Monthly Archives:

July 2021

skin

เซ็บเดิร์ม รักษาอย่างไร จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็น “โรคเซ็บเดิร์ม”

July 9, 2021
โรค เซ็บเดิร์ม รักษา อย่างไร

โรคเซ็บเดิร์ม เป็นภาวะผิวหนังทั่วไปที่ส่งผลต่อหนังศีรษะ ใบหน้า และส่วนอื่น ๆ ของร่างกายที่มีต่อมน้ำมันเข้มข้นสูง มีลักษณะเป็นผื่นแดง ผิวหนังอักเสบ และมีเกล็ดสีขาวหรือเหลืองเป็นขุย ซึ่งอาจทำให้รู้สึกคันและไม่สบายตัวได้ สาเหตุที่แท้จริงของ โรคเซ็บเดิร์มยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่คาดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของยีสต์บนผิวหนัง เช่นเดียวกับปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรค ได้แก่ ความเครียด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน อากาศหนาว และสภาวะทางการแพทย์บางอย่าง แล้วโรค เซ็บเดิร์ม รักษา ได้อย่างไร ? ก่อนอื่นเรามาดูอาการของโรคนี้กันก่อน

อาการของโรคเซ็บเดิร์ม

อาการของโรค เซ็บเดิร์ม รักษา อย่างไร

โรคเซ็บเดิร์ม เป็นโรคผิวหนังที่มีภาวะอักเสบจากต่อมไขมันในชั้นผิวหนัง อธิบายง่าย ๆ คือ เมื่อเป็นโรคเซ็บเดิร์มจะเกิดผื่นแดงตามผิวหนัง ขอบไม่ชัด ลอกเป็นแผ่น ตกสะเก็ดคล้ายรังแค มักเป็น ๆ หาย ๆ ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยบริเวณหนังศีรษะ, ใบหน้า, เปลือกตา, หน้าอก และแผ่นหลัง นอกจากนี้การเจ็บป่วยจากโรคหรือภาวะบางอย่าง เช่น โรคเกี่ยวกับระบบประสาทและโรคทางจิต เช่น โรคพาร์กินสัน โรคตับอ่อนอักเสบ พิษสุราเรื้อรัง และมะเร็งบางชนิด โรคเกี่ยวกับระบบต่อมไร้ท่อที่เป็นสาเหตุของโรคอ้วน เช่น เบาหวาน ก็เป็นอีกปัจจัยที่เสี่ยงต่อการเกิดเซ็บเดิร์มได้

เซ็บเดิร์มมีลักษณะและอาการดังนี้

  • ผมร่วงบริเวณหนังศรีษะที่เป็นเซ็บเดิร์ม
  • ผิวหนังในบริเวณเป็นเซ็บเดิร์มจะมีความมัน
  • มีอาการแดง คัน
  • ผิวลอก ตกสะเก็ด บางครั้งสะเก็ดที่หลุดลอกอาจจะเป็นสีเหลือง หรือขาว ที่เรียกว่ารังแค อาจจะเป็นได้บริเวณ ผม คิ้ว

อาการของเซ็บเดิร์มอาจมีลักษณะคล้ายกับโรคผิวหนังบางชนิด เช่น สิว สังเกตได้จากหากเป็นสิวอุดตัน จะมีลักษณะเป็นเม็ดเล็ก ๆ หัวปิดหัวเปิด ตุ่มดำ ตุ่มหนอง ตุ่มอักเสบ นอกจากนี้ก็ยังมีโรค SLE หรือโรคพุ่มพวง ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่สามารถแยกออกจากกันได้ เนื่องจากโรค SLE จะมีลักษณะเป็นผื่นแดงที่ข้างแก้มเหมือนปีกผีเสื้อ และไม่ได้อยู่ชิดบริเวณข้างจมูกเหมือนกับผื่นเซ็บเดิร์ม

อีกหนึ่งโรคที่มีผื่นขึ้นคล้ายกันก็คือ โรคผื่นแพ้สัมผัส ซึ่งลักษณะของผื่นคล้ายกับเซ็บเดิร์มมาก แต่เมื่อตรวจอย่างละเอียดจะสามารถแยกความแตกต่างระหว่างสองโรคได้ เพราะส่วนมากผู้ที่เป็นผื่นแพ้สัมผัสมักมีการเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ดูแลผิวใหม่ภายใน 1-2 สัปดาห์ ที่ผ่านมา เช่น สกินแคร์ยี่ห้อใหม่ โฟมล้างหน้ายี่ห้อใหม่ เป็นต้น ส่วนโรคผิวหนังอื่น ๆ อาจต้องตรวจละเอียดด้วยวิธีทางการแพทย์ คุณอาจสนใจบทความ การเลือกสกินแคร์ให้เหมาะกับสภาพผิว


การรักษาโรคเซ็บเดิร์ม

โรค เซ็บเดิร์ม รักษา ได้อย่างไร ? การรักษาโรคนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและบริเวณของร่างกายที่ได้รับผลกระทบ นี่คือตัวเลือกการรักษาบางอย่างที่แพทย์อาจแนะนำ

1. ยาต้านเชื้อราเฉพาะที่ ยาเหล่านี้ เช่น ketoconazole และ ciclopirox สามารถช่วยลดการอักเสบและต่อสู้กับยีสต์ที่ก่อให้เกิดผิวหนังอักเสบเซ็บเดิร์ม มักมีอยู่ในรูปของแชมพู ครีม หรือขี้ผึ้ง

2. ยาต้านการอักเสบเฉพาะที่ ยาเหล่านี้ เช่น คอร์ติโคสเตียรอยด์หรือสารยับยั้งแคลซินูริน สามารถช่วยลดการอักเสบและอาการคันที่เกี่ยวข้องกับผิวหนังอักเสบจากไขมัน อย่างไรก็ตาม การใช้ยาเหล่านี้ในระยะยาวอาจมีผลข้างเคียง ดังนั้นควรใช้ด้วยความระมัดระวัง

3. แชมพูยา หากผิวหนังอักเสบจากเซ็บเดิร์ม ส่งผลต่อหนังศีรษะ ใช้แชมพูยาที่มีส่วนผสมที่ออกฤทธิ์ เช่น กรดซาลิไซลิก หรือสังกะสี ไพริไธโอนสามารถช่วยลดการอักเสบและควบคุมอาการได้

4. การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิต การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิตบางอย่างอาจช่วยในการจัดการกับโรคเซ็บเดิร์ม เช่น การหลีกเลี่ยงสบู่หรือผงซักฟอกที่รุนแรง ลดความเครียด และออกกำลังกายเป็นประจำ แนะ 7 วิธีในการดูแลผิวให้ชุ่มชื้นขึ้น

5. การบำบัดด้วยแสง ในบางกรณีอาจใช้การส่องไฟเพื่อรักษาโรคเซ็บเดิร์ม สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการเปิดเผยผิวหนังที่ได้รับผลกระทบกับแสงเฉพาะประเภทที่สามารถลดการอักเสบและทำให้อาการดีขึ้น

สิ่งสำคัญคือต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างระมัดระวังและรักษาต่อไปแม้ว่าอาการจะดีขึ้นก็ตาม ในบางกรณี ผิวหนังอักเสบอาจเป็นภาวะเรื้อรัง แต่ด้วยการจัดการและการรักษาที่เหมาะสม จะสามารถควบคุมและลดอาการได้ ซึ่งวิธีการป้องกันโรคดังกล่าว คือหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีอากาศร้อนจัด / หนาวจัด, ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ดูและสภาพจิตใจไม่ให้เกิดความเครียด, ทาครีมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอ, ใช้ยาลดการอักเสบ-ยาฆ่าเชื้อรา, กรณีที่มีรอยโรคที่หนังศีรษะ รักษาโดยใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์, พักผ่อนให้เพียงพอ รวมไปถึงหลีกเลี่ยงการใช้ยาบางชนิด ที่กระตุ้นให้เกิดเซ็บเดิร์มได้ ในรายที่เป็นรุนแรงควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาซึ่งอาจมีการให้ยารับประทาน

ปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปทางการแพทย์ที่แน่ชัดถึงสาเหตุของโรคเซ็บเดิร์ม แต่แพทย์สันนิษฐานว่าปัจจัยอย่าง ระดับของฮอร์โมนที่แปรปรวน การมีเชื้อยีสต์บนผิวหนังมากขึ้น รวมถึงจากพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งผื่นเซ็บเดิร์มสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในหน้าร้อนและหน้าหนาว สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดโรคดังกล่าว การเกิดเซ็บเดิร์มไม่ได้มาจากการไม่รักษาความสะอาดหรืออาการภูมิแพ้แต่อย่างใด ไม่ใช่โรคติดต่อ

ส่วนคำถามที่ว่า เซ็บเดิร์ม รักษา หายขาดไหม ? คำตอบ คือ ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ อย่างไรก็ตาม ทารกแรกเกิด – 2 เดือน และผู้ใหญ่อายุตั้งแต่ 30-60 ปี มีโอกาสที่จะเป็นโรคนี้ได้มากกว่าวัยอื่น ๆ


ข้อควรปฏิบัติหลังเกิดผื่นเซ็บเดิร์ม

เซ็บเดิร์ม มีลักษณะและอาการดังนี้

หลังจากมีอาการผื่นผิวหนังอักเสบหรือเกิดผื่นเซ็บเดิร์ม มีวิธีปฏิบัติหลายอย่างที่สามารถช่วยในการจัดการอาการและป้องกันการระบาดในอนาคต ต่อไปนี้คือคำแนะนำบางประการสำหรับสิ่งที่ต้องทำหลังจากผิวหนังอักเสบไม่ให้ลุกลาม ได้แก่ รักษาความสะอาด โดยใช้น้ำยาทำความสะอาดผิวที่อ่อนโยนและน้ำอุ่น เพื่อขจัดน้ำมันส่วนเกินหรือเซลล์ผิวที่ตายแล้ว หมั่นทามอยส์เจอไรเซอร์ เพื่อช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองและลดความแห้งกร้านได้ มองหามอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ปราศจากน้ำหอมและไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน และหลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของสุขอนามัยส่วนบุคคลร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดตัวหรือหวี เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค รวมถึง วิธีดูแลผิวหน้า เพื่อสุขภาพผิวที่ดี 

และควรพบแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาอย่างถูกวิธี ซึ่งวิธีรักษาโรคนี้จะมีการใช้ยาทาเพียง 1-2 ชนิด ควบคู่ไปกับการปฏิบัติตนให้ถูกต้อง ดูแลตัวเองไม่ให้เกิดความเครียด หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางทุกชนิด ไม่แนะนำให้แต่งหน้าเพื่อปกปิดผื่นเซ็บเดิร์ม เพราะอาจไปกระตุ้นให้อาการแย่ลงหรือกลายเป็นผื่นชนิดอื่น เช่น การแพ้สัมผัสครีมหรือเครื่องสำอางบางตัว และอาจทำให้เกิดสิวได้อีกด้วย


โรคเซ็บเดิร์ม ห้ามกินอะไร

แม้ว่าจะไม่มีการระบุประเภทอาหารที่ก่อให้เกิดโรคอย่างแน่ชัด แต่งานวิจัยบางชิ้นพบความเชื่อมโยงระหว่างอาหาร (บางชนิด) ที่อาจเป็นตัวกระตุ้นก่อให้เกิดโรคได้ อย่างงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ถูกตีพิมพ์ใน Journal of Investigative Dermatology (2018) พบว่ารูปแบบการบริโภคอาหารแบบ “ตะวันตก” ที่ส่วนใหญ่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์และอาหารแปรรูปอย่าง ชีส, เต้าหู้, เค้ก, ขนมปัง, ซอสมะเขือเทศ, มันฝรั่งทอดกรอบรสเค็ม อาจเป็นสิ่งที่กระตุ้นทำให้เป็นเซ็บเดิร์มได้

เมื่อปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติเหล่านี้ จะช่วยให้จัดการกับอาการของโรคเซ็บเดิร์มและป้องกันการลุกลามในอนาคตได้ แต่ถ้าหากคุณมีอาการต่อเนื่องหรือรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการประเมินและการรักษาต่อไป


อ้างอิง

skin

ผิวลอกเป็นขุย ตลอดเวลา แนะ 7 วิธีในการดูแลผิวให้ชุ่มชื้นขึ้น

July 9, 2021
ผิวลอกเป็นขุย ตลอดเวลา แนะ 7 วิธีในการดูแลผิวให้ชุ่มชื้นขึ้น

ผิวลอกเป็นขุย เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การสัมผัสกับสิ่งที่ทำให้เกิดการเสียดสีผิวหรือการแพ้สิ่งที่มีอยู่บนผิวหน้า ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่เหมาะสมกับสภาพผิว หรือสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เช่น สารเคมีในอากาศ แสงแดดที่มีรังสี UV และฝุ่นละอองในอากาศ การเคลื่อนไหวของหน้าผากและขนตาที่มากเกินไป นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของร่างกาย เช่น สุขภาพที่ไม่ดี การรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสมและไม่คุ้มค่า และความเครียดที่เกิดจากการทำงานหรือปัญหาทางจิตใจ เป็นต้น

