าน และดูไม่สดใส 

วิธี แก้หน้าโทรม บอกลาหน้าปัญหาหน้าหมองคล้ำ

1.ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อร่างกาย

แก้หน้าโทรม

วิธี แก้หน้าโทรม ที่ง่ายที่สุดก็คือ ‘การดื่มน้ำ’ ให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ซึ่งร่างกายของแต่ละคนนั้นต้องการปริมาณน้ำไม่เท่ากันโดยจะคิดปริมาณเป็น 1.5 เท่าของแคลอรีที่ควรได้รับในแต่ละวัน แต่โดยทั่วไปแล้วปริมาณน้ำส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 8-12 แก้วต่อวัน ยิ่งดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายมากเท่าไหร่ ผิวของคุณก็จะดูสดใสและชุ่มชื้นมากขึ้นเท่านั้น

2.ทาครีมกันแดด

แก้หน้าโทรม

ครีมกันแดด เรียกได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่ง แม้ในวันที่คุณไม่ได้ออกจากบ้านการทาครีมกันแดดก็ยังคงเป็นหนึ่งไอเท็มที่ต้องใช้เป็นประจำทุกวัน เพราะนอกจากแสงแดดที่ทำร้ายผิวแล้วรังสีจากโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ หรือโทรทัศน์ก็ทำร้ายผิวหน้าได้เช่นกัน

3.รับประทานอาหารที่ให้คุณประโยชน์เยอะ

‘You are what you eat’ กินอะไรก็ได้อย่างนั้น ยิ่งคุณรับประทานอาหารที่ให้คุณประโยชน์ต่อร่างกาย ระบบต่าง ๆ ภายในรวมถึงภายนอกก็จะดีขึ้นด้วย ซึ่งอาหารที่มักจะให้คุณประโยชน์ก็จะเป็นจำพวก แซลมอน ทูน่า ปลาที่มีกรดโอเมก้า-3 และอื่น ๆ อีกมากมายที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ

4.ดูแลผิวหน้าให้สะอาด

แก้หน้าโทรม

การดูแลผิวหน้าให้สะอาดก็ช่วยให้ใบหน้าดูสดใสและไม่หมองคล้ำได้ หากคุณล้างหน้าหรือดูแลผิวหน้าไม่ดีอาจการหมักหมมของสิ่งสกปรกต่าง ๆ ทำให้ผิวอุดตันและเกิดสิวขึ้นได้

5.ทาครีมบำรุงผิวเป็นประจำ

การทาครีมบำรุงผิวหรือเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนช่วยรักษาใบหน้าหมองคล้ำก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ช่วยทำให้ใบหน้ากลับมาดูสดใสขึ้นได้ 

6.เปลี่ยนพฤติกรรม

แก้หน้าโทรม

ให้คุณลองสังเกตพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของตัวเองให้ดีว่าทำแบบไหนแล้วสิวขึ้น หรือทำแบบไหนแล้วหน้าจะดูโทรม ไม่สดใส และเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านั้น เช่น การเข้านอนให้ตรงเวลาและเร็วขึ้น การแบ่งเวลานอนกับเวลาทำงานอย่างชัดเจน การดื่มน้ำให้เพียงพอ ฯลฯ

7.ผลัดเซลล์ผิว

การสครับผิว ถือว่าเป็นการช่วยผลัดเซลล์ผิวได้อีกอย่างหนึ่งเพราะมันจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไปได้ง่ายขึ้น ทำให้ผิวได้รับการขจัดความหมองคล้ำออกไปได้ ส่งผลให้ผิวดูสดใสและมีความกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น แต่การสครับผิวก็ไม่ควรทำบ่อย ๆ เพราะผิวอาจบางได้ การผลัดเซลล์ผิวอาทิตย์ละ 1-2 ครั้งจะดีที่สุด

8.ลดความเครียด 

แก้หน้าโทรม

ยิ่งเครียด ก็ยิ่งโทรม ความเครียดส่งผลเสียต่อสุขภาพมากในหลาย ๆ ด้าน ยิ่งคุณเครียดมากเท่าไหร่มันก็จะยิ่งไปสัมพันธ์กับการทำงานของฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกายที่อาจทำให้ผิวดูหมองคล้ำและไม่สดใสได้

9.งดการสูบบุหรี่

บุหรี่ ส่งผลเสียต่าง ๆ มากมายต่อร่างกายรวมถึงด้านผิวพรรณด้วย เพราะสารนิโคตินที่อยู่ในบุหรี่นั้นจะทำให้ระบบหมุนเวียนเลือดในร่างกายทำงานได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดอาการผิวแห้งและผิวเสียขึ้นได้ นอกจากนี้การสูบบุหรี่ยังเข้าไปขัดขวางระบบการดูดซึมอาหารที่จำเป็นต่อผิวทำให้ผิวเสียและดูโทรมได้เช่นกัน

10.มาสก์หน้า 

แก้หน้าโทรม

การมาสก์หน้า ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีแก้หน้าโทรมที่สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะมาสก์หน้านั้นหาซื้อได้ง่ายตามร้านทั่วไป การเลือกมาสก์หน้าสูตรที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวจะช่วยทำให้ใบหน้าดูอิ่มฟูขึ้น และดูสดใส ไม่หมองคล้ำ


10 อาหารบำรุงผิว แก้หน้าโทรม ช่วยให้ผิวดูสดใสได้จากภายใน

นอกจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำต่าง ๆ จะส่งผลต่อการมีผิวสวยและใบหน้าที่สดใสแล้ว การรับประทานอาหารบำรุงผิวก็สามารถช่วยปรับสภาพผิวจากภายในได้ด้วยเช่นกัน มาดูกันว่าอาหารที่ผิวต้องการ ยิ่งกิน ผิวยิ่งสวยจะมีอะไรบ้าง


1. หน่อไม้ฝรั่ง

แก้หน้าโทรม

หน่อไม้ฝรั่ง เรียกได้ว่าเป็นอาหารที่ช่วยบำรุงผิวได้อย่างแท้จริง เพราะเป็นแหล่งของวิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี รวมถึงแร่ธาตุอื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ในหน่อไม้ฝรั่งยังอุดมไปด้วยกลูต้าไธโอนเป็นจำนวนมากและยังมีส่วนช่วยในการสร้างคอลลาเจนอีกด้วย ยิ่งกินเป็นประจำผิวของคุณก็จะยิ่งสดใสและกระจ่างใสแบบเป็นธรรมชาติ

2. ชาเขียว

ในชาเขียวอุดมไปด้วยโพลีนอลและแคเทซิน ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้มีสรรพคุณในการช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดและมลภาวะต่าง ๆ รวมถึงยังช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและป้องกันการเสื่อมของร่างกายได้เร็วอีกด้วยทำให้ผิวพรรณไม่แก่ก่อนวัย โดยการดื่มชาเขียวอุ่นจากธรรมชาติเรียกได้ว่าเป็นเคล็ดลับความเยาว์วัยของชาวญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้

3. ธัญพืช

แก้หน้าโทรม

ธัญพืช ไม่ว่าจะเป็นชนิดใดก็ตามล้วนมีประโยชน์ต่อผิวพรรณทั้งสิ้น เพราะในถั่วดำ ถั่วเหลือง ถั่วแดง ข้ามหอมนิล ลูกเดือย หรือข้าวซ้อมมือ มีกากใยสูงทำให้ระบบการขับถ่ายทำงานได้อย่างเป็นปกติ ส่งผลให้ผิวพรรณมีน้ำมีนวลและดูยืดหยุ่นขึ้น

4. มะเขือเทศ

หากพูดถึงอาหารบำรุงผิว เชื่อว่ามะเขือเทศคงเป็นตัวเลือกแรก ๆ ที่หลายคนอาจนึกถึงแน่นอน เพราะในมะเขือเทศนั้นเป็นทั้งแหล่งของวิตามินเอ วิตามินซี ไลโคปีน และสารแคโรทีนอยด์ที่มีส่วนช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวดูกระจ่างใสและยังช่วยต้านการอักเสบของผิวได้อีกด้วย ทำให้ป้องกันการถูกแสงแดดทำร้ายได้เป็นอย่างดี

5. ผลไม้ตระกูลส้ม

แก้หน้าโทรม

ผักและผลไม้ต่าง ๆ ที่อยู่ในตระกูลส้มมีประสิทธิภาพช่วยต้านอนุมูลอิสระได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็น ส้มสายพันธ์ุต่าง ๆ ส้มโอ เลมอน มะนาว หรือมะกรูด เป็นต้น ซึ่งผักและผลไม้เหล่านี้ประกอบไปด้วยวิตามินซีสูงและสารไฟโตนิวเทรียนต์ ทำให้ช่วยเร่งการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ผิวจึงดูเปล่งปลั่งปละสดใสมากยิ่งขึ้น

6. ฟักทอง

ในฟักทองมีไฟเบอร์และวิตามินต่าง ๆ สูง ทำให้ผิวมีความเด้งนุ่มและชุ่มชื้น พร้อมกับมีแร่ธาตุสำคัญต่าง ๆ ที่ช่วยผลิตคอลลาเจน ผิวจึงดูขาวผมชมพูได้เมื่อรับประทานอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ฟักทองยังช่วยแก้ไขปัญหาโรคผิวหนังได้อีกด้วยเช่นกัน

7. แซลมอน

แก้หน้าโทรม

ปลาแซลมอนอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่ช่วยปกป้องด้านผิวพรรณและกระตุ้นการเกิดคอลลาเจนได้เป็นอย่างดี ทำให้สามารถต่อต้านริ้วรอยก่อนวัย ชะลอวัน และบำรุงผิวได้อย่างล้ำลึกทำให้ผิวดูใสและเนียนขึ้นได้ทั้งผิวหน้าและผิวกาย

8. น้ำแร่

น้ำแร่มีประโยชน์มากมายต่อร่างกาย นอกจากจะทำให้ผิวดูชุ่มชื้นไม่แห้งกร้านแล้ว การดื่มน้ำแร่เป็นประจำยังช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยและทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น เนื่องจากในน้ำแร่มีแร่ธาตุมากมายที่คุณในการปรับสมดุลให้กับผิว

9. อะโวคาโด

อะโวคาโด เป็นแหล่งของไขมันดีที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนังและยังมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย ทำให้ทั้งช่วยชะลอวัน เลือดลมสูบฉีดได้อย่างดี และทำให้ผิวนุ่มฟูสุขภาพดีอีกด้วย

10. แตงกวา 

หลายคนคงอาจเคยเห็นคนนำแตงกวามามาสก์หน้า เพราะแตงกวานั้นมีคุณสมบัติในด้านของการเติมเต็มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวอิ่มน้ำ พร้อมกับช่วยลดอุณหภูมิให้กับผิวทำให้ผิวเย็นลงและดูเนียนนุ่มได้อีกด้วย


หน้าหมองคล้ำ ไม่สดใส เป็นปัญหาที่แก้ได้ หากคุณต้องการ ‘แก้หน้าโทรม’ เพียงแค่ต้องเริ่มจากการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น นอนให้เร็วขึ้นหรือดื่มน้ำให้มากขึ้น ที่สำหรับอย่าลืมหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่มักจะทำให้เกิดปัญหาหน้าโทรมเช่นความเครียดหรือการสูบบุหรี่ด้วย นอกจากนี้การรับประทานอาหารบำรุงผิวก็สามารถช่วยปรับสภาพผิวของคุณให้ดูสดใสและเปล่งปลั่งขึ้นได้เช่นเดียวกัน 


 

อ้างอิง : 

https://www.vsquareclinic.com/tips/correct-shabby-face/ 

https://www.eucerin.co.th/skin-concerns/ageing-skin/filler-vitc

https://www.bioderma.co.th/skin-articles/how-to-rejuvenate-dull-skin.html

https://www.welpano.com/blog/15_อาหาร_กินแล้วผิวสวย_ออร่ากระจาย-blog.aspx 

skin

สกินแคร์มีอะไรบ้าง ? เลือกใช้อย่างไรให้เหมาะกับสภาพผิว

December 14, 2022
สกินแคร์มีอะไรบ้าง

เรื่องของผิว ต้องบอกเลยว่าถ้าได้ศึกษาดี ๆ จะมีเรื่องราวที่เป็นมากกว่าเครื่องสำอางทั่วไป สำหรับในปัจจุบันนี้ผลิตภัณฑ์อย่างสกินแคร์ ได้รับความนิยมมากขึ้น ถ้าหากย้อนเวลากลับไปในสมัยก่อน คงจะมีแต่คุณผู้หญิงที่หันมาดูแลตัวเอง แต่ในปัจจุบันนี้คุณผู้ชายทั่วไปก็หันมาใช้สกินแคร์กันเป็นจำนวนมาก ด้วยผลกระทบอย่างมลพิษ แสงแดด ความเครียด ส่งผลโดยตรงต่อผิวหน้า ผิวกาย ดังนั้นเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องรีบฟื้นฟูโดยเร็วเพราะเมื่อไหร่ที่ผิวเสีย บุคลิกของคุณก็จะดูไม่ดีตามไปด้วย ดังนั้นการดูแลผิวหน้าจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนจะต้องอาศัยความเข้าใจอย่างแท้จริงในการดูแล วันนี้พวกเราจึงไม่พลาดที่จะพาทุกท่านไปแนะนำให้พบกับ “สกินแคร์” ซึ่ง สกินแคร์มีอะไรบ้าง เลือกแบบไหนให้เหมาะกับสภาพผิว ทุกข้อมูลของเรื่องนี้พวกเราได้รวบรวมมาอธิบายให้อ่านกันแบบเข้าใจง่ายแล้วในบทความนี้ ถ้าหากว่าคุณคืออีกหนึ่งคนที่กำลังหันมาดูแลผิวของตัวเอง ไม่ควรพลาดกับบทความนี้


สกินแคร์ คืออะไร ทำไมถึงต้องทา?

สกินแคร์มีอะไรบ้าง

ด้วยสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน ส่งผลเสียต่อผิวเป็นอย่างมาก ส่งผลให้เกิดอาการแพ้ หรือ สีผิวที่เสียไม่สม่ำเสมอ ดังนั้นอีกหนึ่งหนทางสำหรับคนรักดูแลผิวนั่นก็คือ การใช้สกินแคร์นั่นเอง ซึ่งความหมายของสิ่งนี้จะตรงตัวเลยก็คือ เป็นผลิตภัณฑ์ที่บำรุงผิวหน้า โดยจะมีลักษณะหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นเจล ครีม มอยส์เจอไรเซอร์ รวมไปถึงครีมที่มีคุณสมบัติช่วยบำรุง พร้อมทั้งฟื้นฟูผิวแห้งเสีย ซึ่งจะเป็นการดูแลบำรุงผิวหน้า หรือ ผิวกายด้วยครีมบำรุงต่าง ๆ แต่สิ่งสำคัญของการใช้งานก็คือ จะต้องเลือกให้เหมาะกับผิวของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นคนผิวแห้ง ผิวมัน หรือ ผิวปกติ ก็จะต้องเลือกสกินแคร์ให้เหมาะสม เพื่อการปกป้องผิวได้อย่างเต็มที่ 


สกินแคร์ ใช้แล้วดีอย่างไร ? 

