Browsing Category

skin

skin

รูขุมขนกว้างทำไงดี  รวมวิธีให้ผิวกลับมากระชับดังเดิม 

August 9, 2022
รูขุมขนกว้างทำไงดี

รูขุมขนกว้างทำไงดี ? รวมวิธีให้ผิวกลับมากระชับดังเดิม

รูขุมขนกว้างทำไงดี ? รูขุมขนกว้าง เป็นฝันร้ายของใครหลาย ๆ คนที่ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น เพราะเมื่อรูขุมขนกว้าง แต่งหน้ายากแถมบางครั้งหน้าแห้งหรือหน้ามันเกินไปจนสูญเสียความมั่นใจ บวกกับอายุที่เพิ่มมากขึ้น การทำงานสะสมความเครียด การนอนน้อยก็ยิ่งทำให้ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง มองดูใบหน้าที่รูขุมขนกว้างด้วยความท้อใจ แต่รูขุมขนกว้างนั้นเราจะสังเกตได้ว่าช่วงอายุน้อยใบหน้าของทุกคนต่างสดใสไร้รูขุมขน แล้วสาเหตุอะไรนะทีเกิดรูขุมขนกว้างขึ้นได้


รูขุมขนกว้างเกิดจากอะไร

รูขุมขนกว้างทำไงดี

รูขุมขนกว้างเกิดจากปัจจัยหลัก 2 อย่างคือ ปัจจัยภายนอกและปัจจัยจากภายใน ซึ่งสาเหตุการเกิดขึ้นก็มีย่อยไปอีก ได้แก่

ปัจจัยภายใน

  • พันธุกรรม เป็นสาเหตุที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย เพราะยีนส์พันธุกรรมที่ส่งผ่านต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ก็ไม่เศร้าใจไป เพราะยังมีวิธีบำรุงผิวหน้าให้คงความกระชับแน่นอน
  • ช่วงอายุ แน่นอนว่าเมื่อเราเข้าสู่วัยหนุ่มสาว ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง มีการสร้างฮอร์โมนออกมาอย่างมากมาย กระตุ้นชั้นในมันใต้ผิวออกมานั่นเอง ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดในเพศชาย แต่ในเพศหญิงก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
  • สภาพผิวส่วนบุคคล ผิวมัน ผิวแห้ง หรือผิวขาดน้ำ การที่ผิวเสียความสมดุลก็จะเกิดสภาวะรูขุมขนกว้าง
  • ผิวผลิตคอลลาเจนน้อยลง ทำให้ชั้นผิวอิลาสตินของเราไม่แข็งแรง การฟื้นฟูผิวทำได้ไม่เต็มที่

ปัจจัยภายนอก

  • สภาพอากาศและสภาพแวดล้อม สภาพอากาศนั้นเป็นปัจจัยภายนอกที่พบบ่อยที่สุดก็ว่าได้ ถ้าเราอาศัยในสภาพภูมิประเทศเขตร้อนชื้น ผิวหนังของเราก็จะระบายความร้อนออกมาพร้อมกับขับน้้ำมันใต้ผิว หรืออากาศในประเทศที่อากาศแห้งหนาว ใบหน้าก็จะแห้งไม่ชุ่มชื้น หากไม่ได้บำรุงผิวหน้าที่เหมาะสมก็จะเกิดรูขุมขนกว้างขึ้น หรือสภาพอากาศที่มีมลภาวะสูง เกิดการสะสมฝุ่นละอองพิษทำให้เกิดการอุดตันใบหน้า รูขุมขนขยายกว้างที่ฝุ่นสะสมได้ด้วยเช่นกัน
  • การบำรุงผิวหน้าที่ไม่ถูกต้อง ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจสภาพของผิวหน้าว่าแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน คุณมีผิวหน้าแบบไหน สังเกตได้ง่าย ๆ หลังล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า ดังนี้
    • ผิวแห้ง หลังล้างหน้าแล้วรู้สึกหน้าตึง ผิวแห้งกร้าน
    • ผิวมัน หลังล้างหน้าแล้วผิวสร้างชั้นน้ำมันออกมาทั่วบริเวณใบหน้าเหมือนฟิล์มเคลือบบาง ๆ
    • ผิวขาดน้ำ หลังล้างหน้า ช่วงผิวบริเวณหน้าผากและจมูกมีน้ำมันออกมาบาง ๆ หรือผิวบริเวณแก้มกับคางมีน้ำมันออกมา รวม สูตรมาร์กหน้าเพิ่มความชุ่มชื่น

ซึ่งแต่ละสภาพผิวก็ต้องมีการบำรุงที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน เพราะการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมกับผิว สามารถทำให้ผิวหน้าเสียหายและเกิดปัญหาเพิ่มเติมได้


รูขุมขนกว้างทำไงดี  ? ทำอย่างไรอยากให้รูขุมขนกระชับขึ้น

รูขุมขนกว้างทำไงดี

1. ใช้ผลิตภันฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวหน้า และเลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์ให้ถูกกับผิว

    • ผิวแห้ง การที่ผิวแห้งกร้านมาก เซลล์ที่หลุดลอกออกมาไม่หมดจะเกิดการทับถมเซลล์ที่ตายแล้วอุดตันบนใบหน้า ฉะนั้นควรเลือกบำรุงหน้าด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์เนื้อครีม โดยก่อนจะลงเนื้อครีมบนใบหน้าควรล้างมือให้สะอาด ปาดเนื้อครีมลงบนฝ่ามือหนึ่งนิ้วแล้ววนฝ่ามือประมาณสามครั้ง แล้วนำมือทั้งสองข้างนาบบนลงแก้ม จมูก หน้าผาก คางและบริเวณคอ เป็นการวอร์มอัปครีมและเลี่ยงการอุดตันนั่นเอง
    • ผิวมัน ผิวประเภทนี้บางคนอาจละเลยว่าหน้ามันพอแล้ว ไม่ต้องการครีมบำรุงอะไรให้เหนียวเหนอะหนะ หรือใช้แค่เพียงโทนเนอร์ปรับสภาพผิวเท่านั้น แต่รู้ไหมว่าการใช้ครีมบำรุงนั้นสำคัญเช่นกัน เพราะผิวได้ขับน้ำมันออกมา ทำให้ส่วนชั้นภายในกลับแห้งไม่ชุ่มชื้น ควรเลือกบำรุงหน้าด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์เนื้อเจลหรือเนื้อโลชั่นที่มีความเข้มข้นน้อยกว่าเนื้อครีม แนะนำ วิธีลดความมันบนใบหน้า เพื่อป้องกันการเกิดสิว
    • ผิวขาดน้ำ สามารถเลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์รูปแบบใดก็ได้ตามที่ต้องการ แต่หากเป็นเนื้อครีมหนักก็แนะนำว่าให้วอร์มอัปครีมก่อนลงบนในหน้าเสมอ และครีมนั้นควรมีส่วนผสมของ กรดไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) หรือเซราไมด์ (Ceraminde) ที่จะช่วยฟื้นฟูผิวจากการขาดน้ำ

2. ทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ

การทาครีมกันแดดร่วมกับการบำรุงผิวหน้าถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผิวแข็งแรงและรูขุมขนกระชับขึ้น  สาเหตุนั้นเป็นเพราะไม่ว่าจะอยู่ในภูมิอากาศใด แสงแดดก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผิวแห้งกร้าน หรือขับความร้อนออกมาจากร่างกายด้วยรังสียูวี การที่สะสมแสงแดดมาก ๆ โดยไม่ได้รับการป้องกัน ผิวก็จะหย่อยคล้อยและชั้นใต้ผิวหนังก็อ่อนแอลง แนะนำว่าก่อนอกจากบ้านทุกครั้งควรทาครีมกันแดดที่มี SPF 30 PA+++ ขึ้นไปเท่านั้น และทาย้ำทุก ๆ 4 ชั่วโมง หากออกแดดทั้งวัน เพื่อเป็นการเติมเกราะป้องกันผิวนั่นเอง

3. หัตถการทางการแพทย์

เหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลา และต้องการผลลัพธ์ที่เร่งด่วน รวดเร็ว ปัจจุบันมีวิธีการและเครื่องมือมากมายที่ช่วยให้รูขุมขนกระชับขึ้น ซึ่งแต่ละวิธีต้องปรึกษาแพทย์ก่อนทำเท่านั้น

  • Botox รู้หรือไม่ว่า โบท็อกซ์ช่วยเรื่องรูขุมขนบนใบหน้าด้วยนะ เพราะโบท็อกซ์จะถูกฉีดไปจะฉีดเข้าบริเวณต่อมไขมันและกล้ามเนื้อ ทำให้ต่อมไขมันหดเล็กลง และกระตุ้นผิวหนังให้สร้างคอลลาเจนมาฟื้นฟูผิว ทำให้รูขุมขนกระชับขึ้นและใบหน้าเรียบเนียนไร้ริ้วรอย โดยภายใน 1 สัปดาห์จะเห็นผลอย่างเต็มที่ และตัวยาโบท็อกซ์อยู่ได้นานสูงสุดถึง 6 เดือนแล้วแต่การรักษาและพฤติกรรมประจำวันส่วนบุคคล
  • Mesotherapy เป็นการฉีดสารบำรุงเข้าไปในผิวและกระตุ้นให้ผิวทำงานได้ดียิ่งขึ้น เหมาะกับสายขี้เกียจทาสกินแคร์แต่ต้องการหน้าสวยฉ่ำอย่างรวดเร็ว โดยตัวยาจะถูกฉีดเข้าไปชั้นผิวหนังทำให้ต่อมไขมันทำงานน้อยลง ส่งผลให้หน้ามันน้อยลง รูขุมขนกว้างกลับกระชับขึ้น
  • Laser การทำเลเซอร์ในระดับที่เหมาะสม จะกระตุ้นผิวให้สร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ส่งผลให้ผิวขาวใส เรียบเนียน แต่วิธีนี้ต้องคอยบำรุงหน้าให้ชุ่มชื้นและหลีกเลี่ยงแสงแดด
  • Thermage เหมาะกับบุคคลที่มีไขมันบริเวณบนใบหน้าเยอะ วิธีทำก็คือยิงคลื่น Radio Frequency (RF) สู่ชั้นผิวหนังและชั้นไขมัน กระตุ้นให้ผิวผลิตคอลลาเจน ทำให้ผิวชั้นลึกแน่นฟู ผิวชั้นนอกเรียบเนียนขึ้น และสามารถคงผลลัพธ์นี้ได้ระยะยาว โดยสามารถทำแล้วกลับบ้านได้เลย ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น
  • Hifu Macrofocus เป็นนวัตกรรมโดยใช้คลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ ยิงเป็นจุดพลังงานลงไปใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวยกกระชับและหกตัว การทำอาจเกิดรอยแดง แต่จะหายไปได้เองภายใน 2 ชั่วโมง

4. บริโภคอาหารเสริมจากภายในด้วยคอลลาเจน

แน่นอนว่าการรับประทานคอลลาเจนจะช่วยให้ผิวกระชับขึ้นจากภายในสู่ภายนอก เพราะกลไกการทำงานของผิว คอลาเจนเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในโปรตีนที่ช่วยสร้างชั้นผิวหนังทั้งภายนอกและภายใน การบริโภคคอลลาเจนอย่างสม่ำเสมอ นอกจากจะช่วยให้ผิวสวย เปล่งประกาย อวัยวะภายในทำงานเป็นปกติแล้ว ก็ยังเป็นการทริคให้ร่างกายคอยดื่มน้ำเปล่าเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวอีกด้วย นอกจากนี้ คอลลาเจนยังช่วยลดริ้วรอยใต้ตา ได้ด้วย

เมื่อเพื่อน ๆ ได้ทราบสาเหตุว่ารูขุมขนเกิดขึ้นจากอะไรบ้าง ก็จะสามารถแก้ปัญหาบำรุงได้ตรงจุดและรวดเร็ว ฉะนั้นแม้ว่าการที่ใบหน้ามีรูขุมขนกว้างนั้นทำให้สูญเสียความมั่นใจ แต่มนุษย์ทุกคนเกิดมาและมีรูขุมขนบนใบหน้านั้นเป็นเรื่องปกติและกลไกทำงานของร่างกายต่างรักษาสมดุล ฉะนั้นไม่ต้องกังวลใจไปเพราะมีวิธีป้องกันให้เกิดและหลากหลายวิธีการที่จะทำให้เพื่อน ๆ กลับมามั่นใจได้อีกครั้งพร้อมอวดผิวสวยดังเดิม