ภาวะ ผิวลอกเป็นขุย และผิวแห้งมาก คืออะไร

ภาวะ ผิวลอกเป็นขุย และผิวแห้งมาก คืออะไร

ภาวะผิวแห้งมาก (Xerosis) คือลักษณะผิวที่มีปัญหาแห้งกร้าน ผิวแห้งลอกเป็นขุย เป็นความผิดปกติของผิวที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด มีสาเหตุมาจากการขาดน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวให้ชุ่มชื้น เนื่องจากต่อมไขมันมีขนาดเล็กและมีจำนวนน้อย จึงผลิตขึ้นมาไม่เพียงพอสำหรับการกักเก็บความชุ่มชื้น ก่อให้เกิดผิวแห้งตึง ผิวลอกเป็นขุย ไม่เรียบเนียน ต่างจากผิวที่ขาดความชุ่มชื้น ที่เป็นเพียงแค่อาการผิดปกติของผิวชั่วคราว

แต่สิ่งที่เหมือนกันระหว่างผิวแห้งมากจนลอกเป็นขุย กับ ผิวขาดน้ำ คือหากขาดการดูแลที่เหมาะสมก็จะยิ่งเพิ่มระดับความรุนแรง โดยจะมีอาการคันผิวหนังหรือผิวไวต่อการระคายเคืองง่ายร่วมด้วยในอนาคต เพื่อลดโอกาสการเกิดปัญหาผิวแห้งตั้งแต่แรกเริ่ม ควรรู้สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาเสียก่อน ซึ่งสาเหตุของการเกิดปัญหาผิวลอก ผิวแห้งมากขึ้นอยู่กับปัจจัยเหล่านี้ 

  • สารให้ความชุ่มชื้นในผิว : โดยปกติแล้วในผิวชั้นบนจะมีสารให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ (NMFs) เช่น ยูเรีย แลคเตรท ที่ทำหน้าที่จับโมเลกุลน้ำไว้ภายในผิว เมื่อไหร่ก็ตามที่ผิวหากขาดสารตัวที่ว่านี้ ก็จะทำให้การยึดเกาะกับโมเลกุลน้ำภายในผิวเกิดได้ไม่ดี เกิดการสูญเสียน้ำออกจากผิวได้ง่าย ส่งผลให้เกิดปัญหาหน้าลอก ผิวแห้งตึง ลอกเป็นขุย 
  • ไขมันที่จำเป็นในผิว : ไขมันที่อยู่ในชั้นผิวหนังตามธรรมชาติ เช่น เซราไมด์ ที่มีหน้าที่ทำให้ชั้นปกป้องผิวแข็งแรง ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น ให้ผิวมีความยืดหยุ่นและแข็งแรง นอกจากนี้สิ่งที่ผิวขาดไม่ได้คือกรดไขมันจำเป็น (Essential Fatty Acid) เช่น Omega 3&6 Fatty Acids ซึ่งร่างกายไม่สามารถผลิตกรดไขมันเหล่านี้ได้เอง แต่จะได้จากอาหารที่รับประทาน หรือครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของไขมันจำเป็นดังกล่าวเป็นส่วนผสม

หรือคุณอาจจะสงสัยว่าเป็นเซ็บเดิร์มหรือไม่ ? จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็น “โรคเซ็บเดิร์ม”


7 เคล็ดลับเพื่อผิวชุ่มชื้นขั้นสุด

1. เลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวสูตรอ่อนโยน

ขั้นตอนแรกควรทำความสะอาดผิว ควรเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดแบบไม่ต้องล้างน้ำ เช่น Micellar Water หรือ Cleansing Water ที่เหมาะกับทุกสภาพผิว ในกิจวัตรตอนเช้าและตอนเย็น เวลาใช้ก็ให้หยดบนสำลีจนชุ่ม แล้วค่อย ๆ เช็ดหน้าแบบเบา ๆ เช็ดให้ทั่วใบหน้า เพื่อล้างคราบสิ่งสกปรกออก 

2. ใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมที่ให้ความชุ่มชื้น

ไม่ว่าคุณจะมีผิวแห้ง, ผิวมัน ,ผิวแพ้ง่าย, ผิวผสม หรือผิวปกติ ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมที่ให้ความชุ่มชื้นกับผิวก็ยังจำเป็นอย่างมาก เช่น กรดไฮยาลูโรนิก ที่ขึ้นชื่อในเรื่องคุณสมบัติในการให้ความชุ่มชื้น ลองใช้ Water Drench™ Hyaluronic Cloud Cream Hydrating Moisturizer ของ PETER THOMAS ROTH มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่อุดมไปด้วย hyaluronic acid ที่มีความเข้มข้นถึง 30% ช่วยเติมน้ำให้ผิวเปล่งปลั่งแลดูอ่อนเยาว์ได้ยาวนานถึง 72 ชั่วโมง หรือมองหา สกินแคร์สำหรับผิวขาดความชุ่มชื้น

3. ลองใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสูตรน้ำ

ทางเลือกหนึ่งเมื่อพูดถึงความชุ่มชื้น อยากให้นึกถึงการใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์สูตรน้ำเพราะมีน้ำหนักเบา ความเบาบางของเนื้อครีมทำให้ดูดซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งมอยส์เจอร์ไรเซอร์สูตรน้ำก็มีหลายแบรนด์ให้เลือกใช้ เช่น Cactus Water Moisturizer ของ BOSCIA ที่เคลมว่าเป็นมอยส์เจอร์ไรเซอร์เนื้อบางเบา ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว ให้ผิวที่กระหายน้ำได้รับการเติมความชุ่มชื้น ผลลัพธ์คือผิวที่นุ่ม เรียบเรียน และมีสมดุลอย่างสุขภาพดี

4. ใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์กับผิวที่เปียกหมาด ๆ

มอยส์เจอร์ไรเซอร์จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากทาในขณะที่ผิวยังเปียกหมาด ๆ (ซับผิวให้หมาดหรือพอให้มีความชื้นเล็กน้อย) ซึ่งจะช่วยให้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ซึมเข้าผิวได้ดีกว่าผิวที่แห้งสนิท

7 เคล็ดลับเพื่อผิวชุ่มชื้นขั้นสุด

5. มองหาผลิตภัณฑ์ขั้นกว่า

หากต้องการความชุ่มชื้นที่มากขึ้น ลองมองหาสกินแคร์เพิ่มเข้ามาในขั้นตอนการบำรุงผิว เช่น เซรั่ม (ใช้หลังจากล้างหน้า ทาก่อนใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์) เช่นตัว Vitamin Nectar Glow Juice Antioxidant Face Serum ของ FRESH ที่มีเนื้อสัมผัสแบบ water-oil มอบความชุ่มชื้น แต่บางเบาไม่เหนียวเหนอะหนะ และไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน

6. ปรนนิบัติผิวด้วยชีตมาส์ก

ชีตมาส์ก ทำให้เรื่องความชุ่มชื้นในผิวเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น เพราะไม่เพียงแค่เป็นการปรนนิบัติผิวให้ดูสุขภาพดีแล้ว ยังช่วยให้ผิวกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้อย่างยาวนาน ซึ่งวิธีนี้จะใช้ได้ผลก็ต่อเมื่อเลือกใช้สูตรที่ถูกต้อง ลองมาส์กหน้าด้วย Luminous Dewy Skin Mask ของ TATCHA ชีตมาส์กที่มีน้ำมันจากพืช เพื่อเติมความชุ่มชื้นแก่ผิวหน้าถึงขีดสุด เผยผิวโกล์วฉ่ำวาว หรือทำมาส์กหน้าเองด้วย 5 สูตรเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว

7. ฉีดสเปรย์น้ำแร่ระหว่างวัน

ในช่วงเวลาที่ผิวต้องการเติมความชุ่มชื้นระหว่างวัน ลองฉีดสเปรย์น้ำแร่ ตัว Facial Spray With Aloe Herbs & Rose ของ MARIO BADESCU ซึ่งจะช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้าได้ ไม่ว่าจะในออฟฟิศหรือบนเครื่องบินหรือที่ที่มีอากาศหนาวเย็น โดยไม่ลบเลือนเมคอัพ พร้อมรับกับความสดชื่นในตอนกลางวันได้เป็นอย่างดี

การดูแลผิวลอกเป็นขุยอย่างเหมาะสม จะช่วยฟื้นฟูผิวและป้องกันการเกิดผิวลอกได้ และนอกจากการดูแลตัวเองจากภายนอกแล้ว ภายในก็สำคัญไม่แพ้กัน อย่าลืมเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิวหน้า เช่น ผักและผลไม้ที่เป็นต้นกำเนิดของวิตามินซีและแอนติออกซิแดนท์ ออกกำลังกายเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ดื่มน้ำให้มาก ๆ เพราะน้ำมีส่วนช่วยในการชะลอการเกิดผิวลอกเป็นขุย  นอนหลับให้เพียงพอ รวมถึงปรับปรุงสุขภาพจิตและลดความเครียด จะสามารถช่วยช่วยลดการลอกเป็นขุยของผิวหน้าได้


อ้างอิง

sunscreen

กันแดดสําหรับคนเป็นสิว หากคุณมีสิว ให้มองหาส่วนผสมทั้ง 2 ตัวนี้!

July 9, 2021
กันแดดสําหรับคนเป็นสิว หากคุณมีสิว ให้มองหาส่วนผสมทั้ง 2 ตัวนี้!

ความสำคัญของกันแดดที่มีต่อคนเป็นสิว

เราเข้าใจดีว่าการที่ต้องทาครีมกันแดดทุกวันอาจสร้างความรำคาญเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับคุณได้อย่าง การไม่สบายหน้า รู้สึกหน้าเมือกหน้ามันตลอดเวลาหลังทา แต่กำลังจะบอกว่าการทาครีมทุกวันนั้นเหมาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนที่เป็นสิว เพราะใบหน้าที่อ่อนแอของคุณต้องเผชิญกับรังสี UV อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งการสัมผัสโดนรังสี UV อย่างต่อเนื่องทำให้รอยแผลเป็นจากสิวมีรอยดำหรือคล้ำมากขึ้น กระตุ้นการเกิดสิวผด (Mallorcan Acne) เกิดการอักเสบระคายเคืองต่อผิวหน้า และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังในระยะยาวได้ วันนี้เลยอยากมาแนะนำ กันแดดสําหรับคนเป็นสิว


2 ส่วนผสมในกันแดดที่เหมาะกับผิวเป็นสิวง่าย

กันแดดสําหรับคนเป็นสิว

การเลือกซื้อครีม กันแดดสําหรับคนเป็นสิว นอกจากจะต้องดูค่า SPF และ PA แล้ว ต้องเลือกประเภทของผลิตภัณฑ์ที่แบ่งตามการออกฤทธิ์ป้องกันผิวด้วย ซึ่งมี 2 แบบ คือ แบบกายภาพ (Physical) และแบบเคมี (Chemical) ซึ่งครีมกันแดดทางกายภาพถือว่าระคายเคืองน้อยกว่าเมื่อเทียบกับแบบเคมี หากคุณใช้แบบเคมีอยู่อาจมีแนวโน้มทำให้ผิวเป็นสิวได้ง่ายขึ้น ที่เกิดจากการระคายเคืองและการอักเสบของผิว ครีมประเภทนี้ก็มีข้อเสียอยู่เหมือนกัน เช่น หลุดออกง่ายเมื่อมีเหงื่อหรือโดนน้ำ ดังนั้นต้องทาซ้ำบ่อย ๆ เมื่อใช้

หากสภาพผิวมีความบอบบางและมีแนวโน้มที่จะเกิดสิวได้ง่าย ควรเลือกใช้ครีมกันแดดแบบกายภาพที่มีส่วนผสม ซิงค์ออกไซด์ (Zinc Oxide) และไททาเนียมไดออกไซด์ (Titanium Dioxide) หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมทั้ง 2 ตัวรวมกัน

  • ซิงค์ออกไซด์ (Zinc Oxide) : ป้องกันทั้งรังสี UVA และ UVB
  • ไททาเนียมไดออกไซด์ (Titanium Dioxide) : ป้องกัน UVA ได้ดีไม่เท่าซิงค์ออกไซด์ แต่มีความอ่อนโยนต่อผิว

ครีมกันแดดมิเนรัลที่มีส่วนผสมข้างต้นสามารถป้องกันการเกิดสิว ปกป้องผิวจากทั้งรังสี UVA และ UVB จากแสงแดดด้วยวิธีการสะท้อนกลับ เมื่อทาครีมกันแดดแบบ Physical มันจะเคลือบอยู่บนผิวหนัง พอโดนแสงแดดก็จะทำหน้าที่สะท้อนรังสี UV ให้ออกไปจากผิวหนังได้ อย่างไรก็ตามหลีกเลี่ยงส่วนผสมที่ปรากฏบนฉลากต่อไปนี้

  • น้ำหอม (Fragrance)
  • สารกันเสีย (Paraben)
  • ซิลิโคน (Silicone)
  • แอลกอฮอล์ (Alcohol) – ทำให้ผิวแห้ง
  • โพรพิลิน ไกลคอล, พีจี (Propylene Glycol, PG) – สารก่อการอุดตัน
  • เอโวเบนโซน (Avobenzone) – อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง / อักเสบ

และให้มองหาคำเหล่านี้แทน Non-comedogenic (ไม่มีส่วนผสมที่ทำให้อุดตันรูขุมขน), Non-acnegenic (ไม่ก่อให้เกิดสิว), ปราศจากน้ำหอม (Fragrance-Free), ปราศจากน้ำมัน (Oil-Free), ปราศจากโซเดียมลอริลซัลเฟต (Sodium Lauryl Sulfate : SLS) ทั้งนี้เนื้อสัมผัสกันแดดชนิดแบบนี้ ค่อนข้างเกลี่ยยาก มีความหนาทึบ อาจทิ้งคราบขาวที่ค่อนช้างชัดไว้บนใบหน้าได้ โดยเฉพาะถ้าทาบนผิวเหลืองหรือผิวแทน รวมถึงการใช้แค่กันแดดอาจไม่พอลองใช้ 3 ตัวช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV

หากคุณกำลังประสบปัญหาสิวและผิวแพ้ง่าย แนะนำ 9 วิธีลดความมันบนใบหน้า ป้องกันการเกิดสิว


แนะนำ 3 กันแดดสําหรับคนเป็นสิว ผิวแพ้ง่าย

1. Cetaphil Sun SPF 50+ Light Gel

เซตาฟิล – เวชสำอางแบรนด์ดังจากอเมริกาที่เข้าใจผู้ที่มีผิวบอบบางและแพ้ง่าย ออกผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีชื่อว่า ซัน เอสพีเอฟ 50+ ไลท์เจล ปราศจากสารก่อให้เกิดการระคายเคือง ไม่ว่าจะเป็นพาราเบนและอิมัลซิไฟเออร์ พร้อมป้องกันรังสีอินฟาเรด ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย ที่สำคัญมีส่วนผสมอย่าง Titanium Dioxide และป็นผลิตภัณฑ์ Hypoallergenic ที่ได้รับการรับรองแล้วว่าใช้แล้วไม่แพ้

Cetaphil Sun SPF 50+ Light Gel

Cetaphil – Sun SPF 50+ Light Gel  (ราคา 1,155 บาท)

2. Aveeno Positively Mineral Sensitive Skin Sunscreen SPF 50

อาวีโน่ – ครีมกันแดดสำหรับผิวแพ้ง่าย ยี่ห้อที่คุณหมอที่อเมริกาแนะนำว่าเหมาะกับผู้เป็นสิว ผิวบอบบาง แพ้ง่าย เป็นกันแดดที่มี Zinc Oxide มากถึง 21.6% ช่วยต้านการระคายเคือง มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบบอ่อน ๆ ช่วยลดผดผื่นแพ้ และยังมีคุณสมบัติเป็นสารแอนติออกซิแดนท์อีกด้วย

Aveeno Positively Mineral Sensitive Skin Sunscreen SPF 50

Aveeno – Positively Mineral Sensitive Skin Sunscreen SPF 50 (ราคา 750 บาท)

 

3. CeraVe Hydrating Sunscreen Face Lotion SPF 50

เซราวี – เวชสำอางแบรนด์ดังจากอเมริกา ที่มีขายในไทยตามร้านค้าชั้นนำและแพลตฟอร์มช็อปปิ้งออนไลน์ต่าง ๆ ซึ่งตัว Hydrating Sunscreen Face Lotion SPF 50 เรียกได้ว่าเป็นกันแดดสำหรับคนเป็นสิว ผิวบอบบาง แพ้ง่าย ที่มีความน่าสนใจเพราะมีส่วนผสมทั้ง 2 ตัว Zinc Oxide 7% และ Titanium Dioxide 9% มีคุณสมบัติช่วยป้องกันรังสี UV ได้ทุกชนิด เนื้อบางเบา อ่อนโยน ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน และไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้

CeraVe Hydrating Sunscreen Face Lotion SPF 50

 

CeraVe – Hydrating Sunscreen Face Lotion SPF 50 (ราคา 740 บาท)

หากคุณเป็นคนที่มีสภาพผิวที่บอบบางและเกิดสิวได้ง่าย การเลือกซื้อครีมกันแดดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องใส่ใจอย่างมาก นอกจากจะต้องเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงที่สามารถช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV แล้วยังต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอักเสบและเกิดสิวได้ง่าย หรือมีส่วนผสมของสารเคมีต่าง ๆ เพื่อให้ครีมกันแดดช่วยปกป้องและบำรุงผิวได้ในเวลาเดียวกัน และควรทดสอบครีมกันแดดบนพื้นผิวเล็กน้อยก่อนใช้ทั้งหมด เพื่อตรวจสอบว่าไม่เกิดปัญหาแพ้หรือมีอาการติดสิวขึ้นก่อนการใช้งานทั่วไป หรือถ้าคุณออกไปเผชิญกับแสงแดดมาแล้ว อย่าลืม บรรเทาอาการผิวถูกแดดเผา ด้วย


อ้างอิง

skin

คนเกาหลีดูแลผิวยังไง นี่คือ 5 ขั้นตอนที่ใช้ดูแลผิวในตอนเช้า

July 9, 2021
คนเกาหลีดูแลผิวยังไง นี่คือ 5 ขั้นตอนที่ใช้ดูแลผิวในตอนเช้า

คนเกาหลีเป็นคนที่ใส่ใจและให้ความสำคัญกับการดูแลผิวหน้าอย่างมาก เนื่องจากผิวหน้าเป็นส่วนที่สำคัญของความงาม ดังนั้นการดูแลผิวหน้าจึงเป็นสิ่งที่พวกเขาใส่ใจอย่างมาก อีกทั้งในตอนเช้ายังเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการบำรุงผิวหน้า เพราะผิวหน้ายังไม่ได้ถูกแดดและมลภาวะทำลาย ลองมาดูกันดีกว่าว่า คนเกาหลีดูแลผิวยังไง ?

5 สเต็ปสกินแคร์รูทีนในตอนเช้า

หลายคนอาจจะสงสัยว่า คนเกาหลีดูแลผิวยังไง ? ซึ่งกิจวัตรการดูแลผิวของสาวเกาหลีนั้นถือได้ว่าเข้มข้นมาก ซึ่งบางครั้งอาจมีมากกว่า 10 ขั้นตอน แต่ในช่วงเช้ามักเป็นชั่วโมงที่เร่งรีบของทุกคน จริง ๆ แล้ว เราสามารถปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์และขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้เหมาะกับสภาพผิวและวิถีชีวิตของแต่ละคนได้ ด้วยปัจจัยการใช้ชีวิตที่แตกต่างไม่จำเป็นต้องทำครบทุกขั้นตอน อย่างไรก็ตามเราขอแนะนำ 5 กิจวัตรการดูแลผิวในตอนเช้าของคนเกาหลี ที่เป็นประโยชน์ต่อทุกคน โดยสามารถใช้สกินแคร์ที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น อาจะมีคำแนะนำเล็ก ๆ น้อย ๆ ในส่วนของประโยชน์ในแต่ละผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อผิวเพิ่มเติม

คนเกาหลีดูแลผิวยังไง นี่คือ 5 ขั้นตอนที่ใช้ดูแลผิวในตอนเช้า

ขั้นตอนที่ 1: ทำความสะอาดผิวหน้าทั้ง 2 ครั้ง ด้วยผลิตภัณฑ์ 2 ชนิด (Double Cleansing)

การทำความสะอาดสองครั้งเป็นหัวใจสำคัญของกิจวัตรการดูแลผิวของเกาหลี เพราะตลอดทั้งคืนผิวของคุณก็สามารถสะสมสิ่งสกปรก เช่น สิ่งสกปรกและน้ำมันได้ การล้างหน้าในตอนเช้าจะช่วยขจัดสิ่งสกปรกเหล่านี้ เริ่มแรกให้ล้างหน้าทำความสะอาดผิวหน้า ด้วยเทคนิค Double Cleansing สาวเกาหลีจะใช้วิธีล้างหน้า 2 รอบ

เริ่มจากการใช้คลีนซิ่งแบบออยล์และตามด้วยคลีนซิ่งแบบโฟมเพื่อล้างหน้าอีกครั้ง สาเหตุที่ต้องล้างหน้าสองรอบด้วยผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกัน ก็เพราะคลีนซิ่งแบบออยล์จะช่วยลบเมคอัพที่ล้างออกยากได้อย่างหมดจด ซึ่งเครื่องสำอางบางตัวอาจเป็น waterproof การล้างหน้าด้วยโฟมล้างหน้าเพียงอย่างเดียวอาจทำความสะอาดได้ไม่มากพอ ส่วนคลีนซิ่งแบบโฟมจะช่วยล้างเอาคราบเหงื่อ สิ่งสกปรก และความมันออกจากผิว จึงช่วยทำความสะอาดผิวได้อย่างล้ำลึก ลดโอกาสที่จะเกิดสิวขึ้นใหม่ได้อีกด้วย

ขั้นตอนที่ 2: โทนเนอร์ (Toner)

การใช้โทนเนอร์หลังล้างหน้าจะช่วยปรับสมดุลค่า pH ของผิว เพิ่มความชุ่มชื้น และช่วยให้สกินแคร์ที่คุณต้องการลงในลำดับถัดไปถูกดูดซับเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น ผลิตภัณฑ์โทนเนอร์แบรนด์เกาหลีส่วนใหญ่ มักจะมีส่วนผสมสำคัญอย่าง AHA, BHA หรือ สารสกัดจากธรรมชาติ ที่มีคุณสมบัติช่วยต่อต้านริ้วรอย ความเหี่ยวย่น และลดการเกิดสิว โดยวิธีการใช้โทนเนอร์ก็มีหลากหลายสามารถทำได้ทั้ง เทโทนเนอร์ใส่สำลีแผ่นแล้วเช็ดผิวเบา ๆ หรือเทโทนเนอร์ใส่ฝ่ามือแล้วค่อย ๆ กดไปจนทั่วใบหน้า

ขั้นตอนที่ 3: เอสเซนส์  (Essence)

หลังจากใช้โทนเนอร์ปรับสมดุลผิวเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเติมความฉ่ำน้ำให้ผิวขั้นสุด ด้วยการตบ Essence หนึ่งในเคล็ดลับที่สาวเกาหลีมีผิวดี คือการใช้สกินแคร์หลายตัวที่มีความบางเบาแต่หลายเลเยอร์ ไม่ใช่การทาครีมเนื้อหนาแบบตัวเดียวจบ

ความต่างระหว่างโทนเนอร์และเอสเซนส์ คือ เอสเซนส์จะมีความบางเบากว่าโทนเนอร์ มีลักษณะเนื้อสัมผัสเป็นน้ำคล้ายเจล ซึบซาบเข้าสู่ผิวได้ง่ายและรวดเร็ว เอสเซนส์มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่ผิว ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ผิวดูดซึมมอยเจอร์ไรเซอร์ และครีมบำรุงอื่น ๆ ได้ดีขึ้น นอกจากจะให้ความชุ่มชื้นที่เหมาะสมในช่วงเช้าแล้ว ยังช่วยลดการผลิตซีบัมของต่อมไขมันได้ตลอดวัน

ขั้นตอนที่ 4: มอยส์เจอร์ไรเซอร์ (Moisturizer)

เป็นไปได้ว่าขั้นตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการดูแลผิวตอนเช้าอยู่แล้ว เพียงแค่เลือกสกินแคร์ให้เหมาะสมกับผิวเพิ่มเติม เช่น หากคุณมีผิวมัน ให้หลีกเลี่ยงมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมน้ำมันแร่และซิลิโคน เลือกที่เป็นเนื้อเจลแทนที่จะเป็นครีมที่มีความเข้มข้นเกินไป มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะสมจะไม่ทำให้ผิวของรู้สึกมันหรือเหนียว ควรรู้สึกเหมือนมีเกราะป้องกันบนผิวเพื่อให้กันแดดและเมคอัพติดทนนานยิ่งขึ้น และอีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจของสาวเกาหลีก็คือการมาส์กหน้า ลองมาดู 5 สูตรมาร์กหน้าเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว

ขั้นตอนที่ 5: ครีมกันแดด (Sunscreen)

จะไม่มีประโยชน์เลยหากคุณทำทุกขั้นตอนข้างต้น แต่ไม่ได้ปกป้องผิวจากการถูกทำร้ายด้วยรังสียูวีเอและรังสียูวีบี ด้วยครีมกันแดดดี ๆ สักตัว แน่นอนว่าต้องทาทุกวันแม้จะเป็นวันที่ดูเหมือนว่าจะมีเมฆมากก็ตาม เพราะรังสียูวีสามารถเล็ดลอดเข้าไปสัมผัสกับผิวหนังได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะคุณจะอยู่ที่บ้าน, วันที่ไม่มีแดด หรือแม้แต่การสวมใส่เสื้อผ้าอยู่ก็ตาม แนะนำกันแดดสำหรับคนเป็นสิวหรือผิวแพ้ง่าย

โดยรวมแล้ว การบำรุงและดูแลผิวในตอนเช้าสามารถช่วยรักษาสุขภาพผิว คงความอ่อนเยาว์ และปกป้องผิวของคุณจากความเสียหายที่เกิดจากปัจจัยแวดล้อม เช่น รังสียูวีและมลภาวะต่าง ๆ ได้


ลองใช้เครื่องสำอางเกาหลีดีไหม?