นี่จึงเป็นอีกหลายเหตุผลที่เห็นได้ว่า มีสกินแคร์หลากหลายยี่ห้อให้เลือกใช้งานจนไม่รู้เลยว่าจะเลือกแบบไหนดี แบบไหนที่เหมาะกับผิวของคุณ เพราะว่าแต่ละคนนั้นมีรูปแบบของผิวที่ไม่เหมือนกันบางคนก็ผิวมัน บางคนก็ผิวแห้ง ซึ่งการใช้สกินแคร์ก็ส่งผลต่อการระคายเคืองของผิวด้วยเช่นกัน ซึ่งสิ่งสำคัญก็คือการเลือกผลิตภัณฑ์ในการบำรุงผิวหน้า ผิวกาย รวมทั้งครีมบำรุงต่าง ๆ ก็จะต้องเลือกให้เหมาะกับผิว ซึ่งจะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 


สกินแคร์ กับ ประเภทของผิว

สกินแคร์มีอะไรบ้าง

การรู้ตัวเองว่ามีสภาพผิวแบบไหน เป็นเรื่องที่ดี เพราะว่าคุณจะสามารถใช้งานผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสมได้โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องการแพ้ หรือ ระคายเคือง แต่การสำรวจตัวเองนั้นไม่ยาก สำหรับการตรวจสอบผิวก็ดูได้จากความสมบูรณ์ของผิว ถ้าดูแห้งกร้าน ก็คือ ผิวแห้ง ถ้าผิวมัน มักจะมีน้ำมันหล่อเลี้ยงอยู่ที่บริเวณหน้าตลอดเวลา โดยการดูแลผิวจะแบ่งตามประเภทของผิวดังนี้ 

  • ผิวธรรมดา

ก่อนที่จะเลือกครีมบำรุงผิวสำหรับคนผิวธรรมดานั้น จะต้องรู้จักกับผิวตัวเองก่อนว่า มีผิวแบบไหน โดยผู้ที่ผิวแบบธรรมดา จะมีผิวที่มีน้ำมันบนใบหน้าในแบบพอดี ไม่มันจนเกินไป อีกทั้งผิวก็ยังมีความแข็งแรง สุขภาพดี ดูเปล่ง ไม่ค่อยมีริ้วรอย โดยรูปแบบผิวนี้จะมีข้อดีก็คือ ไม่ค่อยมองเห็นรูขุมขน ทำให้ไม่มีปัญหาผิวเรื่องสิว หรือ ฝ้า รบกวน แต่ข้อเสียก็คือ จะต้องดูแลผิวไม่ให้ขาดความชุ่มชื้นตลอดเวลา รักษาความสมดุลให้พอเหมาะ ไม่เช่นนั้นผิวก็จะเสียได้เช่นกัน 

การดูแลรักษาของผิวธรรมดา จะใช้ครีมบำรุงผิวที่ไม่เข้มข้น หรือ เบาบางจนเกินไป ใช้ครีมกันแดดทุกวัน สครับผิวอาทิตย์ละ 1 ครั้ง เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว พร้อมยังคงความอ่อนเยาว์ต่อไป 

  • ผิวแห้ง

ลักษณะของคนผิวแห้ง จะเกิดภาวการณ์ผลิตน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวได้น้อย เวลาที่ล้างหน้า จะรู้สึกว่าหน้าแห้งตึง หน้าเป็นขุย มีริ้วรอยบาง ๆที่มองเห็นได้ นี่แหละคือคนผิวแห้ง ถึงแม้ว่าจะมีข้อดีเรื่องไม่มีปัญหารูขุมขน แต่ข้อเสียนั้นมีเพียบ ไม่ว่าจะเป็น ริ้วรอยที่มาเร็ว เมื่อมีสิวก็จะรักษายากกว่าคนผิวมัน เมื่อผิวแห้ง ก็จะยิ่งแดง ลอก แห้ง ระคายเคืองง่าย 

สำหรับการดูแลผิว ในผู้ที่มีผิวแห้งนั้น จะต้องใช้เนื้อครีมที่เข้มข้น ให้ความชุ่มชื้น พร้อมทั้งเติมความชุ่มชื้นในระหว่างวัน ใช้สเปรย์น้ำแร่เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นก่อนแต่งหน้า ใช้ครีมกันแดดที่ผสมมอยเจอร์ไรเซอร์ ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ไม่มีฟอง ส่วนอาหารเสริมก็ให้เลือกทานน้ำมันปลาจะดีมาก เพราะจะทำให้ผิวดูแข็งแรงขึ้น พร้อมช่วยลดการอักเสบ หรือ ผื่นแพ้ได้ 

  • ผิวมัน 

สำหรับคนผิวมัน จะเกิดจากภาวะที่มีน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวมากเกินไป เวลาที่ล้างหน้าภายใน 2 ชั่วโมงไปแล้ว ผิวก็จะเริ่มมันในส่วนของ ทีโซน แก้ม จมูก คิ้ว รูขุมขนกว้าง สิวเสี้ยนเกิดง่าย พร้อมกับสิวหัวดำบริเวณจมูกด้วย สำหรับข้อดีของผู้ที่มีผิวมันก็คือ เกิดริ้วรอยได้ยากกว่าคนผิวแห้ง ระคายเคืองยาก แต่ข้อเสียก็คือ จะเกิดสิวอักเสบได้ง่าย พร้อมกับเกิดสิวอุดตันก็เกิดได้ง่ายเช่นกัน 

สำหรับผิวมันให้ใช้โทนเนอร์ควบคุมความัน ในรูปแบบที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว รวมทั้งใช้แบบลดความมัน จะช่วยให้ละลายไขมันที่อุดตันในรูขุมขน หลีกเลี่ยงส่วนผสมที่เกี่ยวกับน้ำมัน โดยในช่วงหน้าร้อนจะต้องดูแลเป็นพิเศษ เพราะว่าช่วงนี้จะผลิตน้ำมันที่มากเกินไป เกิดสิวอุดตันง่าย พร้อมทั้งสิวอักเสบด้วย ดังนั้นการเลือกสกินแคร์จะต้องระวังเป็นพิเศษ ควรใช้ครีมบำรุงที่เนื้อบางเบา หรือ ผลิตภัณฑ์แบบสูตรน้ำแทนจะดีต่อผิวมากกว่าแบบอื่น

  • ผิวผสม

สำหรับผิวแบบผสมก็คือ การเกิดภาวะที่ผิวทั้งแห้ง ทั้งมัน ซึ่งอาจจะเกิดเป็นคนละจุดกัน โดยส่วนของผิวมันจะเกิดสิวง่าย ส่วนผิวแห้งก็จะลอกเป็นขุยได้ ซึ่งผิวลักษณะนี้จะมีข้อดีก็คือ เกิดริ้วรอยยากในจุดที่มัน แล้วก็จะไม่มีปัญหาเรื่องรูขุมขนกว้างในจุดที่ผิวแห้งด้วยนั่นเอง ส่วนที่เป็นข้อด้อยของผิวประเภทนี้ก็คือ การดูแลที่จะยากกว่ารูปแบบทั่วไป เพราะว่าแห้ง กับ มันเป็นส่วน ซึ่งการเลือกครีมอาจจะต้องปรับไปตามสภาพผิวของแต่ละจุดนั่นเอง

สำหรับการดูแล “ผิวผสม” จะใช้ครีมสองสูตร นั่นก็คือ จะต้องใช้คลีนเซอร์ทำความสะอาด  ซึ่งจะใช้ได้ทั้งผิวแห้ง รวมทั้งผิวมันด้วย โดยพยายามควบคุมความมันด้วการใช้โทนเนอร์เช็ดที่บริเวณผิว 

  • ผิวแพ้ง่าย

ผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย ค่อนข้างตรงตัว เพราะว่าผิวจะมีความสามารถในการปกป้องผิวลดลง ผิวจะอักเสบได้ง่าย ผิวอ่อนแอลง สุขภาพผิวไม่แข็งแรง ซึ่งจะใช้ครีมชนิดใด หรือ สกินแคร์แบบไหน ก็จะต้องศึกษา เพราะว่าอาจจะแพ้น้ำหอม หรือ สารสกัดภายในสกินแคร์นั้นด้วย 

การดูแลผิวแพ้ง่ายนั้นเหมือนจะยาก แต่ถ้าหากว่าคุณเองใช้ผลิตภัณฑ์ที่สามารถเคลือบผิวเอาไว้ โดยจะทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันให้กับผิว โดยคุณเองจะต้องหลีกเลี่ยงน้ำหอม แอลกอฮอล์ เพราะนี่คือสารที่จะทำให้ผิวของคุณเกิดความระคายเคือง โดยสกินแคร์ที่จะต้องใช้ จะต้องเลือกแบรนด์ที่อ่อนโยนต่อผิวอย่างมาก 


สกินแคร์มีอะไรบ้าง

สกินแคร์มีอะไรบ้าง

เห็นแบบนี้แล้วตัวของ “สกินแคร์” มีหลากหลายประเภท รวมทั้งคุณสมบัติที่แตกต่างกันด้วยเช่นกัน ถ้าหากว่าอธิบายเบื้องต้นคงจะยังไม่หมด ดังนั้นพวกเราจึงได้รวบรวมประเภทของสกินแคร์ อีกทั้งประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ดูแลผิวในแบบต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยมีคำตอบให้กับคนที่กำลังเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1.Skin Cleansing Products สำหรับทำความสะอาด

สำหรับสกินแคร์ประเภทนี้จะมีหน้าที่หลักก็คือ ทำความสะอาด ชำระสิ่งสกปรกออกไปจากผิวกาย ไม่ว่าจะเป็น เหงื่อ ขี้ไคล ความมันบนใบหน้า ผิวกาย รวมทั้งฝุ่น และ มลพิษต่าง ๆที่ได้รับมา ที่สำคัญเครื่องสำอางที่คุณผู้หญิงได้ใช้งานบนใบหน้า จะถูกสกินแคร์ประเภททำความสะอาด ชำระล้างไปจนหมด โดยรูปแบบก็มีหลากหลายไม่ว่าจะเป็นแบบเช็ดออกด้วยน้ำ หรือ ล้างออกด้วยน้ำ โดยจะมีตัวอย่างผลิตภัณฑ์สกินแคร์ประเภทนี้ที่พบได้ทั่วไปเลยก็คือ สบู่ก้อน สบู่เหลว เจลล้างหน้า เจลอาบน้ำ โฟมล้างหน้า รวมไปถึง โทนเนอร์ที่ใช้เช็ดทำความสะอาด เป็นต้น 

2.Skin Whitening/Brightening Products ช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใส

แน่นอนเลยว่ามีสำหรับทำความสะอาดแล้ว ก็จะต้องมีสกินแคร์ที่ช่วยบำรุงผิวให้กระจ่างใส โดยเราจะเรียกผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ว่า “ไวท์เทนนิ่ง” นั่นเอง โดยจะมีคุณสมบัติที่จะช่วยให้ผิวดูกระจ่างใส ซึ่งจะเป็นประเภทที่คุณผู้หญิงที่รักในความงามรู้จักกันเป็นอย่างดี โดยหน้าที่หลักจะช่วยปรับสภาพผิว ให้ดูขาวขึ้น กระจ่างใสขึ้น ซึ่งในปัจจุบันได้มีเครื่องสำอางหลายชนิด เพิ่มสารประเภทนี้เข้าไปทำให้ใช้แล้วดูผิวกระจ่างใสขึ้น โดยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ จะใส่สารที่มีกลไกการออกฤทธิ์ทำให้สีผิวจางลง โดยจะมี 2 แบบได้แก่ Tyrosinase กับ Peroxidase 

โดยในรายแรกอย่าง Tyrosinase จะหมายถึงรูปแบบการยับยั้งเอนไซม์  ซึ่งการยับยั้งเอนไซม์ตัวนี้จะทำให้ไม่ไปเกินกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานิน ผิวจะดูกระจ่างใสขึ้น

ส่วนอีกหนึ่งรูปแบบอย่าง Peroxidase  จะหมายถึงการยับยั้งเอนไซม์อื่น ๆ ที่สามารถพบได้ในเซลล์มนุษย์  

3.Moisturizing Products ผลิตภัณฑ์เพิ่มความชุ่มชื้น

นอกจากการทำความสะอาดผิว แล้วยังช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใส ผลิตภัณฑ์เพิ่มความชุ่มชื้นก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้ผิวดูขาวใส สวยเปล่งประกายเป็นธรรมชาติ ซึ่งหลาย ๆคนอาจจะเรียกกันติดปากว่า moisturizer หรือ มอยส์เจอไรเซอร์ นั่นเอง ซึ่งเป็นไอเทมที่สาว ๆ ขาดไม่ได้ เพราะว่าจะต้องบำรุงทุกวัน ด้วยคุณสมับิตที่จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับสาว ๆ ด้วย 

4.Anti-aging Products ผลิตภัณฑ์ชะลอวัย

สารต้านอนุมูลอิสระ เป็นอีกหนึ่งส่วนเสริมที่ช่วยลดริ้วรอย ซึ่งแน่นอนว่านี่คือสิ่งที่สาว ๆต้องการกับความหน้าเด็ก หน้าใส ดังนั้นผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจนี้ จึงเหมาะสำหรับคุณผู้หญิงที่อยากจะทำสักครั้งในชีวิต แล้วคุณเองก็จะเปลี่ยนไป สำหรับจุดเด่นของ Anti-aging Products นั้น จะสามารถผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป แต่แค่ไปสร้างผิวใหม่ ให้ดีกว่าเดิมด้วยนั่นเอง นี่แหละคือผลิตภัณฑ์ที่แก้ปัญหาในเรื่องของการช่วยฟื้นฟูผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

5.Antiperspirants & Deodorants Products ผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อและระงับกลิ่นกาย

เห็นแบบนี้ ผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อและระงับกลิ่นกาย จัดเป็นสกินแคร์อย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน เพราะว่าจะช่วยชำระล้างเรื่องกลิ่นกาย พร้อมกับส่งผลให้ผิวไม่เสียด้วย โดยจะมีจุดเด่นที่ให้คนทุกเพศ ทุกวัย ได้พูดถึง กับ สกินแคร์ที่จะเพิ่มความมั่นใจให้กับทุกคน มั่นใจว่าวันเหงื่อออกมาเยอะ แต่กลิ่นตัวก็ยังคงหอมแบบมั่นใจอยู่ 

6.Acne Product ผลิตภัณฑ์สิว

สกินแคร์ที่จะเน้นไปทางการรักษามากกว่าการบำรุง เพราะว่าผู้ที่มีปัญหาสิวนั้น จะต้องใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิว หรือว่าผู้ที่เป็นสิวประจำก็อาจจะต้องใช้สกินแคร์ในกลุ่มนี้  ส่วนประเภทของสิวนั้นก็มีหลากหลายรูปแบบ หลายชนิด ส่วนใหญ่แล้วจะขึ้นอยู่กับผิวหน้าด้วย แต่เมื่อไหร่ที่เป็นสิวก็จะต้องดูแลเป็นพิเศษ การใช้ครีม หรือ สกินแคร์ที่บำรุงผิว ก็จะต้องคิดให้ดีก่อนใช้ เพราะอาจจะแพ้ระคายเคือง เกิดสิวเห่อหนักกว่าปกติได้ 

7.Sunscreen Products ผลิตภัณฑ์กันแดด

สำหรับครีมกันแดด คือพระเอกในเรื่องของการปกป้องผิวแบบ 90% โดยภายในครีมกันแดดจะประกอบไปด้วย เป็นส่วนประกอบของ Inorganic Sunscreens ที่เป็นกลุ่มที่ทำหน้าที่สะท้องแสงกลับไป หรือ ดูดแสงเอาไว้แล้วปล่อยออกมา ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งก็คือ Organic Sunscreens เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่จะทำหน้าที่ดูดซับ หรือ ดูดซึมแสงเอาไว้  แน่นอนเลยว่ายังไงก็แล้วแต่ครีมกันแดด ยังคงมาเป็นอันดับ 1 ในเรื่องของสกินแคร์ที่ปกป้องผิวเป็นด่านแรก ส่วนประเภทอื่น ๆ ก็จะมีความสำคัญเช่นเดียวกัน 


ส่วนผสมที่มักจะอยู่ในสกินแคร์

สกิลแคร์ จะมีส่วนผสมที่ทั้งปลอดภัย รวมทั้งส่วนผสมที่หลาย ๆ คนอาจจะแพ้สารดังกล่าวได้ แน่นอนว่าในช่วงสุดท้ายของบทความนี้ พวกเราจะขอแนะนำกับ ส่วนผสมที่อยู่ในตัวของสกินแคร์ พร้อมกับข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการเลือกใช้ การตรวจสอบสารเคมีในเครื่องสำอาง เป็นต้น ซึ่งนี่คืออีกหนึ่งความรู้ที่คุณเองจะต้องทำความเข้าใจก่อนจะใช้สกินแคร์อย่างจริงจัง โดยมีเรื่องที่คุณเองจะต้องรู้ดังต่อไปนี้

ส่วนผสมที่เสี่ยงแก่การแพ้

ข้อสำคัญสำหรับการเลือกซื้อสกินแคร์ ใครที่ผิวแพ้ง่ายก็จะต้องหลีกเลี่ยงสารอันตรายดังต่อไปนี้ 

  • สารกลุ่มซัลเฟต 
  • สารกันเสีย จะทำให้ผิวของเราระคายเคืองได้
  • น้ำหอม จะทำให้ผิวของเราระคายเคืองได้ 
  • สีสังเคราะห์ 
  • ฟอร์มาลดีไฮด์ 
  • สารปรอท 
  • แอลกอฮอล์ จะทำให้ผิวของเราระคายเคืองได้

ถึงแม้ว่าสารเหล่านี้จะมีส่วนผสมอยู่ในจำนวนที่ไม่มากนัก แต่ทว่าสามารถทำให้เกิดอันตรายต่อตัวเองได้ แต่จะต้องระวังเป็นอย่างมาก เพราะเป็นส่วนผสมที่อาจจะทำให้คุณแพ้ง่ายเช่นกัน 

ส่วนผสมที่สำคัญ

สำหรับสกินแคร์ โดยทั่วไปแล้วจะต้องเรียนรู้ส่วนผสมต่าง ๆ ด้วย ตัวอย่างเช่น ครีมที่ใช้ลดเลือนริ้วรอย จะพบเจอกับสาร Retinol จะช่วยลดเลือดริ้วรอยต่าง ๆ โดยส่วนใหญ่แล้วสร้างจากวิตามินเอ ใน่ส่วนของครีมที่เพิ่มความกระจ่างใส ก็จะมี L-Ascorbic Acid  ส่วนผสมที่สกัดมาจากวิตามินซีมีหลายอย่าง  

สกินแคร์ประเภทครีมกันแดด ก็จะมีค่า ค่า SPF และ PA  ที่สามารถปกป้องผิวจากแสงแดดได้ ซึ่งจะแนะนำค่า SPF ที่ปกป้องผิวเราจากแสง UVB ค่า SPF ที่แนะนำก็คือ 30 ขึ้นไป 