อ้างอิง

skin

เซ็บเดิร์ม รักษาอย่างไร จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็น “โรคเซ็บเดิร์ม”

July 9, 2021
โรค เซ็บเดิร์ม รักษา อย่างไร

โรคเซ็บเดิร์ม เป็นภาวะผิวหนังทั่วไปที่ส่งผลต่อหนังศีรษะ ใบหน้า และส่วนอื่น ๆ ของร่างกายที่มีต่อมน้ำมันเข้มข้นสูง มีลักษณะเป็นผื่นแดง ผิวหนังอักเสบ และมีเกล็ดสีขาวหรือเหลืองเป็นขุย ซึ่งอาจทำให้รู้สึกคันและไม่สบายตัวได้ สาเหตุที่แท้จริงของ โรคเซ็บเดิร์มยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่คาดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของยีสต์บนผิวหนัง เช่นเดียวกับปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรค ได้แก่ ความเครียด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน อากาศหนาว และสภาวะทางการแพทย์บางอย่าง แล้วโรค เซ็บเดิร์ม รักษา ได้อย่างไร ? ก่อนอื่นเรามาดูอาการของโรคนี้กันก่อน

อาการของโรคเซ็บเดิร์ม

อาการของโรค เซ็บเดิร์ม รักษา อย่างไร

โรคเซ็บเดิร์ม เป็นโรคผิวหนังที่มีภาวะอักเสบจากต่อมไขมันในชั้นผิวหนัง อธิบายง่าย ๆ คือ เมื่อเป็นโรคเซ็บเดิร์มจะเกิดผื่นแดงตามผิวหนัง ขอบไม่ชัด ลอกเป็นแผ่น ตกสะเก็ดคล้ายรังแค มักเป็น ๆ หาย ๆ ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยบริเวณหนังศีรษะ, ใบหน้า, เปลือกตา, หน้าอก และแผ่นหลัง นอกจากนี้การเจ็บป่วยจากโรคหรือภาวะบางอย่าง เช่น โรคเกี่ยวกับระบบประสาทและโรคทางจิต เช่น โรคพาร์กินสัน โรคตับอ่อนอักเสบ พิษสุราเรื้อรัง และมะเร็งบางชนิด โรคเกี่ยวกับระบบต่อมไร้ท่อที่เป็นสาเหตุของโรคอ้วน เช่น เบาหวาน ก็เป็นอีกปัจจัยที่เสี่ยงต่อการเกิดเซ็บเดิร์มได้

เซ็บเดิร์มมีลักษณะและอาการดังนี้

  • ผมร่วงบริเวณหนังศรีษะที่เป็นเซ็บเดิร์ม
  • ผิวหนังในบริเวณเป็นเซ็บเดิร์มจะมีความมัน
  • มีอาการแดง คัน
  • ผิวลอก ตกสะเก็ด บางครั้งสะเก็ดที่หลุดลอกอาจจะเป็นสีเหลือง หรือขาว ที่เรียกว่ารังแค อาจจะเป็นได้บริเวณ ผม คิ้ว

อาการของเซ็บเดิร์มอาจมีลักษณะคล้ายกับโรคผิวหนังบางชนิด เช่น สิว สังเกตได้จากหากเป็นสิวอุดตัน จะมีลักษณะเป็นเม็ดเล็ก ๆ หัวปิดหัวเปิด ตุ่มดำ ตุ่มหนอง ตุ่มอักเสบ นอกจากนี้ก็ยังมีโรค SLE หรือโรคพุ่มพวง ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่สามารถแยกออกจากกันได้ เนื่องจากโรค SLE จะมีลักษณะเป็นผื่นแดงที่ข้างแก้มเหมือนปีกผีเสื้อ และไม่ได้อยู่ชิดบริเวณข้างจมูกเหมือนกับผื่นเซ็บเดิร์ม

อีกหนึ่งโรคที่มีผื่นขึ้นคล้ายกันก็คือ โรคผื่นแพ้สัมผัส ซึ่งลักษณะของผื่นคล้ายกับเซ็บเดิร์มมาก แต่เมื่อตรวจอย่างละเอียดจะสามารถแยกความแตกต่างระหว่างสองโรคได้ เพราะส่วนมากผู้ที่เป็นผื่นแพ้สัมผัสมักมีการเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ดูแลผิวใหม่ภายใน 1-2 สัปดาห์ ที่ผ่านมา เช่น สกินแคร์ยี่ห้อใหม่ โฟมล้างหน้ายี่ห้อใหม่ เป็นต้น ส่วนโรคผิวหนังอื่น ๆ อาจต้องตรวจละเอียดด้วยวิธีทางการแพทย์ คุณอาจสนใจบทความ การเลือกสกินแคร์ให้เหมาะกับสภาพผิว


การรักษาโรคเซ็บเดิร์ม

โรค เซ็บเดิร์ม รักษา ได้อย่างไร ? การรักษาโรคนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและบริเวณของร่างกายที่ได้รับผลกระทบ นี่คือตัวเลือกการรักษาบางอย่างที่แพทย์อาจแนะนำ

1. ยาต้านเชื้อราเฉพาะที่ ยาเหล่านี้ เช่น ketoconazole และ ciclopirox สามารถช่วยลดการอักเสบและต่อสู้กับยีสต์ที่ก่อให้เกิดผิวหนังอักเสบเซ็บเดิร์ม มักมีอยู่ในรูปของแชมพู ครีม หรือขี้ผึ้ง

2. ยาต้านการอักเสบเฉพาะที่ ยาเหล่านี้ เช่น คอร์ติโคสเตียรอยด์หรือสารยับยั้งแคลซินูริน สามารถช่วยลดการอักเสบและอาการคันที่เกี่ยวข้องกับผิวหนังอักเสบจากไขมัน อย่างไรก็ตาม การใช้ยาเหล่านี้ในระยะยาวอาจมีผลข้างเคียง ดังนั้นควรใช้ด้วยความระมัดระวัง