คนเกาหลีดูแลผิวยังไง 5 สเต็ปสกินแคร์รูทีนในตอนเช้า

เครื่องสำอางเกาหลีเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องส่วนผสมคุณภาพสูง สูตรเฉพาะ และบรรจุภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ มาลองอะไรใหม่ ๆ เพื่อผิวบ้างดีไหม? นี่เป็น 5 เหตุผลที่คุณควรลองเครื่องสำอางเกาหลี เพื่อนำมาปรับใช้เป็นสกินแคร์รูทีนในตอนเช้า

1. นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ – เนื่องจากสาวเกาหลีมีความต้องการและดูแลผิวอย่างเข้มข้น บริษัทด้านความงามต่าง ๆ จึงมีการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างสูตรที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใครอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของสาวเกาหลี

2. ส่วนผสมจากธรรมชาติ – สกินแคร์เกาหลีนิยมใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติมากกว่าการใช้สารเคมีที่รุนแรงและเป็นอันตราย มีความละเอียดอ่อนที่ให้ความรู้สึกเบาสบายแก่ผิว ตั้งแต่การใช้น้ำผึ้ง แตงกวา ไปจนถึงส่วนผสมที่แปลกใหม่ เช่น โสม เมือกหอยทาก เป็นต้น

3. คุณภาพและประสิทธิภาพ – เนื่องจากสาว ๆ ในเกาหลีมีมาตรฐานที่ค่อนข้างสูงในการซื้อและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง บริษัทด้านความงามจึงถูกให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้ ด้วยการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพด้วยส่วนผสมที่มีคุณภาพสูง 

4. บรรจุภัณฑ์ดึงดูดความสนใจ – แบรนด์เกาหลีให้ความสำคัญกับบรรจุภัณฑ์เป็นอย่างมาก สังเกตได้จากคอลเลกชันเครื่องสำอางของ innisfree หรือ etude เครื่องสำอางเกาหลีมักจะบรรจุในบรรจุภัณฑ์ที่สวยงามและน่ารัก แน่นอนว่าคุณจะหลงรักและพร้อมเสียเงินในทันที มีตั้งแต่ลิปกลอสแสนน่ารักที่เป็นรูปไอศกรีม ไปจนถึงแฮนด์ครีมให้ความชุ่มชื้นรูปพีช 

5. ผลิตภัณฑ์มีราคาไม่แพง – ความต้องการส่งผลให้เกิดการแข่งขันระหว่างบริษัทความงามในเกาหลีเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า มีการแข่งขันกันระหว่างแบรนด์ความงามอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนำไปสู่การผลิตผลิตภัณฑ์ที่คุณภาพสูง ที่ตามมาด้วยราคาไม่แพงอย่างที่คิด

อย่างไรก็ตาม เครื่องสำอางเกาหลีมีประโยชน์มากมายสำหรับผู้ที่ต้องการหาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ มาบำรุงผิว แต่สิ่งสำคัญคือต้องทำการศึกษาผลิตภัณฑ์และส่วนผสมอย่างรอบคอบ เพื่อให้แน่ใจว่าเหมาะกับประเภทผิวของคุณด้วย สนใจอ่านบทความเพิ่มเติม เลือกใช้สกินแคร์อย่างไรให้เหมาะกับสภาพผิว


อ้างอิง

sunscreen

กันแดด อาจไม่พอ ควรเสริมพลังการปกป้องให้ผิวเพิ่ม 3 ตัวช่วย

July 9, 2021
กันแดด อาจไม่พอ ควรเสริมพลังการปกป้องให้ผิวเพิ่ม 3 ตัวช่วย

การใช้เพียงผลิตภัณฑ์ กันแดด อาจไม่เพียงพอในการรักษาผิวที่ได้รับแดดเผาหรือไหม้แดดอย่างเต็มที่ และนอกจากการป้องกันแดดแล้ว ยังต้องมีการดูแลและรักษาผิวอย่างถูกต้องอีกด้วย รวมถึงการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่า SPF สูงแล้ว ควรใช้โลชั่นหรือครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมช่วยฟื้นฟูและบำรุงผิวที่ช่วยในกระบวนการฟื้นตัวของผิวร่วมด้วย จึงจะมาแนะนำ 3 ตัวช่วยดี ๆ ที่จะช่วยป้องกันผิวจากการทำร้ายของแสงแดด

แม้จะไม่มีแดดแต่ผิวก็ต้องการ SPF

หลายคนคงรู้อยู่แล้วว่า รังสีในแดดที่เป็นอันตรายต่อผิว คือ รังสี UVA และ UVB การอยู่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุและนานเกินไปส่งผลให้ผิวถูกทำร้ายอย่างรุนแรง ผิวไหม้แดง และผิวอักเสบ ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อผิว DNA ก่อมะเร็งผิวหนัง และทำให้ผิวแก่ก่อนวัย เหี่ยวย่น มีริ้วรอยร่องลึก เกิดจุดด่างดำ หากคุณคิดว่าจะหลบหลีกแสงแดดในฤดูหนาวหรือหลบแดดอยู่ในที่ร่มโดยที่ไม่จำเป็นต้องทา กันแดด คุณอาจคิดผิด! เพราะสถานการณ์ต่าง ๆ ต่อไปนี้ทำให้เห็นว่าแม้ไม่มีแดด รังสีก็สามารถเข้าถึงตัวคุณได้ทุกที่

กันแดด

1. ในที่ร่ม

รังสี UVA สามารถผ่านทะลุกระจกได้ แม้เราอยู่ในอาคารหรือบ้าน และเข้าสู่ผิวหนังชั้นหนังแท้ของเรา ลอกนึกดูว่าคุณได้ใช้เวลาทั้งวัน อยู่ในห้องที่มีแสงแดดส่องผ่านทางหน้าต่างอยู่ตลอดเวลาใช่หรือไม่? ถ้าคำตอบคือใช่ หมายความว่าคุณได้รับรังสี UVA ในปริมาณที่ใกล้เคียงกับพอ ๆ กับการออกไปอยู่ข้างนอกเลย

2. ผ่านเสื้อผ้า

หลายคนคงคิดว่าเสื้อผ้าสามารถป้องกันแสงแดดไม่ให้โดนผิวได้ แต่ผ้าที่มีน้ำหนักเบาบางอย่าง ผ้าไหม ผ้าเครป หรือผ้าฝ้าย มักปล่อยให้แสงผ่านเข้ามาสู่ผิวของเรา ยิ่งเสื้อผ้าสีอ่อน ยิ่งมีโอกาสดูดแสงเข้าผิวมากขึ้นเท่านั้น ตามหลักการทั่วไปเสื้อยืดสีขาวช่วยกันรังสี UV ได้น้อยมาก เพื่อการปกป้องที่มากขึ้นแนะนำให้สวมเสื้อผ้าที่มีสีเข้มและเป็นผ้าทอเนื้อแน่น เช่น โพลีเอสเตอร์, เรยอน, ผ้าวูล, เดนิม หรือผ้าลูกฟูก

3. ในฤดูหนาว

ชั้นโอโซนเป็นส่วนหนึ่งของบรรยากาศที่ดูดซับรังสีจากดวงอาทิตย์ เมื่อถึงช่วงฤดูหนาวชั้นโอโซนจะบางลง ส่งผลให้การป้องกันแสงแดดนั้นน้อยลงตามไปด้วย มูลนิธิโรคมะเร็งผิวหนังแนะนำว่าก่อนให้ทาครีมกันแดดทั่วเรือนร่างก่อนแต่งตัว หากไม่มีเวลาจริง ๆ อย่างน้อยควรทาครีมกันแดดแถวบริเวณหูและคอก่อนออกจากบ้าน

4. วันที่มีเมฆมาก

แม้ในวันที่แอพพยากรณ์อากาศแจ้งเตือนในมือถือว่า วันนี้เป็นวันที่ท้องฟ้ามีเมฆมาก มันก็ยังคงจะมีรังสียูวีจากดวงอาทิตย์ มากถึง 80% น่าเสียดายที่ในวันที่แม้แต่มีท้องฟ้าครึ้ม ๆ รังสียูวีจากดวงอาทิตย์ก็ยังคงทำงานและมาทำร้ายผิวได้ของเราได้อยู่ดี

5. บนเขาสูง

ตามรายงานของมูลนิธิโรคมะเร็งผิวหนัง รังสี UVB ในแดดก่อให้เกิดอันตรายและทำให้ผิวไหม้ แม้ว่าจะเล่นสกีอยู่บนเทือกเขามากกว่าการไปพักผ่อนตามชายหาด หิมะสะท้อนรังสีจากดวงอาทิตย์ได้มากถึง 80% ดังนั้นเมื่อคุณไปเที่ยวยอดเขาที่สูงครั้งต่อไป อย่าลืมที่จะทาครีมกันแดดให้ทั่วทั้งใบหน้าเพื่อป้องกันแสง UV ที่เพิ่มขึ้นจากการสะท้อนของดวงอาทิตย์

การป้องกันแดดไม่เพียงแต่เป็นการรักษาผิวที่ได้รับแดดเผาหรือไหม้แดดเท่านั้น แต่ยังเป็นการป้องกันการเสื่อมสภาพผิวหนังจากแสงแดดและรังสี UV ที่อาจก่อให้เกิดภาวะผิวเสื่อมสภาพ เป็นฝ้า มีริ้วรอย และเป็นสาเหตุของการเกิดจุดด่างดำและรอยเหี่ยวย่นของผิวหนังด้วย ถ้าคุณเป็นสิวหรือผิวแพ้ง่ายลองเลือกใช้ กันแดดสําหรับคนเป็นสิว ช่วยป้องกันปัญหาดังกล่าวได้


วิธีป้องกันผิวไหม้แดด

ปกป้องผิวจากแสงแดด

นี่คือวิธีรักษาผิวที่ไหม้แดดที่คุณสามารถทำได้ เช่น

  1. ใช้เจลว่านหางจระเข้: ว่านหางจระเข้มีสรรพคุณในการบรรเทาอาการผิวไหม้แดด ใช้เนื้อว่านหางจระเข้สดหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมว่านหางจระเข้ เช่น โลชั่นหรือเจลที่มีสารสกัดนี้ เพื่อช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการผิวไหม้
  2. น้ำมะพร้าว: ใช้น้ำมะพร้าวสดหรือน้ำมะพร้าวแช่แข็งเป็นเครื่องดื่ม หรือใช้น้ำมะพร้าวทาผิวเพื่อช่วยบรรเทาอาการผิวไหม้และให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง
  3. ใช้สมุนไพรบรรเทา: สมุนไพรบางชนิดมีสรรพคุณในการบรรเทาอาการผิวไหม้ ใช้สมุนไพร เช่น หน่อไม้ฝรั่ง ใบกระท้อน โดยห่อสมุนไพรในผ้าบางแล้วนำไปทาให้ทั่วผิวหนัง
  4. ใช้ความเย็นช่วยบรรเทา: ใช้ผ้าเช็ดน้ำเย็น ๆ หรืออาบน้ำเย็นเพื่อช่วยลดอาการร้อนรุนแรงในผิวหนัง แต่อย่าใช้น้ำเย็นจนเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวแสบเพิ่มขึ้น
  5. การใช้โลชั่นผลิตภัณฑ์บำรุงผิว: นอกจากการใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่า SPF สูงแล้ว ควรใช้โลชั่นหรือครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมช่วยฟื้นฟูและบำรุงผิว เช่น วิตามิน ซี และอี ที่ช่วยในกระบวนการฟื้นตัวของผิว
  6. การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารสกัดธรรมชาติ: สารสกัดจากธรรมชาติอาจมีประโยชน์ในการบรรเทาอาการผิวไหม้ ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสม เช่น ว่านหางจระเข้ ส้ม หรือสารสกัดจากสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการบรรเทาผิว
  7. ใส่เสื้อผ้าที่ปกป้องผิว: เลือกใส่เสื้อผ้าที่ช่วยคลุมผิวมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่น เสื้อคลุมแขนยาว
  8. ใส่หมวกกันแดด: เลือกใส่หมวกกันแดดที่มีชายคลุมกว้างเพื่อปกป้องใบหน้าและคอจากแสงแดดโดยตรง
  9. สวมแว่นกันแดด: เลือกใส่แว่นกันแดดที่มีคุณสมบัติป้องกันรังสี UV เพื่อปกป้องดวงตาจากแสงแดด
  10. หลีกเลี่ยงเวลาที่แดดแรงที่สุด: หลีกเลี่ยงการออกนอกในช่วงเวลาที่แดดแรงที่สุดระหว่างเวลา 10 โมงเช้าถึง 4 โมงบ่าย เพราะเป็นช่วงเวลาที่รังสีแสงแดดสูงที่สุด

ที่สำคัญอย่าลืมที่จะทาผลิตภัณฑ์กันแดดให้ทั่วผิวหนัง และส่วนสำคัญอื่น ๆ เช่น หลังคอ ใต้คาง และหลัง เพราะพื้นที่เหล่านี้ยังสามารถรับแสงแดดได้โดยตรง หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขอแนะนำ วิธีบรรเทาอาการผิวไหม้แดด และ วิธีแก้ผิวหมองคล้ำ ให้กลับมาสดใส


ปกป้องผิวจากรังสี UV ด้วย 3 ตัวช่วย

จากข้อมูลข้างต้นไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานการณ์ไหน ฤดูกาลอะไร คุณก็ไม่อาจหลบเลี่ยงรังสีจากดวงอาทิตย์ได้เลย แม้แต่ในฤดูหนาวก็ตาม! ยิ่งอากาศประเทศไทยอยู่ในเขตร้อนชื้น ที่มีแสงแดดแรงทั้งปี สัมผัสได้แต่ความร้อน ร้อนมาก และร้อนที่สุดด้วยแล้ว ยิ่งควรให้ความสำคัญกับการป้องกันผิวจากแสงแดด แน่นอนว่าทุกคนทาครีมกันแดดกันเป็นประจำทุกวัน แต่จะดีกว่าหรือไม่ถ้าเราได้รับการปกป้องผิวจากตัวช่วยอื่น ๆ อีก อย่าง 3 ตัวช่วยดี ๆ เหล่านี้ ที่จะเสริมเกราะป้องกันผิวจากการทำร้ายของแสงแดดและช่วยให้ผิวแข็งแรงห่างไกลจากริ้วรอยก่อนวัย