จะเห็นได้เลยว่า สกินแคร์มีอะไรบ้าง ซึ่ง “สกินแคร์” เป็นเหมือนอีกหนึ่งเรื่องที่เล็ก ๆ แต่เมื่อได้ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ จะทำให้คุณกลับมารักสุขภาพผิวมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะเป็นจุดที่ดูแลง่ายก็ตาม แต่ทว่าความบอบบาง รวมทั้งการระคายเคืองที่อาจจะทำให้ผิวของคุณเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงเช่นกัน สำหรับทั้งหมดนี่ก็คือเรื่องราวของ ความหมายของ “สกินแคร์” ที่พวกเราได้รวบรวมมาให้อ่านกันหลายประเภท ซึ่งแต่ละแบบก็ตอบโจทย์สำหรับคนรักสุขภาพทั้งหมด สำหรับในช่วงนี้ทั้งอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย โรคระบาด COVID-19 ยังคงมีผู้ติดเชื้อเรื่อย ๆเช่นเดิม และทั้งหมดนี่ก็คือ เรื่องราวของสกินแคร์ที่พวกเราได้รวบรวมมาพวกเราหวังว่าจะเป็นข้อมูลดี ๆ ให้กับผู้ที่อยากจะหันมาดูแลสุขภาพกันด้วย


อ้างอิงจาก

รู้ไว้ก่อน เลือกใช้ Skincare ให้ตรงกับสภาพผิว – Apex Profound Beauty

มาทางนี้ได้เลยจ้า ใครที่กำลังมองหาสกินแคร์หน้าใส มารู้จัก SKIN CARE กันเถอะ (clivthailand.com)

สกินแคร์ (Skincare) คืออะไร – Thaihealthycare.com

acne

สิวสเตียรอยด์รักษายังไง ให้หายขาดเร็วที่สุด

October 27, 2022
สิวสเตียรอยด์รักษายังไง

สิวสเตียรอยด์รักษายังไง ให้หายขาดเร็วที่สุด

อีกหนึ่งปัญหาผิวหน้า นอกจากกระ ฝ้า หรือ จุดด่างดำแล้ว ปัญหาสิว เป็นอีกเรื่องที่หนักใจมาก เพราะเมื่อเป็นทีไร จะต้องหมั่นดูแลรักษาให้ถูกวิธี ไม่เช่นนั้นแล้วจะหายยาก พร้อมกับทิ้งรอยแผลเป็น หรือ รูขุมขนที่กว้างขึ้นด้วย นับได้ว่าเป็นปัญหาที่จัดการยากที่สุดรูปแบบหนึ่งเลยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่เป็นสิวสเตียรอยด์ จะถูกขนานนามว่าเป็นประเภทที่รักษายากที่สุด สามารถเกิดขึ้นได้หลากหลายรูปแบบ ซึ่งอาการที่เป็น รวมทั้งวิธีการรักษาก็จะต้องแตกต่างกันไปตามชนิดของสิวนั่นเอง แต่ใครที่เป็นสิวประเภทนี้ขอบอกว่าให้ใจเย็น ๆ แล้วเราจะมาหาวิธีแก้ไปด้วยกันในบทความนี้ เพราะพวกเราจะพาไปรู้จักกับสิวแต่ละประเภท รวมทั้งวิธีการรักษา สิวสเตียรอยด์รักษายังไง ที่จะทำให้คุณหายขาดได้เร็วที่สุด พร้อมผิวหน้าที่กลับมาเนียนใส ไร้สิว ได้อีกครั้ง ซึ่งรายละเอียดจะเป็นอย่างไร ติดตามอ่านกันได้ในบทความนี้ 


สิวสเตียรอยด์ เกิดขึ้นได้อย่างไร

สิวสเตียรอยด์รักษายังไง

สาเหตุที่ทำให้เกิดสิว มีได้หลากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นพันธุกรรม สภาพแวดล้อม อาหาร การแพ้สารเคมี  แพ้อาหาร รวมไปถึงความสะอาดของใบหน้า การอุดตันของของรูขุมขน แต่สำหรับ สิวสเตียรอยด์นั้น จะเป็นภาวะที่มีอาการ สิว เกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ จะเกิดกับผู้ที่ได้รับ สารสเตียรอยด์ ติดต่อกันเป็นเวลานานนั่นเอง แต่ก่อนอื่นเลยต้องไปรู้จักกับเจ้าสารสเตียรอยด์กันก่อน เพราะในวงการแพทย์นั้น เจ้าสารชนิดนี้คืออะไร แล้วทำไมถึงได้มีการรับเข้าสู่ร่างกาย 

สำหรับสาร สเตียรอยด์ คือ ชื่อสั้น ๆ ของ ยาในกลุ่ม corticosteroid โดยยาในกลุ่มนี้จะเป็นยาที่มีสรรพคุณในการ ต้านการอักเสบ ได้ทั่วร่างกาย สำหรับในวงการแพทย์นั้น จะนำมาใช้ประโยชน์ในการรักษาอาการอักเสบของร่างกาย หรือ ใช้ในการกดภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยที่ผิดปกติ ซึ่งมีหลากหลายแบบเช่นกัน 


รูปแบบของสาร สเตียรอยด์ มี 3 แบบ

สาร สเตียรอยด์ จะมีรูปแบบด้วยกัน 3 แบบก็คือ แบบฉีด, กิน รวมทั้งการ ทา นั่นเอง ถ้าเกิดว่ามีการใช้สาร สเตียรอยด์ ในปริมาณที่ไม่มากนัก หรือ ไม่ได้ใช้ต่อเนื่องนาน ๆ จะไม่มีผล หรือ อาการข้างเคียงใด ๆ แต่ถ้าหากว่าร่างกายได้รับ สเตียรอยด์ ในปริมาณที่ค่อนข้างสูง อีกทั้งยังต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกายหลายประการด้วยกัน ตัวอย่างเช่น มีอาการบวม มีแผลทางเดินอาหาร ส่งผลให้กระดูกพรุน ต่อมหมวกไตทำงานผิดปกติ ผิวหนังบาง รวมทั้ง การเป็นสิว หรือ เป็นผื่นด้วย 

ประโยชน์ของสาร สเตียรอยด์ ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ดี และ ไม่ดี เพราะถ้าใช้รักษาในบางโรค หรือ อาการเจ็บป่วยบางอย่าง จะช่วยให้ได้ผลดีต่อโรคนั้น แต่ถ้าหากว่าได้รับสารชนิดนี้ต่อเนื่องกันไปนาน ๆ ก็จะมีผลข้างเคียงตามมาได้ ส่วนเรื่องของ สิวสเตียรอยด์ ก็มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้เพราะการรับสารชนิดนี้มากเกินไปนั่นเอง


ผลิตภัณฑ์ผสมสเตียรอยด์แบบทา

ด้วยกระแสนิยมในเรื่องของ ผิวสวย ผิวขาว มาแรงเป็นอย่างมาก เพราะส่วนใหญ่แล้ว คุณผู้หญิง หรือ คุณผู้ชายที่หันมาดูแลตัวเอง ก็อาจจะตกเป็นเหยื่อของครีมเถื่อน ที่ไม่ผ่าน อย. รวมไปถึง ครีมหน้าใส สบู่ล้างหน้า ครีมกันแดด และ ยารักษาสิว โดยทางผู้ผลิตอาจจะมีการแอบผสม สเตียรอยด์แบบชนิดทา ใส่ในผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ซึ่งใช้ตอนแรกก็จะเห็นผลดี ผิวขาวเร็ว หน้าใส ไร้สิว แต่รู้หรือไม่ว่า เมื่อใช้เป็นเวลานานจนสาร สเตียรอยด์ เข้าไปสะสม จึงทำให้เกิดผลข้างเคียงตามมาได้ นี่แหละคือต้นเหตุส่วนใหญ่ที่สาว ๆ หลายคนเกิดปัญหาเรื่องของ “สิวสเตียรอยด์”


อาการและประเภทของ สิวสเตียรอยด์

สิวสเตียรอยด์รักษายังไง

สำหรับอาการของสิวสเตียรอยด์  จะมีผื่นคล้ายสิว มีหลายแบบ แต่มีอาการโดยรวมที่ทำให้ต้องหาทางรักษาคือ ตุ่มแดง ตุ่มหนอง มีอาการคัน โดยถูกแบ่งประเภทของสิวสเตียรอยด์ได้ดังต่อไปนี้ 

  • สิวสเตียรอยด์ สิวแท้ : เริ่มต้นกันด้วยสิวแท้ ซึ่งจะหมายถึง สิวที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขน แต่กลไกการเกิดสิวนั้น จะต่างจากสิวโดยทั่วไป เพราะว่าจะเกิดจากการที่มีน้ำมันอุดตันอยู่ในรูขุมขนมากเกิน บวกกับมีสิ่งสกปรกอุดตันที่ผิว เกิดรวมขึ้นเป็น คอมิโดน หรือ สิวอุดตัน หลังจากนั้นก็ขยายขึ้นเป็นหัวสิวขนาดเล็ก หรือ ใหญ่ ได้หลายแบบ รวมทั้งถ้าหากมีเชื้อแบคทีเรียที่มากเกินไป ก็จะกระตุ้นกลายเป็นสิวอักเสบ มีอาการบวมได้ แต่ทว่า สิวสเตียรอยด์จะเริ่มเกิดจากการอักเสบของเซลล์บุรูขุมขนพร้อมกัน รวมทั้ง ของเสียก็ถูกขับออกมารวมกับน้ำมัน ทำให้เกิดการอุดตัน จึงเกิดเป็นสิวสเตียรอยด์ขึ้น ด้วยการเกิดสิวที่ต่างกันนี้ จึงทำให้สิวสเตียรอยด์นั้น แตกต่างจากสิวทั่วไปอยู่ตรงที่ มีลักษณะเป็นปื้น เป็นกระจุก ประทุทุกรูขุมขน โดยทุกเม็ดจะดูคล้ายกันขนาดเท่ากัน ไม่ได้ขึ้นกับระยะสิว จะต่างจากสิวปกติ ที่จะมีหัวเปิด หัวปิด รวมทั้งขนาดปะปนกันขึ้นกับระยะของสิวด้วย นี่แหละคือข้อแตกต่างที่ สิวสเตียรอยด์ ทำร้ายผิวได้มากกว่า สิวทั่วไป
  • สิวเทียม หรือ รูขุมขนอักเสบจากเชื้อรา : สำหรับสิวประเภทนี้จะถูกเรียกได้อีกหลายชื่อ ไม่ว่าจะเป็น สิวยีสต์ หรือ สิวเชื้อรา หรือ สิวเทียม โดยจะมีลักษณะคล้ายสิว ที่กลไกเกิดจากากรที่สเตียรอยด์ไปกดภูมิคุ้มกันที่ผิวหนังจึงเสียสมดุล ซึ่งโดยปกติแล้วเราจะมีเชื้อนี้ที่ผิวกันอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่ทำให้มีอาการผิดปกติก็จะไม่เกิดอะไรขึ้น แต่ถ้ามีการเติบโตที่เพิ่มมากขึ้นเกินความจำเป็น จะกระตุ้นให้รูขุมขนอักเสบ และ ติดเชื้อได้ สำหรับบางรายอาจจะมีอาการรูขุมขนอักเสบร่วมด้วย ตัวอย่างเช่น มีตุ่มนูนแดง ตุ่มหนอง รวมทั้งมีอาการคันร่วมด้วย
  • ภาวะโรซาเซียจาก สเตียรอยด์ : สำหรับภาวะนี้คือสิวอีกรูปแบบหนึ่ง แต่ถูกเรียกว่าเป็นภาวะ โรซาเซียจาก สเตียรอยด์ แทน โดยจะมีลักษณะอาการคือ เป็นตุ่มนูนแดง ตุ่มหนอง คล้ายรูขุมขนอักเสบ แต่ตุ่มนั้นจะมีขนาดใหญ่กว่า ซึ่งจะเกิดบริเวรตำแหน่งหัวคิ้ว รอบจมูก รวมทั้งรอบริมฝีปาก อีกทั้งจะมีอาการผิวแดงขึ้น เวลาอากาศร้อนก็จะมีอาการคันร่วมด้วย โดยบางครั้งก็จะเห็นเป็นริ้วของเส้นเลือดฝอยร่วมด้วย ซึ่งสาเหตุของการเกิดภาวะนี้ก็คือ การใช้สเตียรอยด์ ทำให้ภูมิคุ้มกันที่ผิวหนังเสียสมดุล เชื้อไรรูขุมขน ที่เรียกว่า Dermodex มีการเติบโตมากเกินไป นอกจากนั้น การใช้สเตียรอยด์ยังทำให้มีการสร้างเส้นเลือดฝอยบนผิวหนังมากขึ้น จึงทำให้มีอาการของโรซาเซียเกิดขึ้นนั่นเอง

สำหรับประเภทของสิวทั้ง 3 แบบนี้ ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ส่วนใหญ่แล้วอาจจะเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติได้เพียง สิวแท้ หรือ สิวเทียม ดังนั้นแล้ว ในผู้ใช้สารสเตียรอยด์ จะมีโอกาศเกิดขึ้นในรูปแบบของสิวที่อาจจะรุนแรง เป็นหนอง อักเสบ โดยเกิดจากการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีสารอันตรายชนิดนี้ผสมอยู่ ดังนั้นแล้วเราจะต้อง สังเกต ศึกษา เรื่องเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่จะใช้งานอย่างละเอียด ก่อนการซื้อ และ ก่อนการใช้งานด้วย 


ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมสเตียรอยด์ สังเกตได้อย่างไร

สาเหตุหลักของสิวสเตียรอยด์ เกิดจากการที่ร่างกายได้รับสเตียรอยด์มาเป็นเวลานาน รวมทั้งเป็นผลข้างเคียงที่อันตรายมาก เพราะเมื่อเกิดสิวชนิดนี้อาจจะทำให้ใบหน้าของคุณกว่าจะกลับมาเรียบเนียนได้อีกครั้งนั้นค่อนข้างที่จะต้องใช้เวลานาน รวมทั้งความอดทนในการรักษาด้วย อย่างไรก็ตามเราจะต้องเริ่มต้นด้วยการเฝ้าระวังการใช้ครีมบำรุงผิว ครีมกันแดด ที่มีส่วนผสมของสารอันตรายนี้ ด้วยวิธีการสังเกตดังต่อไปนี้ 

  • แหล่งที่มาของครีม เช่น ครีมที่ขายใน Facebook, Instagram รวมทั้ง โลกออนไลน์ทุกชนิด ครีมกันแดด เซรั่ม มาร์คหน้า รวมไปถึง สบู่ที่อวดอ้างว่าแก้สิว ผิวขาว หน้าใส อื่น ๆอีกมากมาย ที่ดูแล้วไม่มีการรับรอง 
  •  มีการโฆษณาสรรพคุณว่าเห็นผลครั้งแรกที่ใช้ เห็นผลในขวดเดียว เห็นผลใน 7 วัน บอกเลยว่าคำเหล่านี้อันตราย 
  • มีการอวดอ้างว่าช่วยทุกอย่าง หน้าใส ลดสิว ลดฝ้า ในขวดเดียว ขวดเดียวนี่เกินไป 
  • การรีวิวของสินค้า ก่อนใช้ กับ หลังใช้ ที่ดูไม่น่าเชื่อถือ 
  • ครีมในอินเตอร์เน็ต บอกว่ามี อย. แต่ก็ต้องพึงระวังเพราะตอนที่จด อย.อาจจะใช้ส่วนผสมอีกแบบหนึ่ง เจ้าหน้าที่ไม่ได้ตรวจทุกล็อตการผลิต ต้องระวังขั้นสูงสุด 

ทั้งหมดนี่เป็นเพียงข้อสังเกตเบื้องต้น ซึ่งในปัจจุบันก็อาจจะยังพบเห็นได้อยู่ในโลกโซเชียลมีเดีย รวมทั้งการขายทางออนไลน์ทั่วไป นอกจากสารอันตรายอย่างสเตียรอยด์นั้น อาจจะยังพบสารชนิดอื่นที่โรงงานผลิตอาจจะผสมเข้ามาเพิ่ม ซึ่งต้องบอกเลยว่ามีข่าวในการจับกุมครีมผสมสารอันตรายอยู่บ่อยครั้งเหมือนกัน ดังนั้นต้องระวังขั้นสูงสุด ดังนั้นครีม หรือ ผลิตภัณฑ์ที่ควรซื้อ ควรจะมีข้อมูลดังต่อไปนี้

  • เป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์ที่มีความน่าเชื่อถือ พร้อมทั้งซื้อจากร้านขายยา หรือ ร้านขายเครื่องสำอางชื่อดังในห้างสรรพสินค้า 
  • การซื้อผ่านทางอินเทอร์เน็ต จะต้องเป็นเว็บไซต์ทางการของแบรนด์นั้น เพราะจะเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือมากที่สุด 

รู้ได้อย่างไรว่าซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีสเตียรอยด์ผสม