3. แชมพูยา หากผิวหนังอักเสบจากเซ็บเดิร์ม ส่งผลต่อหนังศีรษะ ใช้แชมพูยาที่มีส่วนผสมที่ออกฤทธิ์ เช่น กรดซาลิไซลิก หรือสังกะสี ไพริไธโอนสามารถช่วยลดการอักเสบและควบคุมอาการได้

4. การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิต การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิตบางอย่างอาจช่วยในการจัดการกับโรคเซ็บเดิร์ม เช่น การหลีกเลี่ยงสบู่หรือผงซักฟอกที่รุนแรง ลดความเครียด และออกกำลังกายเป็นประจำ แนะ 7 วิธีในการดูแลผิวให้ชุ่มชื้นขึ้น

5. การบำบัดด้วยแสง ในบางกรณีอาจใช้การส่องไฟเพื่อรักษาโรคเซ็บเดิร์ม สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการเปิดเผยผิวหนังที่ได้รับผลกระทบกับแสงเฉพาะประเภทที่สามารถลดการอักเสบและทำให้อาการดีขึ้น

สิ่งสำคัญคือต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างระมัดระวังและรักษาต่อไปแม้ว่าอาการจะดีขึ้นก็ตาม ในบางกรณี ผิวหนังอักเสบอาจเป็นภาวะเรื้อรัง แต่ด้วยการจัดการและการรักษาที่เหมาะสม จะสามารถควบคุมและลดอาการได้ ซึ่งวิธีการป้องกันโรคดังกล่าว คือหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีอากาศร้อนจัด / หนาวจัด, ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ดูและสภาพจิตใจไม่ให้เกิดความเครียด, ทาครีมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอ, ใช้ยาลดการอักเสบ-ยาฆ่าเชื้อรา, กรณีที่มีรอยโรคที่หนังศีรษะ รักษาโดยใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์, พักผ่อนให้เพียงพอ รวมไปถึงหลีกเลี่ยงการใช้ยาบางชนิด ที่กระตุ้นให้เกิดเซ็บเดิร์มได้ ในรายที่เป็นรุนแรงควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาซึ่งอาจมีการให้ยารับประทาน

ปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปทางการแพทย์ที่แน่ชัดถึงสาเหตุของโรคเซ็บเดิร์ม แต่แพทย์สันนิษฐานว่าปัจจัยอย่าง ระดับของฮอร์โมนที่แปรปรวน การมีเชื้อยีสต์บนผิวหนังมากขึ้น รวมถึงจากพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งผื่นเซ็บเดิร์มสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในหน้าร้อนและหน้าหนาว สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดโรคดังกล่าว การเกิดเซ็บเดิร์มไม่ได้มาจากการไม่รักษาความสะอาดหรืออาการภูมิแพ้แต่อย่างใด ไม่ใช่โรคติดต่อ

ส่วนคำถามที่ว่า เซ็บเดิร์ม รักษา หายขาดไหม ? คำตอบ คือ ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ อย่างไรก็ตาม ทารกแรกเกิด – 2 เดือน และผู้ใหญ่อายุตั้งแต่ 30-60 ปี มีโอกาสที่จะเป็นโรคนี้ได้มากกว่าวัยอื่น ๆ


ข้อควรปฏิบัติหลังเกิดผื่นเซ็บเดิร์ม

เซ็บเดิร์ม มีลักษณะและอาการดังนี้

หลังจากมีอาการผื่นผิวหนังอักเสบหรือเกิดผื่นเซ็บเดิร์ม มีวิธีปฏิบัติหลายอย่างที่สามารถช่วยในการจัดการอาการและป้องกันการระบาดในอนาคต ต่อไปนี้คือคำแนะนำบางประการสำหรับสิ่งที่ต้องทำหลังจากผิวหนังอักเสบไม่ให้ลุกลาม ได้แก่ รักษาความสะอาด โดยใช้น้ำยาทำความสะอาดผิวที่อ่อนโยนและน้ำอุ่น เพื่อขจัดน้ำมันส่วนเกินหรือเซลล์ผิวที่ตายแล้ว หมั่นทามอยส์เจอไรเซอร์ เพื่อช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองและลดความแห้งกร้านได้ มองหามอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ปราศจากน้ำหอมและไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน และหลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของสุขอนามัยส่วนบุคคลร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดตัวหรือหวี เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค รวมถึง วิธีดูแลผิวหน้า เพื่อสุขภาพผิวที่ดี 

และควรพบแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาอย่างถูกวิธี ซึ่งวิธีรักษาโรคนี้จะมีการใช้ยาทาเพียง 1-2 ชนิด ควบคู่ไปกับการปฏิบัติตนให้ถูกต้อง ดูแลตัวเองไม่ให้เกิดความเครียด หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางทุกชนิด ไม่แนะนำให้แต่งหน้าเพื่อปกปิดผื่นเซ็บเดิร์ม เพราะอาจไปกระตุ้นให้อาการแย่ลงหรือกลายเป็นผื่นชนิดอื่น เช่น การแพ้สัมผัสครีมหรือเครื่องสำอางบางตัว และอาจทำให้เกิดสิวได้อีกด้วย


โรคเซ็บเดิร์ม ห้ามกินอะไร

แม้ว่าจะไม่มีการระบุประเภทอาหารที่ก่อให้เกิดโรคอย่างแน่ชัด แต่งานวิจัยบางชิ้นพบความเชื่อมโยงระหว่างอาหาร (บางชนิด) ที่อาจเป็นตัวกระตุ้นก่อให้เกิดโรคได้ อย่างงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ถูกตีพิมพ์ใน Journal of Investigative Dermatology (2018) พบว่ารูปแบบการบริโภคอาหารแบบ “ตะวันตก” ที่ส่วนใหญ่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์และอาหารแปรรูปอย่าง ชีส, เต้าหู้, เค้ก, ขนมปัง, ซอสมะเขือเทศ, มันฝรั่งทอดกรอบรสเค็ม อาจเป็นสิ่งที่กระตุ้นทำให้เป็นเซ็บเดิร์มได้

