อาการของโรคเซ็บเดิร์ม
โรคเซ็บเดิร์ม เป็นโรคผิวหนังที่มีภาวะอักเสบจากต่อมไขมันในชั้นผิวหนัง อธิบายง่าย ๆ คือ เมื่อเป็นโรคเซ็บเดิร์มจะเกิดผื่นแดงตามผิวหนัง ขอบไม่ชัด ลอกเป็นแผ่น ตกสะเก็ดคล้ายรังแค มักเป็น ๆ หาย ๆ ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยบริเวณหนังศีรษะ, ใบหน้า, เปลือกตา, หน้าอก และแผ่นหลัง นอกจากนี้การเจ็บป่วยจากโรคหรือภาวะบางอย่าง เช่น โรคเกี่ยวกับระบบประสาทและโรคทางจิต เช่น โรคพาร์กินสัน, โรคตับอ่อนอักเสบ พิษสุราเรื้อรัง และมะเร็งบางชนิด, โรคเกี่ยวกับระบบต่อมไร้ท่อที่เป็นสาเหตุของโรคอ้วน เช่น เบาหวาน ก็เป็นอีกปัจจัยที่เสี่ยงต่อการเกิดเซ็บเดิร์มได้
เซ็บเดิร์มมีลักษณะและอาการดังนี้
- ผมร่วงบริเวณหนังศรีษะที่เป็นเซ็บเดิร์ม
- ผิวหนังในบริเวณเป็นเซ็บเดิร์มจะมีความมัน
- มีอาการแดง คัน
- ผิวลอก ตกสะเก็ด บางครั้งสะเก็ดที่หลุดลอกอาจจะเป็นสีเหลือง หรือขาว ที่เรียกว่ารังแค อาจจะเป็นได้บริเวณ ผม คิ้ว
อาการของเซ็บเดิร์มอาจมีลักษณะคล้ายกับโรคผิวหนังบางชนิด เช่น สิว สังเกตได้จากหากเป็นสิวอุดตัน จะมีลักษณะเป็นเม็ดเล็ก ๆ หัวปิดหัวเปิด ตุ่มดำ ตุ่มหนอง ตุ่มอักเสบ นอกจากนี้ก็ยังมีโรค SLE หรือโรคพุ่มพวง ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่สามารถแยกออกจากกันได้เนื่องจากโรค SLE จะมีลักษณะเป็นผื่นแดงที่ข้างแก้มเหมือนปีกผีเสื้อ และไม่ได้อยู่ชิดบริเวณข้างจมูกเหมือนกับผื่นเซ็บเดิร์ม
อีกหนึ่งโรคที่มีผื่นขึ้นคล้ายกันก็คือ โรคผื่นแพ้สัมผัส ซึ่งลักษณะของผื่นคล้ายกับเซ็บเดิร์มมาก แต่เมื่อตรวจอย่างละเอียดจะสามารถแยกความแตกต่างระหว่างสองโรคได้ เพราะส่วนมากผู้ที่เป็นผื่นแพ้สัมผัสมักมีการเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ดูแลผิวใหม่ภายใน 1-2 สัปดาห์ ที่ผ่านมา เช่น สกินแคร์ยี่ห้อใหม่ โฟมล้างหน้ายี่ห้อใหม่ เป็นต้น ส่วนโรคผิวหนังอื่น ๆ อาจต้องตรวจละเอียดด้วยวิธีทางการแพทย์
วิธีการป้องกันโรคดังกล่าว คือหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีอากาศร้อนจัด / หนาวจัด, ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ดูและสภาพจิตใจไม่ให้เกิดความเครียด, ทาครีมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอ, ใช้ยาลดการอักเสบ-ยาฆ่าเชื้อรา, กรณีที่มีรอยโรคที่หนังศีรษะ รักษาโดยใช้ยาสระผมที่มีส่วนผสมของน้ำมันดิน หรือ ยาฆ่าเชื้อรา หรือ selenium sulfide, พักผ่อนให้เพียงพอ รวมไปถึงหลีกเลี่ยงการใช้ยาบางชนิด ที่กระตุ้นให้เกิดเซ็บเดิร์มได้ ในรายที่เป็นรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาซึ่งอาจมีการให้ยารับประทาน
ปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปทางการแพทย์ที่แน่ชัดถึงสาเหตุของโรคเซ็บเดิร์ม แต่แพทย์สันนิษฐานว่าปัจจัยอย่าง ระดับของฮอร์โมนที่แปรปรวน การมีเชื้อยีสต์บนผิวหนังมากขึ้น รวมถึงจากพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งผื่นเซ็บเดิร์มสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในหน้าร้อนและหน้าหนาว สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดโรคดังกล่าว การเกิดเซ็บเดิมไม่ได้มาจากการไม่รักษาความสะอาดหรืออาการภูมิแพ้แต่อย่างใด ไม่ใช่โรคติดต่อ และคำถามที่ว่าเซ็บเดิร์ม หายขาดไหม ? คำตอบคือไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ อย่างไรก็ตาม ทารกแรกเกิด – 2 เดือน และผู้ใหญ่อายุตั้งแต่ 30-60 ปี มีโอกาสที่จะเป็นโรคนี้ได้มากกว่าวัยอื่น ๆ
ข้อควรปฏิบัติหลังเกิดผื่นเซ็บเดิร์ม
ควรพบแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาอย่างถูกวิธี ซึ่งวิธีรักษาโรคนี้จะมีการใช้ยาทาเพียง 1-2 ชนิด ควบคู่ไปกับการปฏิบัติตนให้ถูกต้อง ดูแลตัวเองไม่ให้เกิดความเครียด หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางทุกชนิด ไม่แนะนำให้แต่งหน้าเพื่อปกปิดผื่นเซ็บเดิร์ม เพราะอาจไปกระตุ้นให้อาการแย่ลงหรือกลายเป็นผื่นชนิดอื่น เช่น การแพ้สัมผัสครีมหรือเครื่องสำอางบางตัว และอาจทำให้เกิดสิวได้อีกด้วย
เป็นเซ็บเดิร์ม ห้ามกินอะไร
แม้ว่าจะไม่มีการระบุประเภทอาหารที่ก่อให้เกิดโรคอย่างแน่ชัด แต่งานวิจัยบางชิ้นพบความเชื่อมโยงระหว่างอาหาร(บางชนิด) ที่อาจเป็นตัวกระตุ้นก่อให้เกิดโรคได้ อย่างงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ถูกตีพิมพ์ใน Journal of Investigative Dermatology (2018) พบว่ารูปแบบการบริโภคอาหารแบบ “ตะวันตก” ที่ส่วนใหญ่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์และอาหารแปรรูป อย่าง ชีส, เต้าหู้, เค้ก, ขนมปัง, ซอสมะเขือเทศ, มันฝรั่งทอดกรอบรสเค็ม อาจเป็นสิ่งที่กระตุ้นทำให้เป็นเซ็บเดิร์มได้
อ้างอิง