  • เบสเมกอัพ

ในวันที่ไม่อยากแต่งหน้า แม้แต่การลงรองพื้นเราแนะนำให้เลือกลงเบสเมกอัพที่มีส่วนผสมของ SPF ไม่ว่าจะเป็นทินต์, มอยส์เจอไรเซอร์, บีบี ครีม, ซีซี ครีม หรือเบสเมกอัพอย่างคอเร็กเตอร์ เพราะนอกจากจะช่วยป้องกันผิวจากการทำร้ายของแสงแดดควบคู่กับกันแดดแล้วยังช่วยให้ริ้วรอยหรือรอยตำหนิต่าง ๆ ดูเรียบเนียนมากขึ้น

เบสเมกอัพ

Chanel – LE BLANC LA BASE SPF 40 (ราคา 2,350 บาท)

  • ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม

ในต่างประเทศมีการจำหน่ายอาหารเสริมและวิตามินเสริม ที่ช่วยในเรื่องของการบำรุงผิวให้แข็งแรงจากภายใน ลดปัญหาผิวอักเสบ ป้องกันการเกิดมะเร็งผิว รวมทั้งผิวเสียจากการเบิร์น สำหรับประเทศไทยนั้นก็มีผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ช่วยป้องกันแสงแดดเพื่อผิวกระจ่างใส ปรับสีผิวให้ดูสม่ำเสมออยู่เช่นกัน อย่างไรก็ตามควรใช้กันแดดควบคู่ไปด้วยและพยายามหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน

ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม

Serina Sun ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด (ราคา 690 บาท)

  • แป้งฝุ่นกันแดด

เพื่อเป็นการปกป้องผิวจากแสงแดดอีกขั้น หลังลงเบสเมกอัพหรือครีมกันแดดแล้วให้ใช้แป้งฝุ่นที่มีส่วนผสมของสารกันแดด เพื่อทัชอัพระหว่างวันเพียงเท่านี้ก็จะช่วยเสริมพลังการปกป้องแดดแบบคูณสองได้ แนะนำให้เลือกแป้งที่เป็นสูตรมิเนรัล เพื่อช่วยสะท้อนรังสียูวีและลดการอุดตันรูขุมขน

Sea Set & Go Mineral Powder SPF 30 จาก Tart (ราคา 1,100 บาท)

การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ กันแดด ควรทำให้เป็นส่วนหนึ่งของระบบดูแลผิวหนังประจำวันโดยไม่ว่าจะมีแดดหรือไม่ก็ตาม นอกจากนี้ ยังควรใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่า SPF สูงและครอบคลุมพื้นที่ที่ต้องการป้องกัน เช่น หน้า คอ และแขน อย่าลืมที่จะเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสม เพราะการใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดเป็นการปกป้องผิวหนังในระยะยาว และเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความสวยงามและสุขภาพของผิวหนังของคุณเอง


อ้างอิง

acne

สิวฮอร์โมนรักษายังไง มารับมือปัญหาผิวกับสิวฮอร์โมนใน 3 วิธี

July 8, 2021
สิวฮอร์โมนรักษายังไง

สิวฮอร์โมนเกิดขึ้นเมื่อร่างกายผลิตฮอร์โมนบางชนิดมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้ต่อมน้ำมันในผิวหนังอุดตันและนำไปสู่การเกิดสิวได้ แล้ว สิวฮอร์โมนรักษายังไง มาดูวิธีดังต่อไปนี้

จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นสิวฮอร์โมน?

สิวฮอร์โมน เป็นลักษณะของสิวที่มีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนของร่างกาย สิวประเภทนี้คือความแปรปรวนของฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) หรือ การที่มีฮอร์โมนเพศชายในสัดส่วนที่เยอะกว่าฮอร์โมนเพศหญิง สิวดังกล่าวมักเกิดตรงครึ่งล่างของใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณกรามหรือคาง บางทีก็ขึ้นบริเวณแผ่นหลัง เป็นสิวรูปแบบหนึ่งที่ทำให้เกิดสิวเรื้อรังและเกิดรากลึกลงไปในผิวหนังซึ่งสร้างความเสียหายได้มากกว่าสิวหัวขาวหรือสิวหัวดำแบบทั่ว ๆ ไป

ส่วนใหญ่สิวประเภทนี้มักจะเป็นในช่วงก่อนมีประจำเดือนในเพศหญิง ส่วนในเพศชายมักพบได้ทุกช่วงเริ่มต้นเข้าสู่วัยรุ่น ซึ่งโอกาสในการเป็นสิวฮอร์โมนมีมากกว่า 50% ที่เกิดขึ้นในผู้หญิงวัย 20 – 29 ปี และมีประมาณ 25% ในช่วงอายุ 40 – 49 ปี ที่สิวฮอร์โมนยังคงเกิดขึ้นอยู่ อาจมีการเกิดสิวขึ้นใหม่เรื่อย ๆ ในช่วงวัยหมดประจำเดือนอันเนื่องมาจากความแปรปรวนของฮอร์โมนในร่างกาย ดูเหมือนว่าไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่สิวก็อาจทำลายวันดี ๆ ของคุณได้ และนี่คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าสิวของคุณเกี่ยวข้องกับความแปรปรวนของฮอร์โมน

จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นสิวฮอร์โมน

  • ขึ้นบริเวณคางและกราม

ฮอร์โมนส่วนเกินในร่างกายมักไปกระตุ้นต่อมน้ำมันซึ่งส่วนใหญ่อยู่ที่บริเวณคาง ต่อมน้ำมันส่วนเกินเหล่านี้ทำให้ผิวบริเวณดังกล่าวเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เกิดสิวชนิดนี้ แม้ว่าคางและกรามจะเป็นจุดที่พบได้บ่อยสำหรับการเป็นสิวฮอร์โมน แต่ก็อาจเกิดขึ้นที่ด้านข้างของใบหน้า ใต้แก้ม ตามลำคอ หรือ รอบริมฝีปากก็ได้

  • เป็นสิวเดือนละครั้ง

สิวฮอร์โมนมักปรากฏเป็นวัฏจักรเหมือนกับรอบเดือนของผู้หญิง แม้หมดประจำเดือนก็อาจเป็นสิวฮอร์โมนได้อยู่ ผู้หญิงวัยนี้ยังคงประสบกับระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนที่ไม่สมดุลอยู่ แม้ว่าจะต่ำกว่าตอนก่อนหมดประจำเดือนก็ตาม สิวฮอร์โมนมักจะขึ้นที่เดิมทุกเดือนเช่นกัน ทั้งนี้เป็นผลมาจากการที่รูขุมขนกว้างขึ้นจากการเป็นสิวครั้งก่อน หาก รูขุมขนกว้างทำไงให้ดูกระชับขึ้น

  • เครียดเกินไป

ยิ่งเครียด สิวยิ่งขึ้น เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเครียดฮอร์โมนคอร์ติซอลจะถูกกระตุ้นให้หลั่งมากขึ้น (คอร์ติซอลเป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวกับความเครียด) การหลั่งของฮอร์โมนกระตุ้นให้ต่อมไขมันบนผิวหนังผลิตน้ำมันออกมากเกินไป ส่งผลต่อการทำงานของต่อมไขมันและอาจทำให้เกิดสิว หรือทำให้สิวที่เป็นอยู่รุนแรงขึ้น

ในการจัดการกับสิวฮอร์โมน สิ่งสำคัญคือต้องรักษากิจวัตรการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรงหรือระคายเคือง และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และสมดุล การใช้ยารักษาเฉพาะที่ที่มีเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ กรดซาลิไซลิก หรือน้ำมันทีทรีอาจช่วยได้ และการรักษาด้วยฮอร์โมน เช่น ยาคุมกำเนิดหรือสไปโรโนแลคโตนอาจกำหนดโดยแพทย์ผิวหนัง สิ่งสำคัญคือต้องหลีกเลี่ยงการแกะหรือบีบสิว เพราะอาจทำให้เกิดแผลเป็นและเกิดการอักเสบตามมาได้ ด้วยการจัดการที่เหมาะสม สิวฮอร์โมนสามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากเป็นสิวบนใบหน้า ห้ามแกะหรือบีบสิวโดยเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เกิดแผลเป็นและเกิดการอักเสบตามมาได้ หรือเป็นรอยดำที่รักษาได้ยาก ดังนั้น ต้องหลีกเลี่ยงสิ่งนี้และค่ายหาวิธีรักษาสิวหรือจุดด่างดำอย่างถูกวิธี


นี่คือ 3 วิธีรักษาสิวฮอร์โมน

สิวฮอร์โมนเกิดจากความผันผวนของฮอร์โมนที่อาจทำให้ต่อมน้ำมันบนผิวหนังอุดตันจนเกิดเป็นสิวได้ แล้ว สิวฮอร์โมนรักษายังไง ? วันนี้เราจะมาแนะนำวิธีรักษาสิวฮอร์โมนให้ได้ผล มีดังนี้

วิธีที่ 1 : การใช้ยาคุมกำเนิด / ยาคุมฮอร์โมน

ยาคุมกำเนิดนั้นมีหลายประเภท ซึ่งบางตัวยาในยาคุมสามารถทำงานร่วมกันเพื่อช่วยปรับระดับฮอร์โมนที่อาจทำให้เกิดสิวได้ อย่างไรก็ตาม หากต้องใช้ยาคุมกำเนิดเพื่อรักษาสิวฮอร์โมน ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง เพราะสิวที่คุณเข้าใจว่าเป็นสิวฮอร์โมนบางทีอาจเกิดจากปัจจัยอื่น อย่าง การแพ้สารเคมี, ฝุ่นละออง, การมีสุขอนามัยที่ไม่ดี ซึ่งการใช้ยาคุมอาจไม่ได้ผล

วิธีที่ 2 : การใช้ยารักษาสิว

การใช้ยารักษาสิว เช่น เรตินอยด์, Benzoyl peroxide, AHA ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่อุดตันรูขุมขน อย่างการใช้เรตินอยด์สามารถใช้รักษาสิวแบบระยะยาวได้ มันจะช่วยยับยั้งการอักเสบ ควบคุมการผลัดผิว และเพิ่มการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินให้แก่ผิว เรตินอยด์มีความเข้มข้นหลายระดับและมีข้อจำกัดในการใช้ เมื่อเริ่มใช้ครั้งแรกอาจมีผลข้างเคียงที่รุนแรง เช่น ผิวแห้ง แดง เป็นขุย จึงเป็นยาที่ต้องสั่งโดยแพทย์เท่านั้น

3 วิธีรักษาสิวฮอร์โมน

วิธีที่ 3 : ล้างหน้าให้สะอาด

หากจำเป็นต้องแต่งหน้า การทำความสะอาด 2 ขั้นตอน เป็นสิ่งสำคัญมาก เริ่มต้นด้วยการเช็ดหน้าจากรีมูฟเวอร์สำหรับคนเป็นสิว เพื่อขจัดคราบเครื่องสำอาง สิ่งสกปรก ครีมกันแดด ฯลฯ จากนั้นจึงตามด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีฟองอ่อนโยนเพื่อให้แน่ใจว่าผิวจะสะอาดที่สุด อาจใช้ยาแต้มสิวที่มีส่วนผสมที่ช่วยให้สิวแห้ง ไม่จับแกะ ให้สิวอักเสบ หมั่นล้างหน้าให้สะอาดและถูกวิธี ดูแลไม่ให้เกิดสิวใหม่ แนะนำ 9 วิธีลดความมันบนใบหน้าป้องกันการเกิดสิว


วิธีป้องกันสิวฮอร์โมน

เพื่อป้องกันการเกิดสิวฮอร์โมน คุณสามารถทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

1. ขั้นตอนการดูแลผิวที่สม่ำเสมอ : ทำความสะอาดใบหน้าของคุณวันละสองครั้งด้วยน้ำยาทำความสะอาดที่อ่อนโยนและให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวของคุณเพื่อช่วยป้องกันการสะสมของน้ำมันส่วนเกิน

2. ใช้เครื่องสำอางที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน : เลือกผลิตภัณฑ์แต่งหน้าที่ระบุว่า “ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน” ผสมสารเคมีหรือแอลกอฮอล์ เพื่อหลีกเลี่ยงการอุดตันรูขุมขน

3. กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ : อาหารที่มีอาหารไม่ขัดสีสูง รวมทั้งผลไม้ ผัก โปรตีนไม่ติดมัน และไขมันดี สามารถช่วยควบคุมฮอร์โมนและลดการอักเสบได้

4. ออกกำลังกายเป็นประจำ : การออกกำลังกายเป็นประจำสามารถช่วยลดความเครียดและปรับปรุงการควบคุมฮอร์โมน

5. จัดการกับความเครียด : ความเครียดสามารถกระตุ้นความไม่สมดุลของฮอร์โมนที่ส่งผลให้เกิดสิว ดังนั้นการหาวิธีจัดการความเครียดที่ดีต่อสุขภาพ เช่น การทำสมาธิหรือการออกกำลังกายจะเป็นประโยชน์

6. หลีกเลี่ยงการแกะหรือบีบสิว : การแกะหรือบีบสิวอาจทำให้อักเสบและเกิดแผลเป็นมากขึ้นได้

7. ปรึกษาแพทย์ผิวหนัง : หากคุณประสบปัญหาสิวฮอร์โมนอย่างต่อเนื่อง แพทย์ผิวหนังสามารถช่วยแนะนำแผนการรักษาเฉพาะบุคคลเพื่อจัดการกับสิวของคุณได้ การรักษาด้วยฮอร์โมน เช่น ยาคุมกำเนิดหรือสไปโรโนแลคโตนอาจกำหนดในกรณีที่รุนแรง รู้จักกับ สิวสเตียรอยด์ รักษายังไงให้เร็วที่สุด

สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่าสิวฮอร์โมนสามารถคงอยู่และขึ้นมาใหม่ได้ตลอด อาจต้องใช้เวลาในการรักษา รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตต่าง ๆ เช่น เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ จัดการกับความเครียด หมั่นหาเวลาไปออกกำลังกาย เป็นต้น รวมถึงการปรึกษากับแพทย์ผิวหนังอาจเป็นประโยชน์ในการหาวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับความต้องการของแต่ละบุคคล


อ้างอิง

skin

ผิวขาดความชุ่มชื้น แห้งกร้าน? ให้มองหาสกินแคร์ที่มีส่วนผสมเหล่านี้

July 8, 2021
ผิวขาดความชุ่มชื้น แห้งกร้าน? ให้มองหาสกินแคร์ที่มีส่วนผสมเหล่านี้

ผิวขาดความชุ่มชื้น มักจะดูแห้งขึ้น หยาบและไม่มีความสดชื่น ดังนั้นการดูแลและบำรุงผิวหน้าเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งลักษณะของ ผิวที่สูญเสียความชุ่มชื้น เป็นภาวะผิวขาดความชุ่มชื้น หรือขาดน้ำไปหล่อเลี้ยงเซลล์ผิวใต้ชั้นผิวหนังจึงทำให้ผิวแห้งกร้านไม่เรียบเนียน สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกสภาพผิว สังเกตเห็นได้ชัดในคนที่มีผิวผสม ผิวมัน หรือ เวลาที่ผิวต้องเจอกับสภาพอากาศที่เย็นจัดหรือร้อนจัด แม้ว่าร่างกายจะผลิตไขมันออกมาจากรูขุมขนตามปกติ แต่ผิวก็ยังคงจะมีอาการแห้ง ลอก เป็นขุย ในบางคนมีอาการคันร่วมด้วยคล้ายกับลักษณะของคนผิวแห้ง ซึ่งสามารถดูแลและบำรุงผิวให้กลับมามีสุขภาพดีได้ด้วยการเติมน้ำ และความชุ่มชื้นในชั้นผิวอย่างล้ำลึกด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์


เลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์ให้เหมาะกับผิว

ลักษณะ ผิวขาดความชุ่มชื้น

เมื่อ ผิวขาดความชุ่มชื้น การเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวหน้าถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ผิวกลับมามีสุขภาพดี ในส่วนของการเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ให้เหมาะสมกับสภาพผิวนั้น ขอแยกตามประเภทของผิวหน้าไว้ดังนี้

  • ผิวธรรมดา (Normal Skin)
  • ผิวมัน (Oily Skin)
  • ผิวแห้ง (Dry Skin)
  • ผิวผสม (Combination Skin)

ผิวธรรมดา (Normal Skin): ลักษณะผิวที่มีความสมดุล ไม่แห้งตึงหรือมันจนเกินไป มีรูขุมขนขนาดเล็ก สามารถใช้มอยส์เจอไรเซอร์แบบน้ำ (Water-based moisturizer) อาจอยู่ในรูปแบบโลชั่น เพราะช่วยให้แห้งเร็ว เบาสบายผิว ไม่รู้สึกเหนียวเหนอะหนะ หากใครที่ต้องการความชุ่มชื้นมาก ๆ สามารถเลือกใช้เป็นแบบน้ำมัน (Oil-based moisturizer) แต่เวลาที่ใช้อาจปรับตามสภาพอากาศ เช่น ถ้าอยู่ในประเทศที่มีอากาศเย็นหรือหนาว สามารถใช้ได้ทั้ง 2 เวลา เช้าและเย็น แต่หากอยู่ในประเทศที่อากาศร้อน เพื่อไม่ให้เกิดความเหนียวเหนอะหนะระหว่างวัน แนะนำให้ทาช่วงก่อนนอนจะดีที่สุด

ผิวมัน (Oily Skin): ลักษณะผิวจะมันวาว รูขุมขนกว้าง มีสิวอุดตันง่าย เนื่องจากมีการผลิตน้ำมันส่วนเกินออกมามากกว่าปกติ แม้ว่าผิวจะมันแต่มอยเจอร์ไรเซอร์ก็ยังจำเป็นต่อผู้ที่มีผิวประเภทนี้เช่นกัน แนะนำให้ใช้จะเป็นแบบฐานน้ำ (Water-based moisturizer) ที่อาจอยู่ในรูปแบบโลชั่นเหลว ซึ่งเมื่อเทียบกับครีมโลชั่นจะมีน้ำเป็นองค์ประกอบหลัก ข้อดีคือช่วยลดอัตราการเกิดสิวใหม่บนใบหน้า อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีผิวหน้ามันควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบเป็นสารที่เป็นน้ำมัน เช่น น้ำมันมะพร้าว โกโก้บัตเตอร์ (Cacao butter) หรือ ปิโตรเลียมเจลลี่ (Petroleum jelly) หากคุณกำลังประสบปัญหานี้ อาจสนใจ วิธีทำให้รูขุมขนกว้างกระชับขึ้น

ผิวแห้ง (Dry Skin): ลักษณะผิวจะค่อนข้างแห้ง ขาดน้ำ และขาดความกระจ่างใส เป็นผิวที่ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์เพื่อรักษาความชุ่มชื้นบนใบหน้าอย่างสม่ำเสมอ แนะนำว่าให้ใช้มอยส์เจอไรเซอร์แบบน้ำมัน (Oil-based moisturizer) น้ำมันจะทำการเคลือบผิวไม่ให้ความชื้นจากผิวระเหยออกไปได้ ในกรณีที่มีผิวแห้งมากเป็นพิเศษ อาจใช้ผลิตภัณฑ์เนื้อขี้ผึ้ง ซึ่งมีความสามารถในการคลือบผิว ทำให้ลดการระเหยของน้ำได้มากกว่าผลิตภัณฑ์ชนิดโลชั่นหรือครีม แต่ข้อจำกัดของผลิตภัณฑ์เนื้อขี้ผึ้งคือ จะก่อให้เกิดความมันบนผิว อาจทำให้ไม่สะดวกหากทาตอนกลางวัน จึงแนะนำให้ทาตอนก่อนนอน

ผิวผสม (Combination Skin): ลักษณะผิวจะแห้ง และมีความมันในเวลาเดียวกันแต่บางบริเวณ เช่น หน้าผาก จมูก คาง รูขุมขนช่วง T-Zone จะกว้างเป็นพิเศษ อาจเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีความหนืดเเละให้ความชุ่มชื้นปานกลาง เป็นเนื้อโลชั่นกึ่งครีม ด้วยความที่ผิวมีสภาพทั้งผิวแห้งและผิวมัน อาจต้องให้การดูแลที่แตกต่างกันในแต่ละจุด หรือ เลือกใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละส่วน เช่น ส่วนที่แห้ง ใช้มอยส์เจอไรเซอร์สำหรับคนผิวแห้ง และส่วนที่มัน ให้ใช้มอยส์เจอไรเซอร์สำหรับคนผิวมัน ขอแนะนำ สูตรมาร์กหน้าเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว


ล็อกความชุ่มชื้นให้ผิวด้วยส่วนผสมเหล่านี้

เลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ให้เหมาะกับผิว

การดูแลผิวหน้าที่ขาดความชุ่มชื้นเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ผิวหน้าดูสดใสและไม่แห้งขึ้น ดังนั้น มีวิธีการดูแลผิวหน้าที่ขาดความชุ่มชื้นด้วยการเลือกสกินแคร์ที่มีส่วนผสมเหล่านี้ ได้แก่

  • Humectant – สารดูดความชื้น

เป็นสารดึงน้ำหรือสารที่ดูดความชุ่มชื้นจากชั้นหนังแท้มาสู่ชั้นหนังกำพร้า อธิบายง่าย ๆ ถ้าอากาศมีความชื้นมากพอจะดึงน้ำจากอากาศเข้าสู่ผิวได้ สารที่พบบ่อย เช่น Sodium hyaluronate, Collagen, Glycerin, Sorbitol, Propylene Glycerol, Urea, Hyaluronic Acid ฯลฯ แต่ถ้าอยู่ในสภาวะที่มีอากาศหนาวจนแห้ง อาจทำให้เกิดการดึงน้ำเข้าสู่ผิวได้น้อยลง ใครที่ผิวขาดความชุ่มชื้น ควรมองหาตัวช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นอย่างอื่นทดแทนด้วย

  • Occlusives – สารกักเก็บน้ำในผิว

สารที่ลดการระเหยของน้ำออก​จากผิว ช่วยให้ผิวไม่ขาดน้ำ ทำหน้าที่เคลือบผิวกันน้ำระเหยออกจากผิวปิดกั้นไม่ให้น้ำซึมผ่าน ผิวชั้นบนสุดจึงได้ความชุ่มชื้นจากชั้นหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้ มักจะมาในรูปแบบของออยล์หรือบาล์ม เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีผิวแห้งมาก ซึ่งสารที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด คือ Petrolatum สามารถลดการระเหยของน้ำออกจากผิวได้ถึง 99% แต่ก็มีข้อเสีย คือ ทำให้รู้สึกหนักหน้าเมื่อทาครีม หากผิวของคุณลอกเป็นขุย แนะนำ 7 วิธีในการดูแลผิวให้ชุ่มชื้นขึ้น

  • Emollient – สารทำให้ผิวเนียนนุ่ม

เป็นสารที่ช่วยปลอบประโลมผิวให้ดูเรียบเนียน ทำให้ผิวที่แห้ง หยาบกร้าน เป็นขุย นั้นอ่อนนุ่มขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าประสิทธิภาพไม่ดีเท่าสารกลุ่มอื่น เพราะบางครั้งอาจมีการผสมของพาราฟิน ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ได้จากกระบวนการกลั่นน้ำมันดิบ เป็นสารที่ช่วยให้ไฟติดได้และถ้าสะสมในผิวมาก ๆ จะเกิดการระคายเคืองได้ ฉะนั้น ผิวแพ้ง่ายและบอบบางควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ สารที่ใช้บ่อย ได้แก่ Cyclomethicone, Dimethicone Copolyol, Glyceryl Sterates ฯลฯ

การเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสมกับสภาพผิวของตนเองจะช่วยบำรุงผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึง การดื่มน้ำให้เพียงพอจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า การใช้ผลิตภัณฑ์สารสกัดจากธรรมชาติ หรือการออกกำลังกายก็ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลืองในร่างกาย ทำให้เกิดการเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้าได้เช่นกัน ที่สำคัญอย่าลืมหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และสารเคมีต่าง ๆ ซึ่งอาจทำให้ผิวหน้าขาดความชุ่มชื้นและมีอาการแห้งได้


อ้างอิง

skin

ผิวไหม้แดด บรรเทาอาการผิวถูกแดดเผาอย่างเร่งด่วน ด้วย 8 วิธี

July 8, 2021
ผิวไหม้แดด บรรเทาอาการผิวถูกแดดเผาอย่างเร่งด่วน ด้วย 8 วิธี

ปัญหา ผิวไหม้แดด

ผิวไหม้แดด เป็นอีกหนึ่งปัญหาผิวที่พบได้บ่อยและยากที่จะหลีกเลี่ยง รังสี UV สามารถทำลายโมเลกุลที่สำคัญและสร้างความเสียหายให้กับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เมื่อผิวสัมผัสกับรังสียูวี เม็ดสีผิวหรือที่เรียกว่าเมลานิน จะทำหน้าที่ปกป้อง DNA ของเซลล์ผิวไม่ให้ถูกทำลาย การผลิตเมลานินจะเร็วขึ้น นั่นเป็นสาเหตุที่ผิวของคุณเปลี่ยนไปเป็นสีแทนเมื่ออยู่กลางแดดไปได้สักพัก น่าเสียดายที่การเมลานินไม่สามารถป้องกันรังสียูวีได้ทุกชนิด และรังสีบางชนิดสามารถเล็ดลอดผ่านเข้ามาบนผิว และสร้างความเสียหายให้กับเซลล์ผิวได้ ทำให้มีการกระตุ้นการผลิตอนุมูลอิสระที่เพิ่มมากขึ้น

การถูกแดดเผาเป็นคำที่ใช้เรียกผิวที่แดง บางครั้งอาจบวมและเจ็บปวด ซึ่งเกิดจากการได้รับรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จากแสงแดดนานเกินไป หรืออยู่ท่ามกลางแดดจัดเป็นเวลานานกว่า 15 นาที โดยไม่ได้รับการปกป้อง หรือตากแดดเป็นเวลายาวนานโดยไม่ทาครีมกันแดดซ้ำ ส่งผลให้เกิดอาการแสบร้อน คัน แดงที่ผิวหนัง มีอาการระคายเคือง เกิดเป็นตุ่มใส และทำให้ผิวหมองคล้ำอย่างเห็นได้ชัด

ความรุนแรงของอาการผิวไหม้

ปัญหา ผิวไหม้แดด

โดยสามารถแบ่งระดับความรุนแรงของอาการ ผิวไหม้แดด ได้ 3 ระดับ คือ

การถูกแดดเผาระดับแรก : อาการของผิวที่ถูกแดดเผาระดับแรก จะมีสีแดงและเจ็บปวดเพียงเล็กน้อย ผิวจะค่อย ๆ ลอก เนื่องจากการผลัดของเซลล์ผิวหนัง เป็นการทำลายผิวหนังชั้นนอกและจะหายเองภายใน 2-3 วัน หลังจากนั้นอาการจะดีขึ้นตามลำดับ