การระบาดของครีมเถื่อน หรือ ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ สเตียรอยด์นั้น มีมากมายจนยากมากที่จะจับได้ทันควัน แต่อย่างไรก็ตามยังมีคนที่หลงเชื่อ รวมทั้งสั่งซื้อมาใช้งาน ถ้าหากว่าคุณเองสงสัยว่าผลิตภัณฑ์ที่ซื้อมานั้นมีส่วนผสมของ สเตียรอยด์หรือไม่ จะมีหลักสังเกตได้ดังต่อไปนี้ 

  • จะมีความรู้สึกว่า สิวหายเร็ว ฝ้าจางได้เร็วกว่าปกติ ซึ่งโดยปกติแล้วถ้าเป็นการทายารักษาสิว หรือ ฝ้าโดยทั่วไป จะใช้เวลาเฉลี่ยอย่างน้อยประมาณ 2 สัปดาห์ อาการจะเริ่มดีขึ้นตามลำดับ หรือ จะใช้เวลากว่า 1-2 เดือนเลยทีเดียวกว่าจะเห็นผล แต่ถ้าเพียงไม่กี่วันนั่นจะต้องสงสัยเอาไว้เลยว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้ต้องมีส่วนผสมอื่นปนอยู่แน่
  • สำหรับข้อนี้จะเหมือนกันกับข้อแรกคือ หน้าตาจะใส่ผิดปกติ เห็นผลเร็วภายใน 5-7 วัน ผมผื่นต่าง ๆก็ยุบ ผิวเนียน เปลี่ยนไปจากเดิม ภายใน 3 วันเท่านั้น
  • อีกหนึ่งข้อสังเกตคือ เมื่อใช้ไปสักพักหน้าจะเริ่มใส จนเห็นเส้นเลือด หรือ มีไรขนขึ้นที่บริเวณหน้า แล้วมีสิวเริ่มขึ้นมา 
  • สำหรับในบางรายนั้น เมื่อใช้เป็นประจำจะไม่มีปัญหาใด แต่เมื่อหยุดใช้สิวก็จะบุก หรือ มีผดผื่นขึ้นบนใบหน้า 
  • เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์มาแล้ว ก็ยังมีวิธีทดสอบด้วยการตรวจกับชุดทอสอบสเตียรอยด์ ได้เช่นกัน 

อย่างไรก็ตามผิวหน้า หรือ ผิวกายที่ได้รับการบำรุงจากผลิตภัณฑ์ หรือ เครื่องสำอางต่าง ๆ ก่อนที่เราจะซื้อ หรือ ใช้งาน ก็จะต้องมีการตรวจสอบอย่างชัดเจน ไม่เช่นนั้นแล้วจะเกิดผลร้ายกันตัวเองได้ แต่ถ้าใครที่พลาดไปใช้งานผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ จนเกิดผลข้างเคียงอย่าง สิว หรือ ผดผื่น ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น ต้องเข้าสู่กระบวณการรักษาให้ถูกต้องตามขั้นตอน ซึ่งจะต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ผิวหนัง พร้อมทั้งความอดทนที่จะต้องผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายไปให้ได้ 


สิวสเตียรอยด์รักษายังไง

สิวสเตียรอยด์รักษายังไง

สำหรับทุกปัญหานั้นมีทางออกเสมอ เมื่อคุณ หรื่อ คนใกล้ตัวของคุณเป็นสิวสเตียรอยด์ หรือ มีปัญหาสิวทั่วบริเวณใบหน้า ควรให้กำลังใจ พร้อมทั้งช่วยกันหาทางแก้ไข เพราะว่าสิวชนิดนี้สามารถรักษาให้หายขาดได้ พร้อมหน้าตาที่กลับมาสดใสเช่นเดิม เพียงแต่จะต้องใช้ความอดทน วินัย ในการดูแลรักษาหน้า โดยมีวิธีการรักษาดังต่อไปนี้ 

เลิกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ สเตียรอยด์ 

เมื่อเราพบว่ามีสิวขึ้น หรือ คิดว่าเป็นผลข้างเคียงจากผลิตภัณฑ์ที่ใช้ดูเหมือนจะมีสารสเตียรอยด์ผสมอยู่ ให้หยุดใช้ผลิตภัณฑ์นั้นทันที หลังจากที่หยุดใช้แล้วนั้น จะมีอาการสิวเห่อมากขึ้น มีผื่นขึ้น อาการจะแย่ลง แต่ทว่าวิธีรักษาคือวิธีนี้แหละ ที่จะต้องปล่อยให้ความอดทนที่มีใช้ในจุดนี้ อีกทั้งห้ามเด็ดขาดที่จะไปซื้อผลิตภัณฑ์รักษาผิวมาใช้ด้วยตัวเอง เพราะเราเองยังไม่รู้เลบยว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีส่วนผสมของสเตียรอยด์ หรือ สารตัวใด ถ้ายิ่งใช้ยารักษา ก็อาจจะเป็นหนักมากกว่าเดิม 

รักษาสิวสเตียรอยด์ ด้วยตัวเอง

ต่อจากวิธีแรก เมื่อยังไม่สะดวกที่จะไปพบแพทย์ หรือ ยังมีอาการที่ไม่รุนแรงมาก ขอแนะนำให้ใช้ยารักษาด้วยตัวเอง ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 

  • เลือกการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดูแลผิวหน้าทุกชนิดจะต้องใช้สูตรที่ไม่มีส่วนผสมของ AHA BHA โดยมีผลิตภัณฑ์ตั้งแต่สบู่ล้างหน้า ครีมบำรุง ที่เป็นสูตรอ่อนโยนต่อผิว เพราะส่วนผสมของไวท์เทนนิ่ง อาจจะทำให้ระคายเคืองผิวได้ รวมทั้งทำให้หน้าแห้งลอกมากขึ้น แต่เลือกส่วนผสมของสารเพื่มความชุ่มชื้น เช่น Alovera Vitamin E Ceramide
  •  ใช้ยาทากลุ่มรักษาสิวบางชนิดที่มีตามร้านขายยา ตัวอย่างเช่น ยา Benzac หรือ Clinda M แต่ทว่าก่อนที่จะใช้ต้องมั่นใจว่าผิวของเรานั้น ไม่แพ้ง่าย เพราะถ้าแพ้ง่ายก็จะมีอาการระคายเคืองขึ้นไปอีก 
  • การรักษาสิว สเตียรอยด์ นั้น ผู้ที่รักษาตัวจะต้องเข้าใจว่า เป็นอาการที่ใช้ระยะเวลาการรักษายาวนานมาก อย่างน้อยประมาณ 3 เดือน ถึงจะเห็นผล หรือ ดีขึ้น ต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมาก 
  • ในกรณีที่มี สิวสเตียรอยด์ รุนแรงมาก คือ มีสิวเห่อเต็มหน้า มีหนอง มีตุ่มปริมาณมาก จะมีอาการคันร่วมด้วย ซึ่งจะมีคำแนะนำที่สำคัญคือ ให้แพทย์ช่วยวินิจฉัยอาการ จะได้วางแผนการรักษาอย่างถูกต้อง

รักษาสิวสเตียรอยด์ โดยแพทย์

สำหรับวิธีการรักษา สิวสเตียรอยด์โดยแพทย์นั้น จะมีวิธีการรักษาได้หลายวิธี ซึ่งนั่นก็จะแบ่งออกไปตามความรุนแรงของอาการคนไข้แต่ละราย ซึ่งจะมีความแตกต่างกัน โดยคำแนะนำของแพทย์จะมีด้วยกันดังนี้

  • รักษาโดยใช้ยาชนิดทา จะทำให้ละลายหัวสิว ฆ่าเชื้อสิว 
  • ผลิตภัณฑ์อื่น ที่เหมาะกับสภาพผิว ตัวอย่างเช่น สบู่ล้างหน้า ครีมบำรุง ครีมกันแดด 
  • รักษาโดยการให้ยา ลดการทำงานของต่อมไขมัน ยาฆ่าเชื้อต่าง ๆ เพื่อลดสิว 
  • มีการรักษาเสริม เพื่อให้มีประสิทธิภาพการเห็นผลเร็วขึ้น ตัวอย่างเช่น การกดสิว ทรีทเมนท์ลดสิว เลเซอร์ ฉายแสง 

ซึ่งการดูแลของแพทย์นั้นก็จะแตกต่างกันไปด้วย เพราะว่ากลุ่มรักษาสิวสเตียรอยด์นั้นมีหลายกลุ่ม ซึ่งจะขึ้นอยู่กับว่า สิวชนิดนั้น เป็นสิวแท้ หรือ สิวยีสต์ โดยจะให้ยารักษาตามอาการรวมทั้งเป็นยาที่ปลอดภัย เพราะได้รับการตรวจสอบโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรียบร้อยแล้ว 


ทุกคำถาม เกี่ยวกับการรักษา 

สำหรับการรักษาสิวสเตียรอยด์ นั้น จะมีคำถามที่หลากหลายมากจากผู้ที่เข้ารับการรักษา เพราะมีความกังวลใจ รู้สึกไม่ไว้ใจ เพราะเคยพลาดใช้ครีมที่มีสารอันตราย หรือ การระคายเคืองมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ทุกคำตอบต่อจากนี้จะทำให้คุณสบายใจได้อย่างแน่นอน 

1.ระยะเวลารักษา สิวสเตียรอยด์ 

การรักษาสิว สเตียรอยด์ นั้นส่วนใหญ่แล้วจะใช้เวลานานมากกว่าสิวทั่วไป เนื่องจาก สิวชนิดนี้จะมีสาเหตุภูมิคุ้มกันที่น้อยลง ผิวก็ยังไม่แข็งแรง ทำให้การรักษา จะต้องใช้เวลาในการปรับตัว ปรับยา ให้ผิวกลับมาฟื้นตัวแข็งแรงเต็มที่ ส่วนระยะเวลาของการรักษานั้น จะขึ้นอยู่กับว่าเราได้ใช้ผลิตภัณฑ์ ที่มีสารสเตียรอยด์มานานเท่าไหร่ โดยปกติแล้ว การรักษาจะอยู่ที่เริ่มต้น 3 เดือน ไปจนถึง 6 เดือน และ 1 ปี

2.ตอบคำถามเรื่องการกดสิวสเตียรอยด์ 

การรักษาแบบเสริมอย่างหนึ่งที่ถูกพูดถึง นั่นก็คือ การกดสิว ซึ่งในกรณี สิวสเตียรอยด์นั้น จะต้องเป็นสิวชนิดสิวอุดตัน แบบมีหัวสิว ซึ่งจะช่วยให้การรักษาสิวแบบนี้เร็วมากขึ้น แต่ทว่า การกดสิวนั้น จะต้องดูแลโดยแพทย์ หรือ ผู้เชี่ยวชาญ เพราะควรทำอย่างถูกวิธี ปลอดเชื้อ ถึงจะปลอดภัย 

ซึ่งการกดสิวในรูปแบบที่ไม่ถูกวิธี หรือ แบบไม่ปลอดเชื้อนั่น จะยิ่งมีความเสี่ยงให้ผิวหนังจากเดิมที่ไม่แข็งแรง มีภูมิคุ้มกันผิวที่ไม่ดีตามไปด้วยนั่นเอง อีกทั้งยังเสี่ยงติดเชื้อง่ายกว่าปกติ สามารถเกิดการอักเสบ ลุกลามขึ้นได้ รวมไปถึงการทิ้งรอยแผลเอาไว้นานกว่าเดิมด้วย 

3.ควรรักษาสิวสเตียรอยด์ ได้ที่ไหน 

สำหรับการรักษาสิว ซึ่งเกี่ยวกับผิวหน้าโดยตรง คุณจะต้องเลือกสถานที่อย่าง คลินิก หรือ โรงพยาบาล ที่ได้รับการรับรอง มีความน่าเชื่อถือ มีชื่อเสียง ถึงแม้ว่าจะมีค่ารักษาพยาบาลที่ค่อนข้างสูง แต่ถ้าการันตีว่าหาย หรือ ให้ผิวหน้าดีขึ้น ก็นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกได้เช่นกัน 

ดังนั้นแล้ว ควรปรึกษาในกลุ่มเพื่อน หรือ ในกลุ่มที่เคยเป็นสิวสเตียรอยด์ด้วยกัน จะได้รับคำแนะนำดี ๆ เกี่ยวกับสถานที่รักษา แต่อย่าลืมเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย ราคา และ ความใส่ใจของแพทย์ เพราะว่าจะต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง การดูแลที่มีมาตรฐานที่ดี จึงเป็นคลินิกที่ไม่ควรจะมองข้ามไป 


ทั้งหมดนี่คือเรื่องของ สิวสเตียรอยด์รักษายังไง สิว ที่ไม่สิวเลยแม้แต่น้อย เพราะถ้าเกิดว่าใครเคยเป็นสิวสเตียรอยด์ จะทราบดีว่ามันจะมีความรู้สึกเป็นอย่างไร ดังนั้นแล้ว ใครที่กำลังคิดที่จะใช้ครีมราคาถูก แต่มีการรีวิวที่ดี โฆษณาชวนเชื่อ หรือ แม้กระทั่งการหลอกขายผลิตภัณฑ์เถื่อนบนโลกออนไลน์ ก็จะต้องระวัง เช็คให้ดี ไม่เช่นนั้นแล้วผิวหน้า หรือ ผิวกายของคุณจะได้รับสารอันตรายอย่างสเตียรอยด์เข้าไป ซึ่งถ้ายิ่งเข้าไปในปริมาณที่มากก็จะยิ่งส่งผลเสียให้ร่างกายมากเท่านั้น สำหรับใครที่เป็นสิวชนิดนี้อยู่ไม่ต้องเป็นกังวล เพียงแค่ใช้ความอดทน รวมทั้งวินัยในการทานยา หรือ ทายา ใบหน้าที่สวยงามของคุณ จะกลับมาสวยงามได้อีกครั้งอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ คุณจะต้องมีความมุ่งมั่น มีเป้าหมาย ทำตามแผนการรักษาอย่างต่อเนื่อง ห้ามใช้ทางลัดอื่น ๆ ที่ดูไม่เหมาะสม ไม่อย่างนั้นแล้วใบหน้าของคุณอาจจะต้องมีรอยแผล และ เสียโฉมไปตลอดกาล สุดท้ายนี้ขอเป็นกำลังใจให้สำหรับผู้ที่กำลังต่อสู้กับ สิวแพ้สาร หรือ สิวสเตียรอยด์ ขอให้สภาพผิวหน้า หรือ ผิวกาย กลับมาสู่ภาวะปกติ 


Credit:

สิวสเตียรอยด์คืออะไร มีวิธีการดูแลอย่างไร – Eucerin

สิวสเตียรอยด์ เป็นยังไง รู้ก่อนรู้ไว รักษาหายขาดได้ ไขปัญหาโดย หมอรักษาสิว – คลินิกรักษาสิว ดูแลผิวพรรณ และ ความงามครบวงจร โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ (kanwaraclinic.com)

skin

วิธีรักษาฝ้ากระให้หายขาด บอกลาปัญหาผิวที่กวนใจสาว ๆ มากที่สุด

September 14, 2022
วิธีรักษาฝ้ากระให้หายขาด

วิธีรักษาฝ้ากระให้หายขาด บอกลาปัญหาผิวที่กวนใจสาว ๆ มากที่สุด

ฝ้า หรือ กระ เป็นอีกหนึ่งปัญหาผิวที่กวนใจเหล่าสาว ๆ มากที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นอีกหนึ่งอุปสรรค บดบังความสวยงาม พร้อมทั้งปัญหาเรื่องการแต่งหน้า ที่จะต้องยากขึ้นมากกว่าเดิมด้วย แต่ทว่าวิธีรักษา หรือ วิธีดูแลผิว ก็มีหลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นวิธีการทางธรรมชาติ หรือ การใช้ครีมลดฝ้า กระ รวมไปถึงการดูแลผิวในแบบฉบับที่ต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะเห็นผล หรือ บางคนจะต้องเสียเงินไปทำเลเซอร์ ในคลินิกเสริมความงาม วันนี้มีหลายรูปแบบ แต่ถ้าจะรักษาให้หายขาด บอกเลยว่าคุณเองก็ทำได้ ซึ่งวันนี้พวกเราจะพาไปรู้จักกับปัญหาผิวที่พูดถึงอยู่นี้ ทั้งสาเหตุ วิธีรักษาฝ้ากระให้หายขาด พร้อมทั้งเผยเคล็ดลับการดูแลผิวหน้า ผิวกาย ให้ดูสวยสดใส อย่างสม่ำเสมอ ติดตามอ่านกันได้ในบทความนี้


ฝ้า กระ เกิดขึ้นได้อย่างไร

ปัญหาเรื่องผิวหน้า เป็นอะไรที่ค่อนข้างลำบากใจสำหรับสาว ๆ ที่รักสวย รักงาม หรือ ดูแลผิวหน้าอย่างสม่ำเสมอ แน่นอนเลยว่า ฝ้า หรือ กระ มักจะเป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญ ที่ทำให้คุณหนักใจ ก่อนอื่นเลยต้องขอบอกสาเหตุของการเกิดฝ้า พร้อมทั้งประเภทของฝ้า จะมีดังต่อไปนี้

