เรตินอล คืออะไร
เรตินอล คือ รูปแบบหนึ่งของวิตามินเอที่เป็นสารในกลุ่มเรตินอยด์ แล้วเรตินอยด์ก็เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเออีกที ปัจจุบันถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมในสกินแคร์และผลิตภัณฑ์ปรนนิบัติผิว ประเภท Anti-Aging อย่างแพร่หลาย เพื่อส่งเสริมการผลัดผิวใหม่และเสริมสร้างการผลิตคอลลาเจน (ที่จะเริ่มลดลงในวัย 30 ปี) จึงไม่แปลกที่ส่วนผสมดังกล่าวจะกลายเป็นส่วนผสมสุดฮิตในสกินแคร์หลายตัว หากคุณมีความกังวลเกี่ยวกับการดูแลผิวอย่าง ริ้วรอย รอยเหี่ยวย่น ขนาดรูขุมขน และสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ คุณอาจต้องปรับการใช้เรตินอลให้เป็นสกินแคร์รูทีนแล้วตั้งแต่ตอนนี้!
การทำงานของเรตินอลทำได้หลายระดับ สามารถออกฤทธิ์ชั้นใต้ผิวหนังในระดับเซลล์ ส่งเสริมการหมุนเวียนของเซลล์โดยเพิ่มอัตราการผลัดเซลล์ผิวใหม่ ซึ่งมีผลต่อการสร้างเซลล์ที่ผิดปกติให้กลับไปสู่สภาพปกติ ต่อสู้กับสัญญาณแห่งวัย ช่วยลดและป้องกันการเกิดริ้วรอย Retinol ไม่ได้เด่นแค่เรื่องของริ้วรอย แต่ยังเด่นในเรื่องรักษาสิว ซึ่งจะช่วยปรับผิวให้ดูเรียบเนียน รูขุมขนดูกระชับ ส่วนหนึ่งเกิดจากไม่มีคอมีโดนอุดอยู่ข้างใน รูขุมขนที่สะอาดจะแลดูเล็กลง ลดการสร้างน้ำมันบนใบหน้า ลดการอักเสบของสิว และลดการเจริญเติบโตของเชื้อ P.acne นอกจากนี้การหมุนเวียนของเซลล์ยังช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอด้วย
ควรเริ่มใช้เรตินอลเมื่ออายุเท่าไหร่
“อายุ 20 ปลาย ๆ – 30 ต้น ๆ เป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะเริ่มใช้เรตินอยด์” แม้ว่าจะไม่มีเวลากำหนดที่จะใช้เรตินอยด์ แต่อายุ 30 มักเป็นช่วงที่คอลลาเจนจะเริ่มลดน้อยลงตามอายุที่มากขึ้น เมื่อขาดคอลลาเจนผิวจะดูมีริ้วรอยและไม่สดใสเหมือนเดิม แพทย์ผิวหนังส่วนใหญ่จึงแนะนำให้ใช้ส่วนผสมดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนการดูแลผิวช่วงอายุ 20 กลาง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีปัญหาเรื่องสิวหรือผิวคล้ำเสีย ทั้งนี้เรตินอลถูกอนุญาตให้ใช้ในเครื่องสำอางได้ตามกฎ FDA ทั่วโลก ส่วนอนุพันธุ์ Retinoic Acid หรือ ที่รู้จักในชื่อการค้าว่า Retin-A ยาทารักษาสิว ที่มีส่วนผสมของกรดวิตามินเอ ซึ่งมีสถานะเป็นยาไม่ใช่เครื่องสำอาง หากจะใช้ต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเท่านั้น เพราะความเป็นยาซึ่งต้องควบคุมและมีความเข้มข้นค่อนข้างสูงอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้
คำแนะนำสำหรับวิธีการใช้
- ควรจะเริ่มใช้จากที่มีความเข้มข้นจากน้อยไปมาก ผลงานวิจัยที่ได้ถูกตีพิมพ์บ่งชี้ว่าเรตินอล ที่มีความเข้มข้นต่ำเพียง แค่ 0.01% ก็มีประสิทธิภาพมากพอที่จะช่วยลดปัญหาริ้วรอยแห่งวัยต่าง ๆ ได้ เพียงใช้เป็นประจำและสม่ำเสมอ
- ความเชื่อที่ว่า ห้ามใช้ Retinol + AHA/BHA ร่วมกัน ไม่เป็นความจริง เพราะสารสองตัวทำงานต่างกัน เรตินอลจะกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเพื่อสร้างเซลล์ผิวใหม่ ในส่วนของกรด AHA และ BHA ขจัดเซลล์ผิวชั้นบนสุดเพื่อเผยเซลล์ผิวใหม่ที่อยู่ข้างล่าง สารสองตัวสามารถทำงานร่วมกันได้ เพื่อเผยให้เห็นสีผิวที่สม่ำเสมอและสุขภาพผิวที่ดียิ่งขึ้น
- สามารถใช้ได้ทั้ง 2 เวลา ทั้งกลางวันและกลางคืน แต่มักถูกใช้ในเวลากลางคืนมากกว่ากลางวัน เพราะเข้าใจว่าผิวจะไวต่อแสงมากกว่า ซึ่งความเป็นจริงแล้วไม่ว่าจะใช้ในช่วงเวลาใดก็ทำให้ผิวไวต่อแสงได้ทั้งนั้นสำคัญอยู่ที่การทาครีมกันแดด ที่มีค่า SFP ไม่ต่ำกว่า 30 ในปริมาณที่เพียงพอ เพื่อให้ผิวได้ประโยชน์สูงสุด หลังล้างหน้าและซับหน้าให้สะอาดแล้วให้ทาเรตินอล ตามด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์เป็นลำดับสุดท้ายในของขั้นตอนการดูแลผิว เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
- ส่วนใหญ่นิยมใช้ในบริเวณผิวหน้า แต่หากคุณต้องการดูแลเพื่อแก้ปัญหาผิวส่วนอื่น ๆ ของร่างกายอย่าง บริเวณคอ หัวไหล่ อก หรือ บริเวณหลัง ก็สามารถทำได้เช่นกัน
เรตินอลก็มีผลข้างเคียง
แม้ว่าเรตินอลจะมีคุณสมบัติที่ดีต่อผิวอย่างมากมายและตอบโจทย์ใครหลายคน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเหมาะกับทุกสภาพผิว หากคุณเป็นโรคทางผิวหนังบางชนิด เช่น โรคสะเก็ดเงิน หรือ กลาก ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงการใช้สารดังกล่าว เนื่องจากยาเรตินอลจะออกฤทธิ์แรงเกินไปสำหรับผิว อาจเพิ่มการอักเสบ ความแห้งกร้าน และความไวในผิวที่บอบบางอยู่แล้ว รวมไปถึงคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ อยู่ในช่วงให้นมบุตร หรือ ผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย หากเป็นกรณีนี้ให้ปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มใช้จะดีที่สุด
อ้างอิง