การถูกแดดเผาระดับที่สอง : อาการของผิวไหม้แดดระดับที่สอง จะรู้สึกแสบคัน ผิวแดง บวม และรู้สึกเจ็บปวดเมื่อสัมผัสผิวบริเวณที่ถูกแดดเผา การถูกแดดเผาในระดับนี้อาจสร้างความรุนแรงทะลุผ่านผิวจากหนังกำพร้าลงไปจนถึงชั้นหนังแท้ ทำให้ชั้นใต้ผิวหนังเกิดความเสียหาย อาจต้องใช้ระยะเวลา 5-7 วัน ในการเฝ้าระวังและฟื้นบำรุงเพื่อให้ผิวกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

การถูกแดดเผาระดับรุนแรง : อาการของผิวไหม้แดดระดับสุดท้ายที่ถือว่ารุนแรงที่สุด จะมีอาการปวดแสบปวดร้อนที่ผิวหนังมากกว่าปกติ มีอาการแดง คัน และมีตุ่มน้ำใส ๆ ควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำและแนวทางการดูแลรักษาผิวไหม้แดดอย่างถูกวิธี อาจใช้เวลามากกว่า 2 สัปดาห์ ในการฟื้นบำรุงผิวไหม้แดดและหมองคล้ำ

การถูกแดดเผาเป็นคำที่ใช้เรียกผิวที่แดง บางครั้งอาจบวมและเจ็บปวด ซึ่งเกิดจากการได้รับรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จากแสงแดดมากเกินไป การถูกแดดเผาอาจแตกต่างกันตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง ด้วยสภาพแวดล้อมและแสงแดดที่แรงจัดที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในบางเวลา ส่งผลให้ผู้ที่ต้องเผชิญกับแสงแดดเป็นระยะเวลานานเกิดปัญหาผิวไหม้แดดหรือผิวคล้ำเสียสะสมขึ้น หากแต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วเราจะมีวิธีการดูแลและฟื้นบำรุงผิวในขั้นต้นด้วยตัวเองง่าย ๆ ได้อย่างไรบ้าง นอกจากนี้กันแดดอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ แนะนำ 3 ตัวช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV


รักษาผิวไหม้แดดแบบเร่งด่วน

ไม่ว่าผิวที่ถูกทำร้ายจากแดดของคุณจะอยู่ในระดับใด คุณจำเป็นต้องมีวิธีการบรรเทาความเจ็บปวดที่ง่ายและรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาว่าอาการผิวไหม้จากแดดสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ระหว่าง 2 -3 หรืออาการอาจลากยาวนานไปจนถึงหลายสัปดาห์ ซึ่งเราต้องบอกคุณตรง ๆ ว่า ไม่มีวิธีแก้ผิวไหม้จากแดดให้หายในชั่วข้ามคืน! มีเพียงบางวิธีที่คุณสามารถทำได้เพื่อบรรเทาอาการอย่างรวดเร็ว โดยต้องเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ที่คืนความชุ่มชื้นให้กับผิว เช่น โลชั่นและครีม

รักษาผิวไหม้แดดแบบเร่งด่วน 

  • การบรรเทาอาการปวด – การบรรเทาอาการปวดที่ไม่ต้องสั่งโดยแพทย์ เช่น ไอบูโพรเฟน หรือยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดและลดอาการบวมได้
  • ปรับอุณหภูมิในร่างกาย – ใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ หรือผ้าขนหนู หรืออาบน้ำเย็นเพื่อลดความร้อนในร่างกาย โดยหลีกเลี่ยงการใช้สบู่ในบริเวณที่ถูกแดดเผา
  • ดื่มน้ำปริมาณมาก – เพื่อปรับอุณภูมิผิวหลังโดนแดด แต่ถ้าไม่สามารถดื่มได้อย่างรวดเร็ว ให้ทานของว่างในผักและผลไม้ที่ให้ความชุ่มชื้น เช่น แตงโม แตงกวา สตรอเบอร์รี่ มะเขือเทศ เกรปฟรุต และแคนตาลูป ซึ่งทั้งหมดนี้มีน้ำเป็นส่วนประกอบมากกว่า 90%
  • ใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ – เพิ่มความชุ่มชื้นและสมานแผลให้กับผิว เช่น ครีมที่ช่วยให้ผิวกระตุ้นสร้างมอยส์เจอร์ไรเซอร์ในชั้นผิวได้เอง มองหาผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ สี และน้ำหอมที่อาจระคายเคืองต่อผิวหนังได้อีก หรือ ใช้ว่านหางจระเข้ เพื่อสมานแผลได้จากต้นแบบสด ๆ หากผิวขาดความชุ่มชื้นแห้งกร้าน คุณอาจต้องมองหา สกินแคร์ที่มีส่วนผสมเหล่านี้
  • ถุงผักแช่แข็ง – หากจำเป็นจริง ๆ คุณสามารถเอาถุงถั่วแช่แข็งที่อยู่ในตู้เย็นมาใช้ประคบเย็นได้ เพื่อที่จะไม่ให้น้ำแข็งสัมผัสกับผิวหนังโดยตรง อย่าลืมห่อด้วยผ้าขนหนูก่อนนำไปใช้งาน
  • ใช้สมุนไพรที่บรรเทาอาการผิวไหม้ – มีสมุนไพรบางชนิดที่ช่วยบรรเทาอาการผิวไหม้ได้ เช่น กล้วยหอมที่ถูกบดละเอียดแล้วนำมาทาให้ทั่วผิวหนัง เพราะกล้วยหอมเป็นต้นไม้ที่มีสรรพคุณในการลดอาการอักเสบและบรรเทาอาการผิวไหม้ หรือเนื้อของว่านหางจระเข้
  • อย่าแกะหรือเกาแผล – หากผิวของคุณได้รับการแดดเผาหรือไหม้แดด เกาะผิวแผลอย่างเด็ดขาด เพราะอาจทำให้ลุกลามมากกว่าเดิม
  • เลือกผลิตภัณฑ์ทาผิวด้วยความระมัดระวัง – ควรป้องกันการโดนแดด โดยใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่า SPF สูงและทาให้ครอบคลุมบริเวณที่ถูกแดด เช่น ใบหน้า แขน ขา ลำคอ และเท้า เพื่อป้องกันการเผาหรือไหม้ ขอแนะนำ ผลิตภัณฑ์กันแดดสําหรับคนเป็นสิว

หากแผลไหม้บางส่วนนั้นรุนแรงเกินกว่าจะรักษาที่บ้านได้ มีอาการคลื่นไส้ หนาวสั่น มีไข้ หน้ามืด พุพองเป็นวงกว้าง รู้สึกอ่อนแรง  มีอาการคันรุนแรง หรือหากแผลไหม้นั้นดูเหมือนจะลามออกไป นั่นหมายความว่าอาจมีการติดเชื้อได้ ให้รีบปรึกษาแพทย์โดยเร็วที่สุด


อ้างอิง

skin

ขัดผิวขาว ด้วยสครับแบบไหนดี : พร้อมให้คำแนะนำ & ประโยชน์

July 8, 2021
ขัดผิวขาว ด้วยสครับแบบไหนดี

การ ขัดผิวขาว จะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และช่วยให้บริเวณผิวหยาบกร้าน หรือเป็นรอยแดง รอยดำ ดีขึ้นได้ ซึ่งสามารถเลือกทำได้สักสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ซึ่งการใช้สครับเพื่อดูแลผิวนั้นแนะนำให้เลือกสครับที่มีส่วนผสมธรรมชาติและไม่มีสารเคมีที่อาจทำให้เกิดผิวแพ้ง่าย เช่น สครับที่มีสารสกัดจากพืชอย่าง แตงกวา มะเขือเทศ น้ำมันมะกอก น้ำมันมะพร้าว หรือมีส่วนผสมของวิตามินซี วิตามินอีเพื่อช่วยเสริมสร้างความกระจ่างใสและผิวขาวใส เป็นต้น นอกจากนี้ การดูแลผิวอย่างเหมาะสม รวมถึงการใช้ครีมกันแดด และเลือกทานอาหารที่มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อผิวยังช่วยบำรุงให้ผิวสวยสุขภาพดีได้ด้วย

การสครับผิวเพื่อผิวขาว

การสครับผิว เป็นการทรีตเมนต์ร่างกายเพื่อผลัดเซลล์ผิวที่ตายไปแล้วให้กลับมาเนียนนุ่ม และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว การขัดผิวโดยทั่วไปมาจากการผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำตาลหรือเกลือเป็นส่วนผสมหลัก แม้ว่าสครับบางสูตรจะสามารถ DIY ทำเองได้ง่าย ๆ ที่บ้าน แต่ขนาดของเกลือและน้ำตาลที่หยาบอาจทำให้บาดผิวได้ ต่างจากสครับคุณภาพสูงที่มีส่วนผสมที่ทำให้ผิวขาวตามธรรมชาติ ผลที่ได้ก็จะยิ่งดีขึ้นไปอีก หากต้องการ ขัดผิวขาว ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพตามร้าน นอกจากจะช่วยขัดผิวให้ดูโกล์วเหมือนได้ผิวใหม่แล้วยังไม่ทำให้เกิดการเสียดสีหรือบาดผิวได้อีกด้วย และช่วย แก้ปัญหาผิวหมองคล้ำ ให้กลับมาดูสดใสจากภายในสู่ภายนอกได้

เพราะแค่อาบน้ำกับทาครีมอาจยังไม่พอ การขัดผิวเป็นวิธีที่ดีที่จะทำให้ผิวกลับมาดูสดใสและมีสุขภาพดี สครับผิวเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในการผลัดเซลล์ผิว มีผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจมากมายตามห้างสรรพสินค้า หรือหากต้องการประหยัดจะทำสครับร่างกายแบบโฮมเมด โดยใช้ส่วนผสมที่มีอยู่แล้วที่บ้านโดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่มก็ได้เช่นกัน

ร่างกายต้องการการผลัดเซลล์ผิวเพื่อให้มีความนุ่ม เรียบเนียน และมีสุขภาพดี ไม่ต่างจากอะไรจากผิวหน้า หากการดูแลร่างกายในปัจจุบันมีแค่ใยบวบและสบู่ก้อน ถึงเวลาที่ต้องยกระดับการดูแลตัวเองให้มากขึ้นแล้ว และนี่คือข้อมูล & ประโยชน์ของการขัดผิวที่จำเป็นต้องรู้ก่อนจะเริ่ม ขัดผิวขาว


ประโยชน์ของการขัดผิวกาย

ขัดผิวขาว การสครับผิวเพื่อผิวขาว

การขัดผิวด้วยการสครับร่างกายมีประโยชน์หลายอย่างสำหรับผิว ได้แก่

  • ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว – การสครับผิวหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวประเภทอื่น ๆ ด้วยแปรงหรือใยบวบ ช่วยทำให้ผิวของคุณดูสว่างขึ้น เพราะเซลล์ผิวที่ตายถูกขจัดออกไป นอกจากนี้ยังสามารถกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนซึ่งอาจช่วยให้ผิวของคุณกระชับและเปล่งปลั่งมากขึ้น รวมถึงทำให้ ผิวแตกลาย ดีขึ้นได้ด้วย
  • เพิ่มประสิทธิภาพในการทาครีม ครีมจะซึมซาบเข้าสู่ผิวมากกว่า เป็นการบำรุงที่ล้ำลึกและมีประสิทธิภาพมากกว่าการทาแต่ครีมเพียงอย่างเดียว ที่ผ่านมาหากขัดผิวขาวและใช้ครีมเพื่อความขาว แต่ยังไม่เห็นผลลัพธ์ใด ๆ อาจเป็นเพราะครีมที่ทากองอยู่แค่บนผิวก็เป็นได้
  • ผิวเรียบเนียนขึ้นและใสขึ้น – การขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วสามารถช่วยให้ผิวหยาบกร้านเรียบเนียนขึ้น ทำให้รู้สึกนุ่มนวลและเรียบเนียน อีกทั้งยังช่วยเผยสีผิวที่สว่างใสและสม่ำเสมอยิ่งขึ้น
  • ลดรอยแผลเป็นจากสิว – ช่วยลดรอยแผลเป็นจากสิวและรอยด่างดำของผิว แม้ว่าจะไม่ถูกลบออกทั้งหมดแต่ก็จะจางลง สครับช่วยส่งเสริมกระบวนการผลัดผิวตามธรรมชาติ การขัดผิวจะขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพและช่วยให้ผิวฟื้นคืนความอ่อนเยาว์
  • ผ่อนคลาย ลดความกังวล – หากคุณกำลังเหนื่อยหรือรู้สึกเครียด การนวดผิวด้วยการสครับผิวถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ยอดเยี่ยมในการให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลายและรู้สึกสงบขึ้น

สิ่งสำคัญคือต้องใช้เลือกผลิตภัณฑ์ขัดผิวที่อ่อนโยน และหลีกเลี่ยงการขัดผิวมากเกินไป เนื่องจากอาจทำให้ผิวหนังระคายเคือง แห้งกร้าน และเสียหายได้ง่าย รวมถึงอย่าลืมบำรุงและปกป้องผิวจากแสงแดดหลังการขัดผิวด้วย เนื่องจากผิวอาจไวต่อการทำลายของรังสียูวีมากขึ้น