เมื่อปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติเหล่านี้ จะช่วยให้จัดการกับอาการของโรคเซ็บเดิร์มและป้องกันการลุกลามในอนาคตได้ แต่ถ้าหากคุณมีอาการต่อเนื่องหรือรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการประเมินและการรักษาต่อไป


อ้างอิง

skin

ผิวลอกเป็นขุย ตลอดเวลา แนะ 7 วิธีในการดูแลผิวให้ชุ่มชื้นขึ้น

July 9, 2021
ผิวลอกเป็นขุย ตลอดเวลา แนะ 7 วิธีในการดูแลผิวให้ชุ่มชื้นขึ้น

ผิวลอกเป็นขุย เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การสัมผัสกับสิ่งที่ทำให้เกิดการเสียดสีผิวหรือการแพ้สิ่งที่มีอยู่บนผิวหน้า ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่เหมาะสมกับสภาพผิว หรือสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เช่น สารเคมีในอากาศ แสงแดดที่มีรังสี UV และฝุ่นละอองในอากาศ การเคลื่อนไหวของหน้าผากและขนตาที่มากเกินไป นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของร่างกาย เช่น สุขภาพที่ไม่ดี การรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสมและไม่คุ้มค่า และความเครียดที่เกิดจากการทำงานหรือปัญหาทางจิตใจ เป็นต้น

ภาวะ ผิวลอกเป็นขุย และผิวแห้งมาก คืออะไร

ภาวะ ผิวลอกเป็นขุย และผิวแห้งมาก คืออะไร

ภาวะผิวแห้งมาก (Xerosis) คือลักษณะผิวที่มีปัญหาแห้งกร้าน ผิวแห้งลอกเป็นขุย เป็นความผิดปกติของผิวที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด มีสาเหตุมาจากการขาดน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวให้ชุ่มชื้น เนื่องจากต่อมไขมันมีขนาดเล็กและมีจำนวนน้อย จึงผลิตขึ้นมาไม่เพียงพอสำหรับการกักเก็บความชุ่มชื้น ก่อให้เกิดผิวแห้งตึง ผิวลอกเป็นขุย ไม่เรียบเนียน ต่างจากผิวที่ขาดความชุ่มชื้น ที่เป็นเพียงแค่อาการผิดปกติของผิวชั่วคราว

แต่สิ่งที่เหมือนกันระหว่างผิวแห้งมากจนลอกเป็นขุย กับ ผิวขาดน้ำ คือหากขาดการดูแลที่เหมาะสมก็จะยิ่งเพิ่มระดับความรุนแรง โดยจะมีอาการคันผิวหนังหรือผิวไวต่อการระคายเคืองง่ายร่วมด้วยในอนาคต เพื่อลดโอกาสการเกิดปัญหาผิวแห้งตั้งแต่แรกเริ่ม ควรรู้สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาเสียก่อน ซึ่งสาเหตุของการเกิดปัญหาผิวลอก ผิวแห้งมากขึ้นอยู่กับปัจจัยเหล่านี้ 

  • สารให้ความชุ่มชื้นในผิว : โดยปกติแล้วในผิวชั้นบนจะมีสารให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ (NMFs) เช่น ยูเรีย แลคเตรท ที่ทำหน้าที่จับโมเลกุลน้ำไว้ภายในผิว เมื่อไหร่ก็ตามที่ผิวหากขาดสารตัวที่ว่านี้ ก็จะทำให้การยึดเกาะกับโมเลกุลน้ำภายในผิวเกิดได้ไม่ดี เกิดการสูญเสียน้ำออกจากผิวได้ง่าย ส่งผลให้เกิดปัญหาหน้าลอก ผิวแห้งตึง ลอกเป็นขุย 
  • ไขมันที่จำเป็นในผิว : ไขมันที่อยู่ในชั้นผิวหนังตามธรรมชาติ เช่น เซราไมด์ ที่มีหน้าที่ทำให้ชั้นปกป้องผิวแข็งแรง ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น ให้ผิวมีความยืดหยุ่นและแข็งแรง นอกจากนี้สิ่งที่ผิวขาดไม่ได้คือกรดไขมันจำเป็น (Essential Fatty Acid) เช่น Omega 3&6 Fatty Acids ซึ่งร่างกายไม่สามารถผลิตกรดไขมันเหล่านี้ได้เอง แต่จะได้จากอาหารที่รับประทาน หรือครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของไขมันจำเป็นดังกล่าวเป็นส่วนผสม

หรือคุณอาจจะสงสัยว่าเป็นเซ็บเดิร์มหรือไม่ ? จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็น “โรคเซ็บเดิร์ม”


7 เคล็ดลับเพื่อผิวชุ่มชื้นขั้นสุด

1. เลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวสูตรอ่อนโยน

ขั้นตอนแรกควรทำความสะอาดผิว ควรเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดแบบไม่ต้องล้างน้ำ เช่น Micellar Water หรือ Cleansing Water ที่เหมาะกับทุกสภาพผิว ในกิจวัตรตอนเช้าและตอนเย็น เวลาใช้ก็ให้หยดบนสำลีจนชุ่ม แล้วค่อย ๆ เช็ดหน้าแบบเบา ๆ เช็ดให้ทั่วใบหน้า เพื่อล้างคราบสิ่งสกปรกออก 

2. ใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมที่ให้ความชุ่มชื้น

ไม่ว่าคุณจะมีผิวแห้ง, ผิวมัน ,ผิวแพ้ง่าย, ผิวผสม หรือผิวปกติ ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมที่ให้ความชุ่มชื้นกับผิวก็ยังจำเป็นอย่างมาก เช่น กรดไฮยาลูโรนิก ที่ขึ้นชื่อในเรื่องคุณสมบัติในการให้ความชุ่มชื้น ลองใช้ Water Drench™ Hyaluronic Cloud Cream Hydrating Moisturizer ของ PETER THOMAS ROTH มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่อุดมไปด้วย hyaluronic acid ที่มีความเข้มข้นถึง 30% ช่วยเติมน้ำให้ผิวเปล่งปลั่งแลดูอ่อนเยาว์ได้ยาวนานถึง 72 ชั่วโมง หรือมองหา สกินแคร์สำหรับผิวขาดความชุ่มชื้น

3. ลองใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสูตรน้ำ

ทางเลือกหนึ่งเมื่อพูดถึงความชุ่มชื้น อยากให้นึกถึงการใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์สูตรน้ำเพราะมีน้ำหนักเบา ความเบาบางของเนื้อครีมทำให้ดูดซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งมอยส์เจอร์ไรเซอร์สูตรน้ำก็มีหลายแบรนด์ให้เลือกใช้ เช่น Cactus Water Moisturizer ของ BOSCIA ที่เคลมว่าเป็นมอยส์เจอร์ไรเซอร์เนื้อบางเบา ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว ให้ผิวที่กระหายน้ำได้รับการเติมความชุ่มชื้น ผลลัพธ์คือผิวที่นุ่ม เรียบเรียน และมีสมดุลอย่างสุขภาพดี

4. ใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์กับผิวที่เปียกหมาด ๆ

มอยส์เจอร์ไรเซอร์จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากทาในขณะที่ผิวยังเปียกหมาด ๆ (ซับผิวให้หมาดหรือพอให้มีความชื้นเล็กน้อย) ซึ่งจะช่วยให้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ซึมเข้าผิวได้ดีกว่าผิวที่แห้งสนิท

7 เคล็ดลับเพื่อผิวชุ่มชื้นขั้นสุด

5. มองหาผลิตภัณฑ์ขั้นกว่า

หากต้องการความชุ่มชื้นที่มากขึ้น ลองมองหาสกินแคร์เพิ่มเข้ามาในขั้นตอนการบำรุงผิว เช่น เซรั่ม (ใช้หลังจากล้างหน้า ทาก่อนใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์) เช่นตัว Vitamin Nectar Glow Juice Antioxidant Face Serum ของ FRESH ที่มีเนื้อสัมผัสแบบ water-oil มอบความชุ่มชื้น แต่บางเบาไม่เหนียวเหนอะหนะ และไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน

6. ปรนนิบัติผิวด้วยชีตมาส์ก

ชีตมาส์ก ทำให้เรื่องความชุ่มชื้นในผิวเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น เพราะไม่เพียงแค่เป็นการปรนนิบัติผิวให้ดูสุขภาพดีแล้ว ยังช่วยให้ผิวกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้อย่างยาวนาน ซึ่งวิธีนี้จะใช้ได้ผลก็ต่อเมื่อเลือกใช้สูตรที่ถูกต้อง ลองมาส์กหน้าด้วย Luminous Dewy Skin Mask ของ TATCHA ชีตมาส์กที่มีน้ำมันจากพืช เพื่อเติมความชุ่มชื้นแก่ผิวหน้าถึงขีดสุด เผยผิวโกล์วฉ่ำวาว หรือทำมาส์กหน้าเองด้วย 5 สูตรเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว

7. ฉีดสเปรย์น้ำแร่ระหว่างวัน

ในช่วงเวลาที่ผิวต้องการเติมความชุ่มชื้นระหว่างวัน ลองฉีดสเปรย์น้ำแร่ ตัว Facial Spray With Aloe Herbs & Rose ของ MARIO BADESCU ซึ่งจะช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้าได้ ไม่ว่าจะในออฟฟิศหรือบนเครื่องบินหรือที่ที่มีอากาศหนาวเย็น โดยไม่ลบเลือนเมคอัพ พร้อมรับกับความสดชื่นในตอนกลางวันได้เป็นอย่างดี

การดูแลผิวลอกเป็นขุยอย่างเหมาะสม จะช่วยฟื้นฟูผิวและป้องกันการเกิดผิวลอกได้ และนอกจากการดูแลตัวเองจากภายนอกแล้ว ภายในก็สำคัญไม่แพ้กัน อย่าลืมเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิวหน้า เช่น ผักและผลไม้ที่เป็นต้นกำเนิดของวิตามินซีและแอนติออกซิแดนท์ ออกกำลังกายเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ดื่มน้ำให้มาก ๆ เพราะน้ำมีส่วนช่วยในการชะลอการเกิดผิวลอกเป็นขุย  นอนหลับให้เพียงพอ รวมถึงปรับปรุงสุขภาพจิตและลดความเครียด จะสามารถช่วยช่วยลดการลอกเป็นขุยของผิวหน้าได้


อ้างอิง

skin

คนเกาหลีดูแลผิวยังไง นี่คือ 5 ขั้นตอนที่ใช้ดูแลผิวในตอนเช้า

July 9, 2021
คนเกาหลีดูแลผิวยังไง นี่คือ 5 ขั้นตอนที่ใช้ดูแลผิวในตอนเช้า

คนเกาหลีเป็นคนที่ใส่ใจและให้ความสำคัญกับการดูแลผิวหน้าอย่างมาก เนื่องจากผิวหน้าเป็นส่วนที่สำคัญของความงาม ดังนั้นการดูแลผิวหน้าจึงเป็นสิ่งที่พวกเขาใส่ใจอย่างมาก อีกทั้งในตอนเช้ายังเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการบำรุงผิวหน้า เพราะผิวหน้ายังไม่ได้ถูกแดดและมลภาวะทำลาย ลองมาดูกันดีกว่าว่า คนเกาหลีดูแลผิวยังไง ?