การเกิดฝ้า

วิธีรักษาฝ้ากระให้หายขาด

ฝ้า Melasma จะเกิดจากปัญหาผิวหน้าที่มีเซลล์เม็ดสีใต้ชั้นผิวหนัง หรือ เม็ดสีเมลานินทำงานผิดปกติ ซึ่งจะมีสาเหตุหลักที่ทำให้เม็ดสีทำงานผิดปกตินั่นก็คือ “รังสียูวี” หรือ “แสงแดด” นั่นเอง เมื่อเม็ดสีเมลานินที่ทำหน้าที่กรองรังสียูวี จากแสงแดด ได้รับแสงแดดมากเกินไป ตัวของเมลานินจึงต้องป้องกันผิวด้วยการผลิตออกมามากขึ้น จึงเกิดเป็นฝ้า ที่มีลักษณะสีดำอมน้ำตาล อาจจะเข้มกว่าสีผิว หรือ อาจจะขึ้นเป็นแถบ หรือ ปื้น บริเวณใบหน้านั่นเอง โดยส่วนที่เกิดขึ้นบ่อยก็คือ โหนกแก้ม รวมทั้งบริเวณอื่น เช่น หน้าผาก จมูก เหนือคิ้ว และ ริมฝีปากด้วย โดยฝ้าที่เกิดขึ้นบริเวณใบหน้า จะแบ่งเป็น 4 ประเภทก็คือ 

  • ฝ้าแบบลึก จะมีลักษณะ สีน้ำตาล อมฟ้า จะอยู่ในระดับที่ลึกกว่าผิวหนังกำพร้า พร้อมทั้งความลึกจะทำให้เกิดสีออกมาเป็นสีน้ำตาลอมฟ้า หรือ อมม่วง จัดได้ว่าอยู่ในประเภทที่รักษาได้ยากแล้ว 
  • ฝ้าแบบตื้น จะมีลักษณะเป็นสีน้ำตาล มีขอบชัด จะอยู่ในระดับผิวหนังกำพร้า หรือ ผิวหนังชั้นนอก การรักษายังทำได้ง่ายอยู่ แต่ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน 
  • ฝ้าผสม จะเป็นฝ้าแบบตื้น กับ แบบลึก ผสมกัน ซึ่งจะพบเจอได้มากที่สุดในผู้ที่พบเจอปัญหาเรื่องฝ้าบ่อย
  • ฝ้าที่แยกไม่ได้ ในลักษณะนี้จะแยกฝ้าออกไม่ได้ว่าเป็นฝ้าแบบลึก หรือ แบบตื้น แต่ก็จะพบในหมู่คนผิวสีซะส่วนใหญ่ โดยจะแบ่งออกเป็น ฝ้าแดด กับ ฝ้าเลือด 

จะเห็นได้ว่าประเภทของฝ้าที่หลากหลาย เกิดขึ้นได้หลายกรณี ตัวอย่างเช่นบางรายก็เพิ่งจะเริ่มเป็น ส่วนบางรายเริ่มเป็นแล้วไม่ได้รักษาทันที ก็จะทำให้จัดอยู่ในลักษณะฝ้าลึก ซึ่งรักษาได้ยาก 

การเกิด กระ

วิธีรักษาฝ้ากระให้หายขาด

การเกิด กระ จะแตกต่างกันคือ ลักษณะของกระ จะเป็นจุดเล็ก ๆ สีน้ำตาลอ่อน กระจายตัวอยู่ตามผิวหนังส่วนต่าง  ๆ ของร่างกาย สาเหตุก็คือ เกิดจากที่เซลล์สร้างเม็ดสี หรือ เมลานิน ทำงานผิดปกติ จึงเกิดการสร้างเม็ดสีมากขึ้น เกิดเป็นริ้วรอย พร้อมกับจุดด่างดำเล็ก ๆอีกด้วย นอกจากนั้นแล้วยังมีอีกหลายเหตุผลเลยที่ทำให้เกิด “กระ” ซึ่งมีดังต่อไปนี้ 

  • พันธุกรรม เป็นสิ่งที่ลูกหลานจะหนีไม่พ้น เพราะการสืบทอดทางพันธุกรรม ก็มักจะตามมาหลายโรค ซึ่งมีโอกาสเกิด กับ ไม่มีโอกาสเกิดก็เป็นไปได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าโดนแสงแดดมากน้อยเท่าไหร่ แต่ถ้ามีเชื้อที่จะเกิด “กระ” ยังไงก็มีโอกาสที่จะเป็นแน่นอน
  • สาเหตุเรื่องอายุ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน เพราะอายุที่มากขึ้นทุกปี สำหรับวัยทำงาน เข้าสู่วัยทอง และ วัยชรา เรื่องการเกิดกระ จะดูเป็นเรื่องปกติไปเลยในทันที อีกทั้งมีโอกาสที่เป็น “กระเนื้อ” ที่มีสีเข้ม มีลักษณะนูนขึ้นด้วย 
  • สภาพแวดล้อม แสงแดด การเกิดกระ จะมาพร้อมกับ ฝ้า ซึ่งเกิดจากสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี เช่น มีมลพิษ สารเคมี หรือ อาการที่ร้อนจัด การแพ้เหงื่อ หรือ แพ้ฝุ่น ทุกสาเหตุเกิดขึ้นได้ อีกทั้งการได้รับรังสียูวี จากแสงแดดอยู่บ่อย ๆ ก็ทำให้เกิดกระได้เช่นเดียวกัน 

ความแตกต่าง ระหว่าง ฝ้า และ กระ 

ถ้าอ่านมาถึงจุดนี้จะเข้าใจได้ว่า ความแตกต่างของฝ้า กับ กระ จะมีลักษณะที่แตกต่างกันได้อย่างชัดเจน โดยทางตัวของฝ้า จะมีลักษณะเป็น สีดำอมน้ำตาล อาจจะเข้มกว่าสีผิว หรือ อาจจะขึ้นเป็นแถบ หรือ ปื้น บริเวณใบหน้า เกิดขึ้นได้จากการรับรังสียูวี หรือ แสงแดดที่มากเกินไป 

ส่วนทางด้านของ การเกิด “กระ” มีลักษณะเป็นจุดเล็ก ๆ กลม ๆ ทั่วไปหน้ากระจายกัน มีสีน้ำตาลอ่อน ขอบชัดเจน ส่วนการเกิดก็จะมีด้วยกันหลายสาเหตุ เริ่มจากการถูกแสงแดดมากเกินไป รวมทั้งปัจจัยสภาพแวดล้อม สารเคมี ที่สำคัญ การเกิดขึ้นจากพันธุกรรม หรือ อายุที่มากขึ้น ก็ทำให้เกิดกระด้วยเช่นเดียวกัน นี่แหละคือข้อแตกต่าง


วิธีรักษาฝ้า

วิธีรักษาฝ้ากระให้หายขาด

การรักษาฝ้าทำได้ แต่สิ่งที่ทำไม่ได้ก็คือ การรักษาให้หายขาด ไม่กลับมาเป็นอีกครั้งนั้นยังทำไมได้ แต่ถ้าจะทำให้จางลงนั้น สามารถทำได้ โดยฝ้าที่เกิดจากฮอร์โมน ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ หรือ การทานยาคุมกำเนิด หรือ ได้รับการรักษาด้วยการใช้ฮอร์โมน ซึ่งการรักษาฝ้านั้นจะต้องค่อยทำไปทีละขั้นตอน ถึงจะเห็นผลชัดเจน โดยมีการรักษาดังต่อไปนี้

  • การรักษาด้วยการใช้ยา จะเป็นการใช้ยาในรูปแบบของครีมรักษาฝ้า ส่วนผสมที่จะช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสี ตัวอย่างเช่น ยากรดวิตามินเอ กับ ยาในกลุ่มทรานิซามิก จะเป็นครีมที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ ซึ่งจะช่วยให้ ฝ้าลดลง แต่ทว่าครีมไวท์เทนนิ่งในแบบอื่น ๆ ก็ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ เพราะอาจจะทำให้ระคายเคืองต่อผิวได้ 
  • การรักษาด้วยเลเซอร์ผลัดเซลล์ผิวหนัง นับได้ว่าเป็นการรักษาฝ้าแบบด่วน เห็นผลเร็ว ได้รับความนิยม แต่ทว่าผลของการรักษายังไม่แน่นอน เพราะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลที่จะหาย บางรายแค่จางลง แต่ไม่มากนัก 
  • รักษาฝ้า ด้วยสมุนไพร วิธีธรรมชาติ เป็นอีกหนึ่งทางแบบง่าย ๆ ในการผลัดเซลลืผิวหนัง กับ สมุนไพรที่มีคุณสมบัติผลัดเซลล์ผิว แต่ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ถ้าหากทำบ่อย ผิวก็จะแพ้ง่ายด้วย ต้องระวัง
  • รักษาด้วยการฉีดวิตามินผิว หรือ การฉีดเมโสหน้าใส การรักษาด้วยวิธีแบบนี้ จะช่วยให้ผิวของคุณไม่คล้ำเสียง่าย รวมไปถึง ฟื้นฟูผิวในจุดที่เสียไป ลดการเกิดเม็ดสีเมลานิน ให้ผิวขาวกระจ่างใส เสริมสร้างคอลลาเจน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว ดูเป็นธรรมชาติ 

วิธีรักษากระ

วิธีรักษาฝ้ากระให้หายขาด

ก่อนที่จะทำการรักษากระ จะต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ตัวเรานั้นเกิดกระในระยะไหน ซึ่งมีตั้งแต่การรักษากระแบบตื้น,แบบลึก หรือ กระแดด เพราะแต่ละแบบถ้าจะให้จางลง ก็ต้องใช้การรักษาด้วยเลเซอร์เท่านั้น โดยมีข้อมูลจากการเลเซอร์มาแล้วดังนี้ 

  • การรักษากระตื้น ด้วยเลเซอร์ จะใช้เลเซอร์รักษาเฉพาะเม็ดสี เพื่อทำลายเม็ดสีเมลานีน เฉลี่ยแล้วรักษา 3 ครั้ง ร่วมกับการใช้เลเซอร์ดึงเม็ดสีออก หรือ ใช้เลเซอร์ลดเม็ดสี เพื่อให้เม็ดสีนั้นจางลง ไม่กลับมาเข้มอีก 
  • การรักษากระลึก ด้วยเลเซอร์ ในกรณีที่กระลึก จะทำการรักษาค่อนข้างยาก ใช้เวลา ดังนั้นแล้วจะใช้เลเซอร์รักษาเม็ดสีเฉพาะ เข้าไปทำให้เม็ดสีนั้นแตกออกเป็นเม็ดเล็ก จากนั้นเม็ดเลือดขาวก็จะมากำจัดเม็ดสีตามธรรมชาติ โดยการรักษาเฉลี่ย 6 ครั้งขึ้นไป ร่วมกับการรักษาเลเซอร์ดึงเม็ดสีออก ส่งผลดีในระยะยาว
  • การรักษากระแดด สามารถทำได้ด้วยการใช้เลเซอร์ดึงเม็ดสีออกเช่นเดียวกัน 

สำหรับการรักษากระ จะมีความคล้ายกันกับ การรักษาฝ้า ซึ่งเป็นการใช้วิธีที่คล้ายกัน แต่ในตัวของกระจะมีการใช้เลเซอร์เพื่อรักษาแบบตรงจุด แต่ถ้าใครอยากที่จะหายแต่ใช้วิธีทางธรรมชาติ ก็ใช้เวลาในการรักษาสักหน่อย แต่ในปัจจุบันการทำเลเซอร์ก็ถือว่าได้รับการยอมรับว่า ฝ้า และ กระ จางลงได้อย่างแท้จริง

การป้องกันไม่ให้ฝ้าและกระเกิดขึ้นบนใบหน้า 

เรื่องสุดท้ายของบทความนี้ ก็คือ การป้องกันไม่ให้ฝ้า หรือ กระ เกิดขึ้นบนใบหน้า เพราะใบหน้าคือจุดสำคัญสำหรับสาว ๆ เพราะไม่อยากจะให้เจ้าพวกนี้มากวนใจ แล้วจะต้องทำอย่างไรบ้างนั้น วันนี้พวกเรามีคำตอบมาบอก พร้อมกับ เคล็ดลับแนะนำ สาว ๆ ให้ผิวสุขภาพดีด้วย ซึ่งจะมีวิธีดังต่อไปนี้ 


วิธีป้องกันฝ้า กระ

การป้องกันฝ้า กระ ถ้าพูดกันให้เข้าใจง่ายก็คือ ต้องหลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เกิด นั่นก็คือ รังสียูวี หรือ แสงแดด ทั้งแดดจัด หรือ แดดอ่อน ก็มีอันตรายทั้งนั้น ส่วนวิธีที่จะป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาผิวสุดกวนใจนี้ จะต้องทำตามวิธีดังต่อไปนี้ 

  • ให้หลีกเลี่ยงแสงแดด เพราะแสงแดดในช่วง 10 โมงเช้า ไปจนถึง 4 โมงเย็นจัดได้ว่าเป็นช่วงที่มีรังสียูวีมาก ดังนั้นแล้ว เมื่อจะต้องมีความจำเป็นออกจากบ้าน ควรสวมหมวก เสื้อแขนยาว หรือ ใช้ผ้าคลุม ติดไปด้วย 
  • ครีมกันแดด สำคัญเสมอ นอกจากการใส่หมวก หรือ เสื้อแขนยาว ยังไม่พอ เพราะจะมีบางครั้งที่อาจจะถูกแสงแดดได้โดยตรง ดังนั้นการทาครีมกันแดด ที่มี SPF30+ ขึ้นไป ก็จะช่วยป้องกันรังสียูวีเอ ยูวีบี ที่เป็นสาเหตุของการเกิดฝ้าได้เป็นอย่างดี ส่วนครีมกันแดดยี่ห้อไหน ? หรือ ค่ายไหนก็ต้องศึกษาทุกครั้งด้วย เพราะส่วนผสมบางอย่างเราอาจจะเกิดอาการแพ้ได้ 
  • ใส่ใจ ดูแลผิวหน้า สม่ำเสมอ วิธีนี้สำคัญมาก เพราะสุขภาพผิวหน้าจะดี ก็ต้องดูแลรักษา เติมอาหารให้ผิวหน้าอย่างสม่ำเสมอ มีการบำรุงผิว ทั้งในรูปแบบของธรรมชาติ ก็คือการใช้ชีวิต การพักผ่อนให้เพียงพอ ก็ส่งผลให้สุขภาพผิวดีเช่นเดียวกัน 
  • หลีกเลี่ยงยา กับ ฮอร์โมนที่เป็นต้นเหตุของการเกิดฝ้า การกินยาคุมกำเนิด เป็นสาเหตุหลักเลย ดังนั้นต้องปรึกษาแพทย์ด้วยเสมอ 
  • หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่เสี่ยง โดยเฉพาะครีม แป้ง ที่ไม่ได้มาตรฐาน เพราะจะทำให้หน้าคุณที่สวย ๆ พังลงได้ ด้วยเวลาอันรวดเร็ว เพราะนอกจากฝ้าแล้ว อาจจะพบเจอกับ ปัญหาสิวตามมาด้วย 

กิน คอลลาเจน ส่งผลให้ผิวสวย

วิธีรักษาฝ้ากระให้หายขาด

เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้ผิวหน้า รวมทั้งผิวกายของเรา ห่างไกลจากฝ้า กระ จุดด่างดำ เพราะว่าการกิน “คอลลาเจน” เสริมเข้าไป จะทำให้ร่างกายได้รับโปรตีนที่มีประโยชน์ เข้าไปช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ ของร่างกาย ตัวอย่างเช่น ผิวหน้า กับ ผิวกายของเรา จะต้องมีคอลลาเจน เพราะจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น รักษาโรคผิวหนังอื่น ๆ เช่น ผิวแห้งกร้าน ผิวแพ้ง่าย

สำหรับคอลลาเจนนั้น ส่วนมากจะเป็นอาหารเสริมที่ทำมาจากกระดูกของสัตว์ หนังของวัว เกล็ดปลา จึงเป็นของที่กินได้ ปลอดภัย ไม่แพ้ ทานได้ทุกเพศ ทุกวัย เป็นอาหารเสริมในยุคปัจจุบัน ที่ได้รับความนิยม อีกทั้งเห็นผลว่าผิวสวย ผิวใส สุขภาพดีขึ้นจริง กับ การทานคอลลาเจน นั่นเอง เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับที่จะช่วยให้สาว ๆ ให้ผิวหน้าสวย สดใส ดูเป็นธรรมชาติ รวมทั้งสุขภาพร่างกายก็แข็งแรงตามไปด้วย 