สครับน้ำตาล vs เกลือขัดผิว แบบไหนดีกว่า

สครับน้ำตาล

สครับน้ำตาลเป็นผลิตภัณฑ์ขัดผิวประเภทหนึ่งที่ทำจากน้ำตาลทรายและส่วนผสมอื่น ๆ เช่น น้ำมันหรือน้ำมันหอมระเหย เม็ดน้ำตาลทำงานเพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกจากผิว ในขณะที่น้ำมันช่วยให้ความชุ่มชื้นและบำรุงผิว เม็ดของน้ำตาลมีลักษณะกลมและมีฤทธิ์กัดกร่อนน้อยกว่าเกลือ มีประโยชน์ในการขัดผิวบริเวณที่บอบบาง เช่น ใบหน้า คอ หรือ หน้าอก ช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน แหล่งธรรมชาติของกรดไกลโคลิก ( AHA ) ในน้ำตาลจะทำลายชั้นผิวที่ตายแล้วและทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น

หากใช้สครับที่มีส่วนผสม เช่น มะเขือเทศ ก็จะเพิ่มความกระจ่างใสให้ผิว เพราะ AHA และวิตามินซี ในมะเขือเทศช่วยผลัดเซลล์ผิวได้ หรือ จะเป็นขมิ้นชัน ที่ถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมบ่อย ๆ เพราะเผยให้เห็นผิวที่ขาวผ่องและใสเนียน นอกจากนี้น้ำตาลยังเร่งการคืนความชุ่มชื้น รักษาสภาพผิว และให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว

สครับน้ำตาลสามารถใช้ได้กับส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย รวมถึงใบหน้า ริมฝีปาก และร่างกาย เพื่อช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น เนียนนุ่มขึ้น การขัดผิวด้วยน้ำตาลยังช่วยปรับปรุงลักษณะของแผลเป็น ผิวแตกลาย และความไม่สมบูรณ์ของผิวอื่น ๆ ได้ด้วย สครับน้ำตาลจึงเป็นตัวเลือกยอดฮิตต้น ๆ ในการนำไปสครับผิว

เกลือขัดผิว

เกลือขัดผิว

เกลือขัดผิวเป็นผลิตภัณฑ์ขัดผิวอีกประเภทหนึ่งที่ทำจากผลึกเกลือและส่วนผสมอื่นๆ เช่น น้ำมันหรือน้ำมันหอมระเหย เช่นเดียวกับการขัดผิวด้วยน้ำตาล การขัดผิวด้วยเกลือจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกจากชั้นผิว และส่งเสริมผิวที่สว่างขึ้น เรียบเนียนขึ้น และนุ่มนวลขึ้น

เกลือขัดผิวมักจะมีขนาดที่หยาบกว่าน้ำตาล มีประโยชน์ในการขัดผิวบริเวณที่หยาบกร้าน เช่น เท้า หัวเข่า ข้อศอก หรือร่างกาย หากมีส่วนผสมของธรรชาติ อย่าง มะขาม น้ำผึ้ง ก็สามารถช่วยทำให้ผิวขาวใสและสีผิวสม่ำเสมอได้ และเกลือยังมีคุณสมบัติในการล้างพิษ มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีผิวมันหรือเป็นสิวง่าย เนื่องจากผลึกเกลือสามารถช่วยเปิดรูขุมขนและขจัดน้ำมันส่วนเกินออกจากผิวได้ ช่วยดึงสิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขนลดโอกาสการเกิดสิวชนิดต่าง ๆ ช่วยเติมพลังให้ผิว ส่งเสริมการไหลเวียนของเลือด ทำให้ผิวมีสุขภาพดีที่มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่ควรขัดผิว​แรงเกินไป เพราะอาจเพิ่มโอกาสการเป็นสิว และผิวหนังอาจเกิดการอักเสบได้

หากคุณเลือกใช้สครับจากน้ำตาลหรือเกลือขัดผิว สิ่งสำคัญคือต้องใช้อย่างเบามือและทำไม่เกินหนึ่งหรือสองครั้งต่อสัปดาห์เพื่อลดความเสี่ยงต่อการระคายเคืองและความเสียหายของผิวหนัง และขอแนะนำให้เลือกสครับที่มีส่วนผสมธรรมชาติและไม่มีสารเคมีที่อาจทำให้เกิดผิวแพ้ง่าย และควรทำการขัดผิวอย่างอ่อนโยน หมั่นบำรุงผิวหลังการขัดผิวด้วย เลือกใช้สกินแคร์ให้เหมาะกับสภาพผิว เพื่อลดความเสี่ยงในการทำให้ผิวแห้ง และหมดปัญหาการเกิดผลข้างเคียงได้


อ้างอิง

skin

ผิวแตกลาย ไม่เลเซอร์มีโอกาสหายได้ไหม ทำอย่างไร

July 8, 2021
ผิวแตกลาย ไม่เลเซอร์มีโอกาสหายได้ไหม ทำอย่างไร

ผิวแตกลาย เกิดจาก

ผิวแตกลาย เป็นแผลชนิดหนึ่งที่สังเกตเห็นได้ง่าย เกิดจากการที่ผิวหนังบริเวณนั้น ๆ เกิดการยืดขยายตัวอย่างรวดเร็ว เช่น คุณแม่หลังคลอด, ผู้ที่กำลังอยู่ในช่วงควบคุมน้ำหนัก มีการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักไวเกินไป, การเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน, ผู้ที่เล่นกล้าม, ผิวแห้ง, การใช้สเตรียรอยด์ ฯลฯ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้มีการฉีกขาดของผิวหนังแท้และเป็นรอยแตกออกมา รอยแตกของผิวนี้มักเกิดในบริเวณที่มีไขมันสะสมอยู่มาก เช่น ต้นแขน หน้าอก หน้าท้อง ต้นขา สะโพก และน่อง อาการเริ่มแรกของผิวแตกลายนั้น ผิวหนังมักจะเป็นเส้นสีแดงหรือม่วง หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ดูแลรักษา จะมีสีอ่อนลงเรื่อย ๆ จนกลายเป็นสีขาวขุ่น 

ลักษณะของรอยแตกลาย

ผิวแตกลาย เกิดจาก

การดูแลผิวเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับหลาย ๆ คน แต่บางครั้งผิวอาจจะแตกลายได้ ซึ่งสาเหตุอาจมาจากหลายสิ่ง เช่น อากาศที่แห้งแล้ง การอาบน้ำร้อนเกินไป การใช้สบู่หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่ไม่เหมาะสม ปัจจัยอื่น ๆ หรืออาจเป็นเพราะสภาพอากาศต่าง ๆ ที่ผิวไม่ชอบ เช่น อากาศหนาวจัด หรืออากาศที่มีความชื้นสูง มาดู 5 ขั้นตอนที่คนเกาหลีใช้ดูแลผิวในตอนเช้า กัน

รอยแตกลายบนผิวหนังมักจะมีลักษณะเป็นร่องหรือเป็นลายเส้นขนาน มีความสัมพันธ์กับคำว่า Striae ที่แปลว่า ร่องหรือลายเส้นขนาน อาการเริ่มแรกของผิวแตกลาย คือผิวหนังจะเกิดรอยเป็นเส้นสีแดงหรือม่วง จากนั้นจะมีสีอ่อนลงเรื่อย ๆ จนกลายเป็นสีขาวขุ่น ผิวแตกลายอาจเรียกอย่างจำเพาะเจาะจงตามลักษณะอาการที่ปรากฏ อาทิ

 

  • Striae rubra: มีลักษณะเป็นลายเส้นขนานสีแดง เป็นรอยแตกลายที่พบได้ในระยะแรก
  • Striae distensae: มีลักษณะเป็นลายเส้นขนานจากการยืด อาจเป็นสีชมพูหรือสีม่วง
  • Striae atrophicans: มีลักษณะเป็นลายเส้นขนานโดยมีอาการผิวฝ่อ พบในคุณแม่หลังคลอด หรือผู้ที่มีการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัวอย่างรวดเร็ว
  • Striae alba: มีลักษณะเป็นลายเส้นขนานสีขาว เป็นรอยแตกของผิวที่เปลี่ยนจากเส้นสีแดงมาเป็นสีขาว มักพบในระยะหลัง 

หากคุณมีปัญหา ผิวแตกลาย สิ่งที่ควรทำคือดูแลผิวอย่างเหมาะสม ให้ผิวมีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ อย่าใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่อาจทำให้ผิวแห้งขึ้น และอย่าลืมใช้ครีมกันแดดเพื่อป้องกันการเสียดสีผิว เพราะแสงแดดก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวแตกลายได้ หรือหากผิวคุณขาดความชุ่มชื่น ลองมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมเหล่านี้


วิธีแก้ผิวแตกลาย

ปกติรอยแตกลายไม่มีผลต่อสุขภาพร่างกาย จะมีแค่เรื่องความสวยความงาม แต่อาจพบว่าผิวที่มีรอยแตกลายมาก ๆ อาจฉีกขาดได้ง่ายกว่าปกติ เมื่อผิวได้รับบาดเจ็บ ในส่วนรอยแตกลายในวัยรุ่นอาจจางลงได้บ้างเมื่อเวลาผ่านไปนาน ๆ อย่างไรก็ตามสำหรับวิธีแก้ ผิวแตกลาย สามารถเลือกทำได้ 2 วิธี คือ ทำด้วยตัวเองในกรณีที่ไม่อยากเลเซอร์ หรือใครที่ต้องการรักษาโดยใช้เทคนิคการแพทย์ แนะนำให้ไปปรึกษาแพทย์หรือคลินิกที่เชี่ยวชาญเพื่อผลลัพธ์ในการรักษาที่ดีสุด

1. ลดรอยแตกลายด้วยตัวเอง

  • ดูแลร่างกาย ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิว เช่น วิตามินซี อาหารจำพวก นม เนย ตับ ปลา เป็นต้น และอาหารที่มีวิตามินซีสูง เพราะวิตามินซีมีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนซึ่งช่วยสร้างความยืดหยุ่นและชุ่มชื่นให้กับผิว หมั่นออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายสมส่วน ผิวพรรณมีความยืดหยุ่น ระดับฮอร์โมนสมดุลจะสมดุลมากขึ้น ทำให้ลดปัญหาผิวแตกลายได้
  • ควรดื่มน้ำในปริมาณที่มากพอและเพียงพอต่อร่างกาย เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและสร้างสมดุลความยืดหยุ่นให้กับผิว และหลีกเลี่ยงไม่ให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
  • ทาครีมบำรุง การใช้ผลิตภัณฑ์ลดรอยแตกลาย น้ำมันจากธรรมชาติ หรือ การใช้ครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ในบริเวณแตกลายเป็นประจำทุกวัน หลังอาบน้ำ ก่อนนอน อย่าปล่อยให้ผิวแห้งเด็ดขาด ความสม่ำเสมอในการทาจะช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้น การใช้ยาทารักษารอยแตกลายจะได้ผลเฉพาะรอยแตกลายที่เกิดใหม่ คือยังคงมีสีแดงหรือม่วงเท่านั้น เนื่องจากยังคงมีหลอดเลือดทำงานอยู่ซึ่งทำให้พวกมันตอบสนองต่อการรักษาได้ดีขึ้น หากกำลังตั้งครรภ์ให้หลีกเลี่ยงในส่วนผสมของ เรตินอยด์ เรตินอล หรือวิตามินเอ เพราะอาจอันตรายต่อทารกได้
  • การบํารุงผิวด้วยวิธีธรรมชาติก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เช่น การนวดผิวหน้าโดยใช้น้ำมันจากธรรมชาติ เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันมะพร้าว หรือเบบี้ออยล์ เป็นต้น เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื่นและไม่แตกลาย
  • การใช้สมุนไพรธรรมชาติในการฟื้นฟูผิวแตกลาย เช่น ใช้สมุนไพรที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากเปลือกต้นกาแฟ ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและลดการเกิดริ้วรอยบนผิว หรือใช้สมุนไพรอย่างมาส์กมะขามมาขัดผิวจะช่วยให้ผิวดูกระชับและชุ่มชื่นขึ้น แนะนำ เลือกใช้สครับแบบไหนดี

วิธีแก้ ผิวแตกลาย

2. เข้ารับการรักษาโดยแพทย์

  • การทำเดอร์มาโรลเลอร์ (Dermaroller) การใช้เครื่องมือกลิ้งบริเวณผิวที่ต้องการ เป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนัง ช่วยทำลายพังผืด ช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้น เป็นวิธีที่ช่วยลดรอยแตกลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การเลเซอร์ไอพีแอล (Intensed Pulsed Light – IPL) ใช้แสงความเข้มข้นสูงยิงบริเวณผิวที่เป็นรอย เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและปรับให้สีผิวสม่ำเสมอหรือจะเป็นการเลเซอร์สร้างผิวใหม่ก็ได้เช่นกัน
  • การทำเมโสเธอราพี (Mesotherapy) รักษารอยแตกลาย เป็นการใช้เข็มกระตุ้นส่งยาเข้าไปในชั้นผิวเพื่อกระตุ้นให้เกิดการสมานรอยแตกลายของผิว
  • ฉีดคาร์บ็อกซี่ (Carboxytherapy) เป็นการรักษาโดยการฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ใช้ในในทางการแพทย์ที่ชั้นหนังแท้ตามแนวร่องแตกลายของผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและคอลลาเจนใต้ผิวให้ตึงกระชับ นอกจากจะช่วยเรื่องการรอยแตกลายแล้วยังช่วยสลายไขมันส่วนเกินที่ต้องการได้อีกด้วย

สุดท้ายนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการดูแลรักษาผิวอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมกับผิว และดูแลผิวอย่างต่อเนื่องด้วยวิธีการที่เหมาะสมเพื่อให้ผิวแข็งแรงและสวยงาม


อ้างอิง