5 สเต็ปสกินแคร์รูทีนในตอนเช้า

หลายคนอาจจะสงสัยว่า คนเกาหลีดูแลผิวยังไง ? ซึ่งกิจวัตรการดูแลผิวของสาวเกาหลีนั้นถือได้ว่าเข้มข้นมาก ซึ่งบางครั้งอาจมีมากกว่า 10 ขั้นตอน แต่ในช่วงเช้ามักเป็นชั่วโมงที่เร่งรีบของทุกคน จริง ๆ แล้ว เราสามารถปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์และขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้เหมาะกับสภาพผิวและวิถีชีวิตของแต่ละคนได้ ด้วยปัจจัยการใช้ชีวิตที่แตกต่างไม่จำเป็นต้องทำครบทุกขั้นตอน อย่างไรก็ตามเราขอแนะนำ 5 กิจวัตรการดูแลผิวในตอนเช้าของคนเกาหลี ที่เป็นประโยชน์ต่อทุกคน โดยสามารถใช้สกินแคร์ที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น อาจะมีคำแนะนำเล็ก ๆ น้อย ๆ ในส่วนของประโยชน์ในแต่ละผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อผิวเพิ่มเติม

คนเกาหลีดูแลผิวยังไง นี่คือ 5 ขั้นตอนที่ใช้ดูแลผิวในตอนเช้า

ขั้นตอนที่ 1: ทำความสะอาดผิวหน้าทั้ง 2 ครั้ง ด้วยผลิตภัณฑ์ 2 ชนิด (Double Cleansing)

การทำความสะอาดสองครั้งเป็นหัวใจสำคัญของกิจวัตรการดูแลผิวของเกาหลี เพราะตลอดทั้งคืนผิวของคุณก็สามารถสะสมสิ่งสกปรก เช่น สิ่งสกปรกและน้ำมันได้ การล้างหน้าในตอนเช้าจะช่วยขจัดสิ่งสกปรกเหล่านี้ เริ่มแรกให้ล้างหน้าทำความสะอาดผิวหน้า ด้วยเทคนิค Double Cleansing สาวเกาหลีจะใช้วิธีล้างหน้า 2 รอบ

เริ่มจากการใช้คลีนซิ่งแบบออยล์และตามด้วยคลีนซิ่งแบบโฟมเพื่อล้างหน้าอีกครั้ง สาเหตุที่ต้องล้างหน้าสองรอบด้วยผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกัน ก็เพราะคลีนซิ่งแบบออยล์จะช่วยลบเมคอัพที่ล้างออกยากได้อย่างหมดจด ซึ่งเครื่องสำอางบางตัวอาจเป็น waterproof การล้างหน้าด้วยโฟมล้างหน้าเพียงอย่างเดียวอาจทำความสะอาดได้ไม่มากพอ ส่วนคลีนซิ่งแบบโฟมจะช่วยล้างเอาคราบเหงื่อ สิ่งสกปรก และความมันออกจากผิว จึงช่วยทำความสะอาดผิวได้อย่างล้ำลึก ลดโอกาสที่จะเกิดสิวขึ้นใหม่ได้อีกด้วย

ขั้นตอนที่ 2: โทนเนอร์ (Toner)

การใช้โทนเนอร์หลังล้างหน้าจะช่วยปรับสมดุลค่า pH ของผิว เพิ่มความชุ่มชื้น และช่วยให้สกินแคร์ที่คุณต้องการลงในลำดับถัดไปถูกดูดซับเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น ผลิตภัณฑ์โทนเนอร์แบรนด์เกาหลีส่วนใหญ่ มักจะมีส่วนผสมสำคัญอย่าง AHA, BHA หรือ สารสกัดจากธรรมชาติ ที่มีคุณสมบัติช่วยต่อต้านริ้วรอย ความเหี่ยวย่น และลดการเกิดสิว โดยวิธีการใช้โทนเนอร์ก็มีหลากหลายสามารถทำได้ทั้ง เทโทนเนอร์ใส่สำลีแผ่นแล้วเช็ดผิวเบา ๆ หรือเทโทนเนอร์ใส่ฝ่ามือแล้วค่อย ๆ กดไปจนทั่วใบหน้า

ขั้นตอนที่ 3: เอสเซนส์  (Essence)

หลังจากใช้โทนเนอร์ปรับสมดุลผิวเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเติมความฉ่ำน้ำให้ผิวขั้นสุด ด้วยการตบ Essence หนึ่งในเคล็ดลับที่สาวเกาหลีมีผิวดี คือการใช้สกินแคร์หลายตัวที่มีความบางเบาแต่หลายเลเยอร์ ไม่ใช่การทาครีมเนื้อหนาแบบตัวเดียวจบ

ความต่างระหว่างโทนเนอร์และเอสเซนส์ คือ เอสเซนส์จะมีความบางเบากว่าโทนเนอร์ มีลักษณะเนื้อสัมผัสเป็นน้ำคล้ายเจล ซึบซาบเข้าสู่ผิวได้ง่ายและรวดเร็ว เอสเซนส์มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่ผิว ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ผิวดูดซึมมอยเจอร์ไรเซอร์ และครีมบำรุงอื่น ๆ ได้ดีขึ้น นอกจากจะให้ความชุ่มชื้นที่เหมาะสมในช่วงเช้าแล้ว ยังช่วยลดการผลิตซีบัมของต่อมไขมันได้ตลอดวัน

ขั้นตอนที่ 4: มอยส์เจอร์ไรเซอร์ (Moisturizer)

เป็นไปได้ว่าขั้นตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการดูแลผิวตอนเช้าอยู่แล้ว เพียงแค่เลือกสกินแคร์ให้เหมาะสมกับผิวเพิ่มเติม เช่น หากคุณมีผิวมัน ให้หลีกเลี่ยงมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมน้ำมันแร่และซิลิโคน เลือกที่เป็นเนื้อเจลแทนที่จะเป็นครีมที่มีความเข้มข้นเกินไป มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะสมจะไม่ทำให้ผิวของรู้สึกมันหรือเหนียว ควรรู้สึกเหมือนมีเกราะป้องกันบนผิวเพื่อให้กันแดดและเมคอัพติดทนนานยิ่งขึ้น และอีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจของสาวเกาหลีก็คือการมาส์กหน้า ลองมาดู 5 สูตรมาร์กหน้าเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว

ขั้นตอนที่ 5: ครีมกันแดด (Sunscreen)

จะไม่มีประโยชน์เลยหากคุณทำทุกขั้นตอนข้างต้น แต่ไม่ได้ปกป้องผิวจากการถูกทำร้ายด้วยรังสียูวีเอและรังสียูวีบี ด้วยครีมกันแดดดี ๆ สักตัว แน่นอนว่าต้องทาทุกวันแม้จะเป็นวันที่ดูเหมือนว่าจะมีเมฆมากก็ตาม เพราะรังสียูวีสามารถเล็ดลอดเข้าไปสัมผัสกับผิวหนังได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะคุณจะอยู่ที่บ้าน, วันที่ไม่มีแดด หรือแม้แต่การสวมใส่เสื้อผ้าอยู่ก็ตาม แนะนำกันแดดสำหรับคนเป็นสิวหรือผิวแพ้ง่าย

โดยรวมแล้ว การบำรุงและดูแลผิวในตอนเช้าสามารถช่วยรักษาสุขภาพผิว คงความอ่อนเยาว์ และปกป้องผิวของคุณจากความเสียหายที่เกิดจากปัจจัยแวดล้อม เช่น รังสียูวีและมลภาวะต่าง ๆ ได้


ลองใช้เครื่องสำอางเกาหลีดีไหม?