เป็นอีกหนึ่งเรื่องกวนใจสำหรับคุณผู้หญิง ผิวที่เป็นฝ้า หรือ ผิวหน้าที่เป็นกระ ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น ดังนั้นแล้วเราต้องมองหาวิธีป้องกัน หรือ เคล็ดลับต่าง ๆที่จะช่วยให้ปัญหากวนใจเหล่านี้ ให้หายขาดไปให้จงได้ สำหรับใครที่เคยเป็นฝ้า ได้รับการรักษาแล้วก็ต้องหมั่นดูแลตัวเองให้ดี เพราะฝ้า กับ กระ ไม่ได้หายขาด แต่กลับมาเป็นใหม่ได้ ถ้าคุณยังเป็นเหมือนเดิม ดังนั้นแล้วเริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการดูแลตัวเอง ใส่ใจตัวเอง แล้วปัญหาเรื่องนี้จะหมดไป และทั้งหมดนี่ก็คือ วิธีรักษาฝ้ากระให้หายขาด บอกลาปัญหาผิวที่กวนใจสาว ๆ มากที่สุด

 


อ้างอิงจาก

https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/959

https://www.watsons.co.th/blog/th/skincare-tips- 

 

skin

รูขุมขนกว้างทำไงดี  รวมวิธีให้ผิวกลับมากระชับดังเดิม 

August 9, 2022
รูขุมขนกว้างทำไงดี

รูขุมขนกว้างทำไงดี ? รวมวิธีให้ผิวกลับมากระชับดังเดิม

รูขุมขนกว้างทำไงดี ? รูขุมขนกว้าง เป็นฝันร้ายของใครหลาย ๆ คนที่ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น เพราะเมื่อรูขุมขนกว้าง แต่งหน้ายากแถมบางครั้งหน้าแห้งหรือหน้ามันเกินไปจนสูญเสียความมั่นใจ บวกกับอายุที่เพิ่มมากขึ้น การทำงานสะสมความเครียด การนอนน้อยก็ยิ่งทำให้ไม่มีเวลาดูแลดูเอง มองดูใบหน้าที่รูขุมขนกว้างด้วยความท้อใจ แต่รูขุมขนกว้างนั้นเราจะสังเกตได้ว่าช่วงอายุน้อยใบหน้าของทุกคนต่างสดใสไร้รูขุมขน แล้วสาเหตุอะไรนะทีเกิดรูขุมขนกว้างขึ้นได้


รูขุมขนกว้างเกิดจากอะไร

รูขุมขนกว้างทำไงดี

รูขุมขนเกิดจากปัจจัยหลัก 2 อย่างคือ ปัจจัยภายนอกและปัจจัยจากภายใน ซึ่งสาเหตุการเกิดขึ้นก็แบบย่อยไปอีกค่ะ

ปัจจัยภายใน

  • พันธุกรรม เป็นสาเหตุที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย เพราะยีนส์พันธุกรรมที่ส่งผ่านต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ก็ไม่เศร้าใจไปนะคะเพราะมันยังมีวิธีบำรุงผิวหน้าให้คงความกระชับแน่นอน
  • ช่วงอายุ แน่นอนว่าเมื่อเราเข้าสู่วัยแตกหนุ่มสาว ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง มีการสร้างฮอร์โมนออกมาอย่างมากมาย กระตุ้นชั้นในมันใต้ผิวออกมานั่นเอง ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดในเพศชาย แต่ในเพศหญิงก็มีเช่นกันค่ะ
  • สภาพผิวส่วนบุคคล ผิวมัน ผิวแห้ง หรือผิวขาดน้ำ การที่ผิวเสียความสมดุลก็จะเกิดสภาวะรูขุมขนกว้าง
  • ผิวผลิตคอลลาเจนน้อยลง ทำให้ชั้นผิวอิลาสตินของเราไม่แข็งแรง การฟื้นฟูผิวทำได้ไม่เต็มที่

ปัจจัยภายนอก

  • สภาพอากาศและสภาพแวดล้อม ใช่แล้วค่ะ สภาพอากาศนั้นเป็นปัจจัยภายนอกที่พบบ่อยที่สุดก็ว่าได้ ถ้าเราอาศัยในสภาพภูมิประเทศเขตร้อนชื้น ผิวหนังของเราก็จะระบายความร้อนออกมาพร้อมกับขับน้้ำมันใต้ผิว หรืออากาศในประเทศที่อากาศแห้งหนาว ใบหน้าก็จะแห้งไม่ชุ่มชื้น หากไม่ได้บำรุงผิวหน้าที่เหมาะสมก็จะเกิดรูขุมขนกว้างขึ้น หรือสภาพอากาศที่มีมลภาวะสูง เกิดการสะสมฝุ่นละอองพิษทำให้เกิดการอุดตันใบหน้า รูขุมขนขยายกว้างที่ฝุ่นสะสมได้ด้วยเช่นกัน
  • การบำรุงผิวหน้าทีไม่ถูกต้อง ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจสภาพของผิวหน้าว่าแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน คุณมีผิวหน้าแบบไหน สังเกตได้ง่าย ๆ หลังล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า ดังนี้
    • ผิวแห้ง หลังล้างหน้าแล้วรู้สึกหน้าตึง ผิวแห้งกร้าน
    • ผิวมัน หลังล้างหน้าแล้วผิวสร้างชั้นน้ำมันออกมาทั่วบริเวณใบหน้าเหมือนฟิมล์เคลือบบาง ๆ
    • ผิวขาดน้ำ หลังล้างหน้า ช่วงผิวบริเวณหน้าผากและจมูกมีน้ำมันออกมาบาง ๆ หรือผิวบริเวณแก้มกับคางมีน้ำมันออกมา

ซึ่งแต่ละสภาพผิวก็ต้องมีการบำรุงที่แตกต่างกัน ซึ่งเราจะอธิบายหลังจากนี้นะคะ


รูขุมขนกว้างทำไงดี  ? ทำยังไงดู อยากให้รูขุมขนกว้างกระชับ

รูขุมขนกว้างทำไงดี

1.ใช้ผลิตภันฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวหน้า และเลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์ให้ถุกกับผิว

  • ผิวแห้ง การที่ผิวแห้งกร้านมาก เซลล์ที่หลุดลอกออกมาไม่หมดจะเกิดการทับถมเซลล์ที่ตายแล้วอุดตันบนใบหน้า ฉะนั้นควรเลือกบำรุงหน้าด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อครีมโดยก่อนจะลงเนื้อครีมบนใบหน้าควรล้างมือให้สะอาด ปาดเนื้อครีมลงบนฝ่ามือหนึ่งนิ้วแล้ววนฝ่ามือประมาณสามครั้ง แล้วนำมือทั้งสองข้างนาบบนลงแก้ม จมูก หน้าผาก คางและบริเวณคอ เป็นการวอร์มอัพครีมและเสียงการอุดตันนั่นเอง
  • ผิวมัน ผิวประเภทนี้บางท่านอาจละเลยว่าหน้ามันพอแล้ว ไม่ต้องการครีมบำรุงอะรให้เหนียวเหนอะหนะ หรือใช้แค่เพียงโทนเนอร์ปรับสภาพผิวเท่านั้น แต่รู้หมว่าการใช้ครีมบำรุงนั้นสำคัญเช่นกัน เพราะผิวได้ขับน้ำมันออกมา ทำให้ส่วนชั้นภายในกลับแห้งไม่ชุ่มชื้น ควรเลือกบำรุงหน้าด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อเจลหรือเนื้อโลชั่นที่มีความเข้มข้นน้อยกว่าเนื้อครีม
  • ผิวขาดน้ำ สามารถเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์รูปแบบใดก็ได้ตามที่ต้องการ แต่หาดเป็นเนื้อครีมหนักก็แนะนำว่าให้วอร์มอัพครีมก่อนลงบนในหน้าเสมอ และครีมนั้นควรมีส่วนผสมของ กรดไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) หรือ เซราไมนด์ (Ceraminde) ที่จะช่วยผิวฟื้นฟูจากการขาดน้ำ

 2.ทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ

การทาครีมกันแดดร่วมกับการบำรุงผิวหน้าถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผิวแข็งแรงและรูขุมขนกระชับขึ้น  สาเหตุนั้นเป็นเพราะไม่ว่าจะอยู่ในภูมิอากาศใด แสงแดดก็เป็นปัจจุยสำคัญที่ทำให้ผิวแห้งกร้าน หรือขับความร้อนออกมาจากร่างกายด้วยรังสียูวี การที่สะสมแสงแดดมาก ๆ โดยไม่ได้รับการป้องกัน ผิวก็จะหย่อยคล้อยและชั้นใต้ผิวหนังก็อ่อนแอลงเช่นกันค่ะ แนะนำว่าก่อนอกจากบ้านทุกครั้งควรทาครีมกันแดดที่มี SPF 30 PA+++ ขึ้นไปเท่านั้น และทาย้ำทุกๆ 4 ชั่วโมงเพื่อนเป็นการเติมเกราะป้องกันผิวนั่นเอง

3.หัตถการแพทย์

เหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลา และต้องการผลลัพธ์ที่เร่งด่วน รวดเร็ว ปัจจุบันมีวิธีการและเครื่องมือมากมายที่ช่วยให้รูขุมขนกระชับขึ้น ซึ่งแต่ละวิธีต้องปรึกษาแพทย์ก่อนทำเท่านั้น

  • Botox รู้หรือไม่ว่าโบท็อกช่วยเรื่องรูขุมขนบนใบหน้าด้วยนะ เพราะโบท็อกจะถูกฉีดไปจะฉีดเข้าบริเวณต่อมไขมันและกล้ามเนื้อ ทำให้ต่อมไขมันหดเล็กลง และกระตุ้นผิวหนังให้สร้างคอลลาเจนมาฟื้นฟูผิว ทำให้รูขุมขนกระชับขึ้นและใยหน้าเรียบเนียนไร้ริ้วรอย โดยภายใน 1 สัปดาห์จะเห็นผลอย่างเต็มที่ แบะตัวยาโบท็อกซ์อยู่ได้นานสูงสุดถึง 6 เดือนแล้วแต่การรักษาและพฤติกรรมประจำวันส่วนบุคคล
  • Mesotherapy เป็นการฉีดสารบำรุงเข้าไปในผิวและกระตุ้นให้ผิวทำงานได้ดียิ่งขึ้น เหมาะกับสายขี้เกียจทาสกินแคร์แต่ต้องการหน้าสวยฉ่ำอย่างรวดเร็ว โดยตัวยาจะถูกฉีดเข้าไปชั้นผิวหนังทำให้ต่อมไขมันทำงานน้อยลง ส่งผลให้หน้ามันน้อยลง รูขุมขนกว้างกลับกระชับขึ้น
  • Laser เลเซอร์ในระดับที่เหมาะสม จะกระตุ้นผิวให้สร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ส่งผลให้ผิวขาวใส เรียบเนียน แต่วิธีนี้ต้องคอยบำรุงหน้าให้ชุ่มชื้นและหลีกเลี่ยงแสงแดดนะคะ
  • Thermage เหมาะกับบุคคลที่มีไขมันบริเวณบนใบหน้าเยอะ วิธีทำก็คือยิงคลื่น Radio Frequency (RF) สู่ชั้นผิวหนังและชั้นไขมัน กระตุ้นให้ผิวผลิตคอลลาเจน ทำให้ผิวชั้นลึกแน่นฟู ผิวชั้นนอกเรียบเนียนขึ้น และสามารถคงผลลัพธ์นี้ได้ระยะยาว โดยสามารถทำแลวกลับบ้านได้เลย ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น
  • Hifu Macrofocus เป็นนวัตกรรมโดยใช้คลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ ยิงเป็นจุดพลังงานลงไปใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวยกกระชับและหกตัว การทำอาจเกิดรอยแดง แต่จะหายไปได้เองภายใน 2 ชั่วโมง

4.บริโภคอาหารเสริมจากภายในด้วยคอลลาเจน

แน่นอนว่าการรับประทานคอลลาเจนจะช่วยให้ผิวกระชับขึ้นจากภายในสู่ภายนอก เพราะกลไกการทำงานของผิว คอลาเจนเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในโปรตีนที่ช่วยสร้างชั้นผิวหนังทั้งภายนอกและภายใน การบริโภคคอลลาเจนอย่างสม่ำเสมอ นอกจากจะช่วยให้ผิวสวย เปล่งประกาย อวัยวะภายในทำงานเป็นปกติแล้ว ก็ยังเป็นการทริคให้ร่างกายคอยดื่มน้ำเปล่าเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวอีกด้วย


เมื่อเพื่อน ๆ ได้ทราบสาเหตุว่ารูขุมขนเกิดขึ้นจากอะไรบ้าง ก็จะสามารถแก้ปัญหาบำรุงได้ตรงจุดและรวดเร็ว ฉะนั้นแม้ว่าการที่ใบหน้ามีรูขุมขนกว้างนั้นทำให้สูญเสียความมั่นใจ แต่มนุษย์ทุกคนเกิดมาและมีรูขุมขนบนใบหน้านั้นเป็นเรื่องปกติและกลไกทำงานของร่างกายต่างรักษาสมดุล ฉะนั้นไม่ต้องกังวลใจไปเพราะมีวิธีป้องกันให้เกิดและหลากหลายวิธีการที่จะทำให้เพื่อน ๆ กลับมามั่นใจได้อีกครั้งพร้อมอวดผิวสวยดังเดิม


ที่มา

https://www.vsquareclinic.com/tips/tighten-pores/

https://hdmall.co.th/c/hdinsight-mesotherapy

https://hdmall.co.th/c/hdinsight-mesotherapy-at-gangnam-clinic

https://dermcollective.com/large-pores/

https://www.medicalnewstoday.com/articles/320775#8-ways

acne

หน้ามันเป็นสิว ทำอย่างไรดี? เปิด 9 วิธีลดความมันบนใบหน้า ป้องกันการเกิดสิว

July 5, 2022
หน้ามันเป็นสิว

หน้ามันเป็นสิว ทำอย่างไรดี? เปิด 9 วิธีลดความมันบนใบหน้า ป้องกันการเกิดสิว

“ปัญหาเรื่องสิว” ถึงแม้จะชื่อสิว แต่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับวัยรุ่น รวมไปถึงหนุ่มสาวหลายคน ที่ประสบปัญหาเรื่องของ หน้ามัน เป็นสิว แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่ลดทอนความมั่นใจในตัวเองลงไปเยอะมาก ถึงแม้ว่าจะมีหลากหลายวิธี ที่จะป้องกัน รวมทั้งบำรุงผิว ปรับเคมีในร่างกายทุกรูปแบบ แต่สำหรับบางราย สิวก็ยังบุกมาอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงอาการแพ้ ไม่ว่าจะเป็น การแพ้น้ำที่อาบ แพ้เครื่องสำอาง สารบางชนิดที่พบในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตามวันนี้พวกเราก็มีบทความดี ๆ เป็นความรู้เกี่ยวกับ หน้ามันเป็นสิว และ 9 วิธีลดความมันบนใบหน้า ป้องกันการเกิดสิว รวมไปถึงความเป็นมาของคำว่าสิว พร้อมไปถึงวิธีแก้ปัญหาเพื่อให้ใบหน้าของเราไม่มัน ห่างไกลสิวได้ทุกรูปแบบ แต่ก่อนอื่นเลยเราต้องไปทำความเข้าใจกันก่อนเกี่ยวกับ “ปัญหาหน้ามัน และ สิว” นั่นเอง


หน้ามันเป็นสิว เกิดจากอะไร

หน้ามันเป็นสิว

หนึ่งในปัญหาผิวที่กวนใจของหนุ่มสาวหลายคน อย่าง “หน้ามัน” เพราะว่าเมื่อเกิดอาการนี้แน่นอนเลยว่าความเสี่ยงที่จะเกิดสิวนั้น มาเป็นอันดับต้น ๆ เพราะการที่มีสภาพผิวที่มีรูขุมขนกว้าง เมื่อหน้ามัน รวมไปถึงการที่ทำให้ผิวหน้าของเรานั้นดูคล้ำ เสีย เกิดริ้วรอย ก่อนวัยอันควร อีกหนึ่งปัญหาหลักสำหรับสาว ๆ เลยก็คือ การแต่งหน้าด้วยเครื่องสำอางก็จะไม่ติดทนด้วย จะเห็นได้ว่าปัญหานี้ไม่ได้แค่เรื่องเกิดสิวเพียงอย่างเดียว แต่เป็นปัญหาในเรื่องอื่น ๆ ด้วย และ ที่สำคัญทำให้เราดูเป็นคนที่ไม่สะอาดด้วย 


ปัญหาหน้ามัน เกิดได้อย่างไร ? 

หน้ามันเป็นสิว

ก่อนอื่นเลยต้องไล่ทำความรู้จักกันตั้งแต่สาเหตุของเรื่องนี้กันก่อนเลยว่า  เกิดขึ้นได้อย่างไร ? คำตอบที่ได้ก็คือ ปัญหาผิวหน้ามัน เกิดจากการที่ร่างกายของเรานั้น มีการผลิตน้ำมันออกมาปกป้องผิวหน้า ไม่ให้ใบหน้าของเราแห้ง แต่ทว่าในปัจจุบัน อาจจะมีปัจจัยบางอย่าง ที่จะทำให้ร่างกายผลิตน้ำมันออกมามากเกินความจำเป็น จึงส่งผลให้หน้าของเรา มีน้ำมันมากกว่าปกติ โดยส่วนใหญ่จะอยู่ที่บริเวณจมูก นั่นเอง แต่ในบางรายก็มันฉ่ำไปทั้งหน้าเลยทีเดียว โดยปัญหาหน้ามันที่เกิดขึ้น มีด้วยกันถึง 5 สาเหตุด้วยกัน โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 


5 สาเหตุของการเกิด “หน้ามัน”

หน้ามันเป็นสิว

  • หน้ามันที่เกิดจาก กรรมพันธุ์ โดยจะเรียกได้ว่าเกิดมาจากพ่อแม่ ที่ถ่ายทอดออกมาสู่ลูก โดยในครอบครัวถ้าเกิดปัญหาผิวมัน ก็จะส่งต่อไปยังลูกหลานได้เช่นเดียวกัน นี่แหละคือการเกิดหน้ามันได้แบบธรรมชาติมากที่สุด เป็นปัจจัยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ 
  • หน้ามันที่เกิดจาก ฮอร์โมน สาเหตุนี้จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล โดยร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ถ้าพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือในช่วงวัยรุ่น ซึ่งจะพบได้ในผู้ที่มีฮอร์โมนเพศชายสูง ซึ่งก็อยู่ในเรื่องที่เป็นได้ทั้งผู้หญิง และ ผู้ชายได้เช่นเดียวกัน
  • หน้ามันที่เกิดจาก สภาพอากาศ ในบางครั้ง เมื่อร่างกายต้องมีการสร้างสมดุลให้กับตัวเอง วันที่อากาศร้อน ก็จะถูกขับเหงื่อออกมา น้ำมันก็ออกมาจากร่างกายด้วย ในสภาพอากาศที่ร้อนจะทำให้เรานั้นหน้ามันได้ บางรายมีการขับออกมามาก ทำให้สังเกตุเห็นได้ชัดเจน 
  • หน้ามันที่เกิดจาก การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแล ผิวหน้า ผิดประเภท สาเหตุนี้จะพบได้บ่อยกับผู้หญิงหลายคนอาจจะแพ้ หรือ มีการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำมัน รวมไปถึงการบำรุงผิวหน้าที่มากเกินไป บำรุงด้วยความเข้มข้น จะทำให้มีสิ่งอุตตัน ผิวหน้าก็จะมันมากกว่าเดิม และ เกิดสิวในที่สุด 
  • หน้ามัน ที่เกิดจาก ผิวขาดความชุ่มชื้น มองดูแล้วเป็นเรื่องยากมาก เพราะสาว ๆ หลายคนมีผิวที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นการดูแลก็จะต้องดูแลแทบทุกคนไม่ควรให้ผิวหน้าขาดความชุ่มชื้น แต่ถ้าใช้มอยส์เจอไรเซอร์ หรือ ผลิตภัณฑ์บำรุง ก็ควรเป็นสูตรน้ำ แบบเจล หรือ เครื่องสำอางที่มีเนื้อบาง 

สำหรับปัจจัยทั้ง 5 ที่เป็นสาเหตุให้ “หน้ามัน” เป็นการยกมาให้อ่าน เพราะเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมาก บางรายถูกถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ แต่บางรายก็อยู่ในช่วงเติบโต ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายอยู่เสมอ แต่สำหรับบางรายก็ใช้เครื่องสำอางที่ผิดประเภท หรือ ใช้มากเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี แน่นอนว่าแต่ละคนมีหน้าตา และ ระบบการขับเหงื่อที่แตกต่างกันไป ยิ่งไปกว่านั้นสภาพอากาศในปัจจุบันก็ร้อน และ เป็นส่วนหนึ่งของการเกิดหน้ามันได้อยู่เป็นประจำ  


4 เรื่อง กับ ที่คุณต้องรู้เรื่องสิว  

หน้ามันเป็นสิว

หลายคนอาจจะทราบดีว่า สิวเกิดจากอะไร แต่สำหรับวันนี้จะขอลงลึกให้ท่านผู้อ่านเข้าใจง่ายกันสักหน่อย เกี่ยวกับปัญหาที่แท้จริงของเรื่องสิว ที่ดูแล้วไม่เล็กเลย แน่นอนว่าในหัวข้อนี้จะพาทุกคนไปรู้จักกับสิว รวมทั้ง การดูแลที่ตรงจุด ไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายนั่นเอง ซึ่งทั้ง 4 แบบนี้จะมีอะไรบ้าง ติดตามอ่านกันได้เลย 

  • สาเหตุเกิดจากการเกิดสิวอุดตันขนาดเล็กใต้ผิวหนัง เรียกได้ว่าเป็น สิวอุดตัน หรือ โคมีโดน คือ สภาวะที่รูขุมขนนั้น เกิดการอุดตัน โดยจะมี “ไมโครมีโดนน” หรือ เรียกได้อีกอย่างว่า สิวอุดตันที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า โดยเกิดจากการสร้างชั้นเคราตินของเซลล์ผิวหนัง โดยปกติแล้ว เจ้าตัวของ สิวอุดดัน “ไมโครมีโดนน” จะสบายไปเองตามธรรมชาติ แต่ในแบบที่เกิดขึ้นจะเกิดการอักเสบใต้ชั้นผิวไปร่วมด้วย โดยทางการแพทย์จะเรียกว่าสิวอักเสบชนิดไม่รุนแรง โดยสิวชนิดนี้เกิดขึ้นเป็นประจำ ตามระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอยู่แล้ว แต่ในบางรายก็เกิดขึ้นได้จากมีสิ่งอุดตันที่รูขุมขน จนทำให้เกิดสิวนั่นเอง
  • สาเหตุในภาวะที่ผลิตน้ำมันมากเกินไป โดยชั้นผิวก่อตัวหน้าผิดปกติ จะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงวัยเจริญพันธ์ โดยสาเหตุนี้จะครอบคลุมไปถึงเรื่องการใช้ยาบางประเภท รวมไปถึงผลกระทบจากมลภาวะทั่วไป โดยสิ่งเหล่านี้จะทำให้การผลิตน้ำมันของผิวเพิ่มขึ้น มากขึ้น โดยส่งผลให้เกิดสิวประเภทต่าง ๆ เช่น สิวหัวดำ กับ สิวหัวขาว โดยทั้งคู่ยังเป็นสาเหตุหลักเลยที่เกิดการติดเชื้อ จนกลายเป็นสิวหนองนั่นเอง  โดย ภาวะผิวหนังผลิตไขมันมากผิดปกติ มีด้วยกัน 2 แบบก็คือ 
    • ภาวะผิวหนังผลิตไขมันมากผิดปกติ  มีอาการก็คือ ผิวหนังของเราจะทำให้ฮอร์โมนชนิดนี้ กระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมาในปริมาณมากกว่าปกติ ก่อให้เกิดการสะสมน้ำมันบนผิวหนัง และทำให้ต่อมไขมันอุดตัน ส่งผลให้เกิดสิว
    • ภาวะชั้นผิวก่อตัวหนาขึ้นผิดปกติ เกิดจาก การก่อตัวหน้าขึ้นของผิวชั้นนอก โดยมีสาเหตุมาจาก แบคทีเรีย Propionibacterium acnes หรือ P.acnes ซึ่งตัวมันจะสร้างแผ่นฟิล์มบา ๆ บนผัวหนัง โดยมีหน้าที่ขัดขวางกระบวนการหลุดลอกของชั้นผิวหนัง จึงทำให้เกิดการอุดตัน และ กลายเป็นสิวในที่สุด 
  • เรียนรู้เรื่อง สิวทุกประเภท เรื่องของ “สิว” มีหลากหลายคำเป็นอย่างมากโดยถูกแยกประเภทออกไปตามรูปแบบ ตัวอย่างเช่น สิวอุดตัน สิวตุ่มนูนแดง สิวหัวหนอง สิวอักเสบ สิวหัวเปิด และ สิวหัวปิด เป็นต้น โดยประเภทสิวที่กล่าวมาทั้งหมด โดยในเรื่องของสิวอักเสบ จะเกิดอาการเจ็บร่วมด้วย  
  • การโตของแบคทีเรีย P.acnes ทำให้อักเสบรุนแรงขึ้น เมื่อแบคทีเรียชนิดนี้ ย่อยสบายน้ำมัน จะทำให้สิวของเราเกิดการอักเสบมากขึ้น โดยแบคทีเรียชนิดนี้จะเข้ามาอาศัยอยู่ในต่อมไขมัน ที่มีการอุดตัน เพื่อย่อยสลาย โดยกระบวนการนี้ทำให้เกิดการอักเสบที่มากขึ้น โดยมีอาการตุ่มนูนแดง รวมทั้งสิวหัวหนองด้วยนั่นเอง 

นี่แหละคือทุกเรื่องที่ทำให้คุณเกิดสิว ไม่จำเป็นเลยว่าคน ๆ นั้นจะรักษาความสะอาด หรือ ดูแลตัวเองดีแค่ไหน แต่เรื่องสิว ไม่เกิดขึ้นกับปัจจัยที่ก่อขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่มีเรื่องของระบบภายในร่างกาย ฮอร์โมน รวมถึงสารเคมีที่ทำให้เกิดสิวได้เช่นเดียวกัน แต่สิ่งที่ผิดปกติก็คือ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว เราจะต้องรู้สาเหตุ เมื่อมีการอักเสบ เราก็จะต้องมีการรักษา เพราะอาการเจ็บปวดจากสิวอักเสบไม่ใช่เรื่องสนุก อีกทั้งการเกิดแผล หรือ ติดเชื้อ ก็อาจจะทำให้หายยาก เป็นแผลเป็นได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นควรที่จะปรึกษาแพทย์ผิวหนังโดยด่วน เมื่อเกิดสิวอักเสบ หรือ สิวแบบแพ้สารเคมี 


9 วิธีลดความมันบนใบหน้า

หน้ามันเป็นสิว

พักเรื่องสิว ๆ มาลองดูวิธีที่จะช่วยลดความมนบนใบหน้ากันดูบ้าง เพราะว่าการเกิดสิว ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องธรรมชาติได้เพียงอย่างเดียว แต่เมื่อไหร่ที่คุณไม่ได้ดูแลตัวเอง ทั้งเรื่องของสุขภาพร่างกาย สุขภาพผิวหน้า รวมไปถึงสุขภาพจิตใจ ที่ทั้งหมดมีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด สำหรับทั้ง 9 วิธี จะแนะนำให้ทำเรื่องอะไรบ้าง อ่านกันต่อได้เลย

1.ลดความมัน ด้วยการล้างหน้าให้สะอาด และ ถูกวิธี 

การลดความมันบนใบหน้า เรื่องแรกเลยต้องล้างหน้าให้สะอาด รวมทั้งถูกวิธีด้วย ก่อนอื่นเลยต้องแนะนำ ให้ใช้คลีนเซอร์ ทำความสะอาดเครื่องสำอาง เน้นตัวที่มีส่วนผสมของ BHA นั่นก็คือ กรดซาลิไซลิก Salicylic Acid โดยจะมีคุณสมบัติช่วยขจัดความมัน รวมทั้งสิ่งสกปรก ไม่ให้ตกค้างอยู่ในรูขุมขน แต่อย่าล้างหน้าบ่อยเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้หน้ามันมากขึ้น 

2.ใช้เครื่องสำอาง ที่เหมาะกับสภาพผิว 

การใช้เครื่องสำอางบนใบหน้า คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าสาว ๆ ทุกคนต้องใช้ ดังนั้นแล้วควรศึกษาให้ดี หรือ เลือกใช้สักนิด ว่ามีส่วนผสมของน้ำมัน หรือ บางตัวอาจจะมีเนื้อสัมผัสที่หนาเกินไปหรือไม่ เพราะจะทำให้ซึมเข้าผิวยาก เกิดการอุดตัน ดังนั้นควรเลือกเครื่องสำอางที่มีเนื้อบางเบา เพราจะซึมเข้าผิวง่าย และ ทำให้หน้าไม่มันนั่นเอง 

3.การมาส์กหน้าด้วยสูตรธรรมชาติ ลดหน้ามัน

การมาส์กหน้าโคลน หรือ ใช้สูตรธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น การใช้น้ำผึ้ง,ว่านหางจระเข้,ไข่ขาว หรือ มะนาว โดยการใช้แบบธรรมชาติจะเซฟเรื่องการแพ้สารเคมีบางชนิดได้เป็นอย่างดี แต่สำหรับบางรายก็ไม่มีปัญหาเมื่อจะซื้อมาใช้งาน แต่ป้องกันเอาไว้ก่อนก็จะดีมาก ยิ่งรู้ว่าตัวเองผิวแพ้ง่าย ยิ่งต้องเลือกใช้ให้ดี 

4.ลดหน้ามันใช้กระดาษซับหน้ามัน 

คำว่า “ซับหน้ามัน” ไม่ใช่ “เช็ดหน้ามัน” ต้องทำความเช้าใจ เพราะวิธีใช้จะต้องใช้ให้ถูก เพราะเราต้องค่อย ๆ ซับ คือ แปะ ๆ ทั่วหน้า ไม่ควรที่จะถูหน้าแรง ๆ รวมทั้งถูกไปทั่วใบหน้าในครั้งเดียว ที่สำคัญเลยเมื่อใช้กระดาษซับมัน ควรซับให้แต่พอดี ไม่เช่นนั้นจะทำให้น้ำมันบนหน้าน้อย และ ร่างกายก็ยิ่งขับออกมาทำให้หน้ามันกว่าเดิมได้ ดังนั้นแล้วต้องใช้อย่างถูกวิธีด้วย

5.หลีกเลี่ยงแดด และ ใช้ครีมกันแดด

สำหรับสาว ๆ ก็คงทราบกันอยู่แล้วว่า ลดการปะทะกับแสงแดดโดยตรง พร้อมทั้งมีการทาครีมกันแดดบนใบหน้าป้องกันอยู่แล้ว แต่สำหรับคุณผู้ชายอาจที่จะไม่ได้ใส่ใจในจุดนี้มาก ดังนั้นแล้ว ควรที่จะหลีกเลี่ยงแดดจัด เพราะนี่คือสาเหตุจากสิ่งแวดล้อมภายนอกที่ทำให้หน้ามันได้ และ อย่างลืม ใช้ครีมกันแดดเพื่อบำรุงผิวหน้า พร้อมปกป้องการถูกทำร้ายจากรังสี UV ด้วย  

6.ทานยากลุ่มกรดวิตามินเอ 

โดยยาในกลุ่มนี้มีชื่อสามัญทางยาว่า ไอโซเตรติโนอิน (isotretinoin) หรือ เรติโนอิก แอซิด (retinoic acid) เป็นยาที่ใช้รักษาสิวที่มีฤทธิ์กดการทำงานของต่อมไขมัน ทำให้ผลิตสารที่เป็นไขมันลดลง จึงลดให้หน้าไม่มันได้ แต่จัดว่าเป็นยาอันตราย ต้องใช้ตามแพทย์สั่งเท่านั้น เพราะว่าค่อนข้างมีผลข้างเคียงที่อันตราย เมื่อหยุดยานี้ก็ทำให้ต่อมไขมันกลับมาทำงานปกติ 

7.เลือกใช้โฟมล้างหน้า ให้ถูก

ข้อนี้จะทำให้คุณช่วยลดการเกิดสิว หรือ การล้างหน้าไม่สะอาดไปด้วยเลย เพราะโฟมล้างหน้าจะต้องมีค่า PH ที่เป็นกลาง กับ ไปทางเป็นกรดเล็กน้อย เพราะจะช่วยให้แบคทีเรียไม่สามารถเจิรญเติบโตบนใบหน้าได้ ควรเลือกโฟมล้างหน้าสูตรเย็น เพราะจะช่วยให้ผิวหน้าตึง กระชับรูขุมขน อีกทั้งช่วยเรียกความสดชื่นด้วย 

8.เลือกกินอาหาร 

อาหารควรที่จะเลือกสักนิด ก็คืออาหารที่มีวิตามินเอ กับ วิตามินบี 2 ตัวอย่างเช่น ถั่วต่าง ๆ ส่วนวิตามินเอ จะได้แก่ประเภท แครอท,แคนตาลูป,ผัก เป็นต้น ที่สำคัญสิ่งที่คุณต้องเลี่ยงเลยก็คือ อาหารประเภททอด อาหารมัน  เพราะจะยิ่งทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมาเยอะมากขึ้นนั่นเอง

9.พักผ่อนให้เพียงพอ 

เมื่อเราไม่มีความเครียด ที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้สุขภาพแย่ ก็แทบจะไม่ต้องกังวลใด ๆ เกี่ยวกับการเกิดสิว หรือ ผิวหน้ามัน เมื่อเรามีระบบของร่างกายที่ปกติ ไร้ความเครียด สภาพจิตใจดี มีความสุข พักผ่อนเพียงพอ เพียงเท่าที่ก็จะทำให้ลดหน้ามันได้เช่นเดียวกัน แต่ในบางรายอาจจะต้องหมั่นล้างหน้า หรือ ควบคุมด้วยเครื่องสำอาง แต่เมื่อร่างกายของเราพร้อมสู้ ทุกอย่างก็ไม่ใช่เรื่องยาก 


พวกเราหวังว่าข้อมูล หน้ามันเป็นสิว ทั้งหมดในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสาเหตุเกี่ยวกับ หน้ามัน รวมทั้งเรื่องของการเกิดสิว จะเป็นข้อมูลความรู้ที่พวกเราเรียบเรียงมาให้ทุกท่านได้อ่านเข้าใจง่ายมากยิ่งขึ้น รวมทั้งให้ทุกคนเข้าใจว่า คนที่เป็นสิว ไม่ใช่คนที่ไม่ดูแลตัวเอง แต่บางครั้งมีเรื่องของการถ่ายทอดทางพันธุกรรม หรือ ฮอร์โมนที่อยู่ในร่างกายไม่เหมือนคนอื่น แต่เรื่องนี้เราจะก้าวผ่านไปได้ด้วยการรักษาทางการแพทย์ พฤติกรรมความเป็นอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถแก้ไขได้ สำหรับบางคนแพ้เครื่องสำอาง หรือ แพ้สารเคมี จนเกิดสิว ยังมีวิธีรักษาให้กลับมาเป็นปกติได้ แต่ต้องใช้เวลา ความอดทน ซึ่งนี่แหละคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าอยากหายเป็นปกติ สุดท้ายนี้พวกเราขอเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังเผชิญกับสิวในแบบต่าง ๆ ขอให้หายเป็นปกติในเร็ววัน


Credit:

สิวเกิดจากอะไร รู้จักสาเหตุของสิวเพื่อการดูแลที่ตรงจุด – Eucerin

จะเป็นอย่างไรเมื่อ ‘กัญชง’ อยู่ในส่วนผสมของสกินแคร์ (vogue.co.th)

หน้ามัน เกิดจาก? ป้องกันผิวมัน ทำได้อย่างไรบ้าง? (aquaplus.co.th)

skin

เซ็บเดิร์ม รักษาอย่างไร จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็น “โรคเซ็บเดิร์ม”

July 9, 2021

อาการของโรคเซ็บเดิร์ม

อาการของโรคเซ็บเดิร์ม

โรคเซ็บเดิร์ม เป็นโรคผิวหนังที่มีภาวะอักเสบจากต่อมไขมันในชั้นผิวหนัง อธิบายง่าย ๆ คือ เมื่อเป็นโรคเซ็บเดิร์มจะเกิดผื่นแดงตามผิวหนัง ขอบไม่ชัด ลอกเป็นแผ่น ตกสะเก็ดคล้ายรังแค มักเป็น ๆ หาย ๆ ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยบริเวณหนังศีรษะ, ใบหน้า, เปลือกตา, หน้าอก และแผ่นหลัง นอกจากนี้การเจ็บป่วยจากโรคหรือภาวะบางอย่าง เช่น โรคเกี่ยวกับระบบประสาทและโรคทางจิต เช่น โรคพาร์กินสัน, โรคตับอ่อนอักเสบ พิษสุราเรื้อรัง และมะเร็งบางชนิด, โรคเกี่ยวกับระบบต่อมไร้ท่อที่เป็นสาเหตุของโรคอ้วน เช่น เบาหวาน ก็เป็นอีกปัจจัยที่เสี่ยงต่อการเกิดเซ็บเดิร์มได้

เซ็บเดิร์มมีลักษณะและอาการดังนี้

  • ผมร่วงบริเวณหนังศรีษะที่เป็นเซ็บเดิร์ม
  • ผิวหนังในบริเวณเป็นเซ็บเดิร์มจะมีความมัน
  • มีอาการแดง คัน
  • ผิวลอก ตกสะเก็ด บางครั้งสะเก็ดที่หลุดลอกอาจจะเป็นสีเหลือง หรือขาว ที่เรียกว่ารังแค อาจจะเป็นได้บริเวณ ผม คิ้ว

อาการของเซ็บเดิร์มอาจมีลักษณะคล้ายกับโรคผิวหนังบางชนิด เช่น สิว สังเกตได้จากหากเป็นสิวอุดตัน จะมีลักษณะเป็นเม็ดเล็ก ๆ หัวปิดหัวเปิด ตุ่มดำ ตุ่มหนอง ตุ่มอักเสบ นอกจากนี้ก็ยังมีโรค SLE หรือโรคพุ่มพวง ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่สามารถแยกออกจากกันได้เนื่องจากโรค SLE จะมีลักษณะเป็นผื่นแดงที่ข้างแก้มเหมือนปีกผีเสื้อ และไม่ได้อยู่ชิดบริเวณข้างจมูกเหมือนกับผื่นเซ็บเดิร์ม

อีกหนึ่งโรคที่มีผื่นขึ้นคล้ายกันก็คือ โรคผื่นแพ้สัมผัส ซึ่งลักษณะของผื่นคล้ายกับเซ็บเดิร์มมาก แต่เมื่อตรวจอย่างละเอียดจะสามารถแยกความแตกต่างระหว่างสองโรคได้ เพราะส่วนมากผู้ที่เป็นผื่นแพ้สัมผัสมักมีการเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ดูแลผิวใหม่ภายใน 1-2 สัปดาห์ ที่ผ่านมา เช่น สกินแคร์ยี่ห้อใหม่ โฟมล้างหน้ายี่ห้อใหม่ เป็นต้น ส่วนโรคผิวหนังอื่น ๆ อาจต้องตรวจละเอียดด้วยวิธีทางการแพทย์

วิธีการป้องกันโรคดังกล่าว คือหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีอากาศร้อนจัด / หนาวจัด, ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ดูและสภาพจิตใจไม่ให้เกิดความเครียด, ทาครีมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอ, ใช้ยาลดการอักเสบ-ยาฆ่าเชื้อรา, กรณีที่มีรอยโรคที่หนังศีรษะ รักษาโดยใช้ยาสระผมที่มีส่วนผสมของน้ำมันดิน หรือ ยาฆ่าเชื้อรา หรือ selenium sulfide, พักผ่อนให้เพียงพอ รวมไปถึงหลีกเลี่ยงการใช้ยาบางชนิด ที่กระตุ้นให้เกิดเซ็บเดิร์มได้ ในรายที่เป็นรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาซึ่งอาจมีการให้ยารับประทาน

ปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปทางการแพทย์ที่แน่ชัดถึงสาเหตุของโรคเซ็บเดิร์ม แต่แพทย์สันนิษฐานว่าปัจจัยอย่าง ระดับของฮอร์โมนที่แปรปรวน การมีเชื้อยีสต์บนผิวหนังมากขึ้น รวมถึงจากพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งผื่นเซ็บเดิร์มสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในหน้าร้อนและหน้าหนาว สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดโรคดังกล่าว การเกิดเซ็บเดิมไม่ได้มาจากการไม่รักษาความสะอาดหรืออาการภูมิแพ้แต่อย่างใด ไม่ใช่โรคติดต่อ และคำถามที่ว่าเซ็บเดิร์ม หายขาดไหม ? คำตอบคือไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ อย่างไรก็ตาม ทารกแรกเกิด – 2 เดือน และผู้ใหญ่อายุตั้งแต่ 30-60 ปี มีโอกาสที่จะเป็นโรคนี้ได้มากกว่าวัยอื่น ๆ

เซ็บเดิร์มมีลักษณะและอาการดังนี้

ข้อควรปฏิบัติหลังเกิดผื่นเซ็บเดิร์ม

ควรพบแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาอย่างถูกวิธี ซึ่งวิธีรักษาโรคนี้จะมีการใช้ยาทาเพียง 1-2 ชนิด ควบคู่ไปกับการปฏิบัติตนให้ถูกต้อง ดูแลตัวเองไม่ให้เกิดความเครียด หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางทุกชนิด ไม่แนะนำให้แต่งหน้าเพื่อปกปิดผื่นเซ็บเดิร์ม เพราะอาจไปกระตุ้นให้อาการแย่ลงหรือกลายเป็นผื่นชนิดอื่น เช่น การแพ้สัมผัสครีมหรือเครื่องสำอางบางตัว และอาจทำให้เกิดสิวได้อีกด้วย

เป็นเซ็บเดิร์ม ห้ามกินอะไร

แม้ว่าจะไม่มีการระบุประเภทอาหารที่ก่อให้เกิดโรคอย่างแน่ชัด แต่งานวิจัยบางชิ้นพบความเชื่อมโยงระหว่างอาหาร(บางชนิด) ที่อาจเป็นตัวกระตุ้นก่อให้เกิดโรคได้ อย่างงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ถูกตีพิมพ์ใน Journal of Investigative Dermatology (2018) พบว่ารูปแบบการบริโภคอาหารแบบ “ตะวันตก” ที่ส่วนใหญ่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์และอาหารแปรรูป อย่าง ชีส, เต้าหู้, เค้ก, ขนมปัง, ซอสมะเขือเทศ, มันฝรั่งทอดกรอบรสเค็ม อาจเป็นสิ่งที่กระตุ้นทำให้เป็นเซ็บเดิร์มได้

อ้างอิง

skin

ผิวลอกเป็นขุย ตลอดเวลา แนะ 7 วิธีในการดูแลผิวให้ชุ่มชื้นขึ้น

July 9, 2021

ภาวะ ผิวลอกเป็นขุย และผิวแห้งมาก คืออะไร

ภาวะ ผิวลอกเป็นขุย และผิวแห้งมาก คืออะไร

 ภาวะผิวแห้งมาก (Xerosis) คือลักษณะผิวที่มีปัญหาแห้งกร้าน ผิวแห้งลอกเป็นขุย เป็นความผิดปกติของผิวที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด มีสาเหตุมาจากการขาดน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวให้ชุ่มชื้น เนื่องจากต่อมไขมันมีขนาดเล็กและมีจำนวนน้อย จึงผลิตขึ้นมาไม่เพียงพอสำหรับการกักเก็บความชุ่มชื้น ก่อให้เกิดผิวแห้งตึง ผิวลอกเป็นขุย ไม่เรียบเนียน ต่างจากผิวที่ขาดความชุ่มชื้น ที่เป็นเพียงแค่อาการผิดปกติของผิวชั่วคราว

แต่สิ่งที่เหมือนกันระหว่างผิวแห้งมากจนลอกเป็นขุย กับ ผิวขาดน้ำ คือหากขาดการดูแลที่เหมาะสมก็จะยิ่งเพิ่มระดับความรุนแรง โดยจะมีอาการคันผิวหนังหรือผิวไวต่อการระคายเคืองง่ายร่วมด้วยในอนาคต

เพื่อลดโอกาสการเกิดปัญหาผิวแห้งตั้งแต่แรกเริ่ม ควรรู้สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาเสียก่อน ซึ่งสาเหตุของการเกิดปัญหาผิวลอก ผิวแห้งมากขึ้นอยู่กับปัจจัยเหล่านี้ 

  • สารให้ความชุ่มชื้นในผิว : โดยปกติแล้วในผิวชั้นบนจะมีสารให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ (NMFs) เช่น ยูเรีย แลคเตรท ที่ทำหน้าที่จับโมเลกุลน้ำไว้ภายในผิว เมื่อไหร่ก็ตามที่ผิวหากขาดสารตัวที่ว่านี้ ก็จะทำให้การยึดเกาะกับโมเลกุลน้ำภายในผิวเกิดได้ไม่ดี เกิดการสูญเสียน้ำออกจากผิวได้ง่าย ส่งผลให้เกิดปัญหาหน้าลอก ผิวแห้งตึง ลอกเป็นขุย 
  • ไขมันที่จำเป็นในผิว : ไขมันที่อยู่ในชั้นผิวหนังตามธรรมชาติ เช่น เซราไมด์ ที่มีหน้าที่ทำให้ชั้นปกป้องผิวแข็งแรง ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น ให้ผิวมีความยืดหยุ่นและแข็งแรง นอกจากนี้สิ่งที่ผิวขาดไม่ได้คือกรดไขมันจำเป็น (Essential Fatty Acid) เช่น Omega 3&6 Fatty Acids ซึ่งร่างกายไม่สามารถผลิตกรดไขมันเหล่านี้ได้เอง แต่จะได้จากอาหารที่รับประทาน หรือครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของไขมันจำเป็นดังกล่าวเป็นส่วนผสม

7 เคล็ดลับเพื่อผิวชุ่มชื้นขั้นสุด

  1. เลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวสูตรอ่อนโยน

ขั้นตอนแรกควรทำความสะอาดผิว ควรเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดแบบไม่ต้องล้างน้ำ เช่น Micella Water หรือ Cleansing Water ที่เหมาะกับทุกสภาพผิว ในกิจวัตรตอนเช้าและตอนเย็น เวลาใช้ก็ให้หยดบนสำลีจนชุ่ม แล้วค่อย ๆ เช็ดหน้าแบบเบา ๆ เช็ดให้ทั่วใบหน้า เพื่อล้างคราบสิ่งสกปรกออก 

  1. ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมที่ให้ความชุ่มชื้น

ไม่ว่าคุณจะมีผิวแห้ง, ผิวมัน ,ผิวแพ้ง่าย, ผิวผสม หรือผิวปกติ ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมที่ให้ความชุ่มชื้นกับผิวก็ยังจำเป็นอย่างมาก เช่น กรดไฮยาลูโรนิก ที่ขึ้นชื่อในเรื่องคุณสมบัติในการให้ความชุ่มชื้น ลองใช้ Water Drench™ Hyaluronic Cloud Cream Hydrating Moisturizer ของ PETER THOMAS ROTH มอยส์เจอไรเซอร์ที่อุดมไปด้วย hyaluronic acid ที่มีความเข้มข้นถึง 30% ช่วยเติมน้ำให้ผิวเปล่งปลั่งแลอ่อนเยาว์ได้ยาวนานถึง 72 ชั่วโมง

  1. ลองใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสูตรน้ำ

ทางเลือกหนึ่งเมื่อพูดถึงความชุ่มชื้น อยากให้นึกถึงการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์สูตรน้ำเพราะมีน้ำหนักเบา ความเบาบางของเนื้อครีมทำให้ดูดซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งมอยเจอร์ไรเซอร์สูตรน้ำก็มีหลายแบรนด์ให้เลือกใช้ เช่น Cactus Water Moisturizer ของ BOSCIA ที่เคลมว่าเป็นมอยส์เจอร์ไรเซอร์เนื้อบางเบา ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว ให้ผิวที่กระหายน้ำได้รับการเติมความชุ่มชื้น ผลลัพธ์คือผิวที่นุ่ม เรียบเรียน และมีสมดุลอย่างสุขภาพดี

  1. ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์กับผิวที่เปียกหมาด ๆ

มอยเจอร์ไรเซอร์จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากทาในขณะที่ผิวยังเปียกหมาด ๆ (ซับผิวให้หมาดหรือพอให้มีความชื้นเล็กน้อย) ซึ่งจะช่วยให้มอยเจอร์ไรเซอร์ซึมเข้าผิวได้ดีกว่าผิวที่แห้งสนิท

7 เคล็ดลับเพื่อผิวชุ่มชื้นขั้นสุด

  1. มองหาผลิตภัณฑ์ขั้นกว่า

หากต้องการความชุ่มชื้นที่มากขึ้น ลองมองหาสกินแคร์เพิ่มเข้ามาในขั้นตอนการบำรุงผิว เช่น เซรั่ม (ใช้หลังจากล้างหน้า ทาก่อนใช้มอยเจอร์ไรเซอร์) เช่นตัว Vitamin Nectar Glow Juice Antioxidant Face Serum ของ FRESH ที่มีเนื้อสัมผัสแบบ water-oil มอบความชุ่มชื้น แต่บางเบาไม่เหนียวเหนอะหนะ และไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน

  1. ปรนนิบัติผิวด้วยชีตมาสก์

ชีสมาสก์ ทำให้เรื่องความชุ่มชื้นในผิวเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น เพราะไม่เพียงแค่เป็นการปรนนิบัติผิวให้ดูสุขภาพดีแล้ว ยังช่วยให้ผิวกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้อย่างยาวนาน ซึ่งวิธีนี้จะใช้ได้ผลก็ต่อเมื่อเลือกใช้สูตรที่ถูกต้อง ลองมาสก์หน้าด้วย Luminous Dewy Skin Mask ของ TATCHA ชีตมาส์กที่มีน้ำมันจากพืช เพื่อเติมความชุ่มชื้นแก่ผิวหน้าถึงขีดสุด เผยผิวโกลว์ฉ่ำวาว

  1. ฉีดสเปรย์น้ำแร่ระหว่างวัน

ในช่วงเวลาที่ผิวต้องการเติมความชุ่มชื้นระหว่างวัน ลองฉีดสเปรย์น้ำแร่ ตัว Facial Spray With Aloe Herbs & Rose ของ MARIO BADESCU ซึ่งจะช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้าได้ ไม่ว่าจะในออฟฟิศหรือบนเครื่องบินหรือที่ที่มีอากาศหนาวเย็น โดยไม่ลบเลือนเมคอัพ พร้อมรับกับความสดชื่นในตอนกลางวันได้เป็นอย่างดี

อ้างอิง