คนเกาหลีดูแลผิวยังไง 5 สเต็ปสกินแคร์รูทีนในตอนเช้า

เครื่องสำอางเกาหลีเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องส่วนผสมคุณภาพสูง สูตรเฉพาะ และบรรจุภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ มาลองอะไรใหม่ ๆ เพื่อผิวบ้างดีไหม? นี่เป็น 5 เหตุผลที่คุณควรลองเครื่องสำอางเกาหลี เพื่อนำมาปรับใช้เป็นสกินแคร์รูทีนในตอนเช้า

1. นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ – เนื่องจากสาวเกาหลีมีความต้องการและดูแลผิวอย่างเข้มข้น บริษัทด้านความงามต่าง ๆ จึงมีการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างสูตรที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใครอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของสาวเกาหลี

2. ส่วนผสมจากธรรมชาติ – สกินแคร์เกาหลีนิยมใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติมากกว่าการใช้สารเคมีที่รุนแรงและเป็นอันตราย มีความละเอียดอ่อนที่ให้ความรู้สึกเบาสบายแก่ผิว ตั้งแต่การใช้น้ำผึ้ง แตงกวา ไปจนถึงส่วนผสมที่แปลกใหม่ เช่น โสม เมือกหอยทาก เป็นต้น

3. คุณภาพและประสิทธิภาพ – เนื่องจากสาว ๆ ในเกาหลีมีมาตรฐานที่ค่อนข้างสูงในการซื้อและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง บริษัทด้านความงามจึงถูกให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้ ด้วยการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพด้วยส่วนผสมที่มีคุณภาพสูง 

4. บรรจุภัณฑ์ดึงดูดความสนใจ – แบรนด์เกาหลีให้ความสำคัญกับบรรจุภัณฑ์เป็นอย่างมาก สังเกตได้จากคอลเลกชันเครื่องสำอางของ innisfree หรือ etude เครื่องสำอางเกาหลีมักจะบรรจุในบรรจุภัณฑ์ที่สวยงามและน่ารัก แน่นอนว่าคุณจะหลงรักและพร้อมเสียเงินในทันที มีตั้งแต่ลิปกลอสแสนน่ารักที่เป็นรูปไอศกรีม ไปจนถึงแฮนด์ครีมให้ความชุ่มชื้นรูปพีช 

5. ผลิตภัณฑ์มีราคาไม่แพง – ความต้องการส่งผลให้เกิดการแข่งขันระหว่างบริษัทความงามในเกาหลีเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า มีการแข่งขันกันระหว่างแบรนด์ความงามอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนำไปสู่การผลิตผลิตภัณฑ์ที่คุณภาพสูง ที่ตามมาด้วยราคาไม่แพงอย่างที่คิด

อย่างไรก็ตาม เครื่องสำอางเกาหลีมีประโยชน์มากมายสำหรับผู้ที่ต้องการหาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ มาบำรุงผิว แต่สิ่งสำคัญคือต้องทำการศึกษาผลิตภัณฑ์และส่วนผสมอย่างรอบคอบ เพื่อให้แน่ใจว่าเหมาะกับประเภทผิวของคุณด้วย สนใจอ่านบทความเพิ่มเติม เลือกใช้สกินแคร์อย่างไรให้เหมาะกับสภาพผิว


อ้างอิง

skin

ผิวขาดความชุ่มชื้น แห้งกร้าน? ให้มองหาสกินแคร์ที่มีส่วนผสมเหล่านี้

July 8, 2021
ผิวขาดความชุ่มชื้น แห้งกร้าน? ให้มองหาสกินแคร์ที่มีส่วนผสมเหล่านี้

ผิวขาดความชุ่มชื้น มักจะดูแห้งขึ้น หยาบและไม่มีความสดชื่น ดังนั้นการดูแลและบำรุงผิวหน้าเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งลักษณะของ ผิวที่สูญเสียความชุ่มชื้น เป็นภาวะผิวขาดความชุ่มชื้น หรือขาดน้ำไปหล่อเลี้ยงเซลล์ผิวใต้ชั้นผิวหนังจึงทำให้ผิวแห้งกร้านไม่เรียบเนียน สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกสภาพผิว สังเกตเห็นได้ชัดในคนที่มีผิวผสม ผิวมัน หรือ เวลาที่ผิวต้องเจอกับสภาพอากาศที่เย็นจัดหรือร้อนจัด แม้ว่าร่างกายจะผลิตไขมันออกมาจากรูขุมขนตามปกติ แต่ผิวก็ยังคงจะมีอาการแห้ง ลอก เป็นขุย ในบางคนมีอาการคันร่วมด้วยคล้ายกับลักษณะของคนผิวแห้ง ซึ่งสามารถดูแลและบำรุงผิวให้กลับมามีสุขภาพดีได้ด้วยการเติมน้ำ และความชุ่มชื้นในชั้นผิวอย่างล้ำลึกด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์


เลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์ให้เหมาะกับผิว

ลักษณะ ผิวขาดความชุ่มชื้น

เมื่อ ผิวขาดความชุ่มชื้น การเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวหน้าถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ผิวกลับมามีสุขภาพดี ในส่วนของการเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ให้เหมาะสมกับสภาพผิวนั้น ขอแยกตามประเภทของผิวหน้าไว้ดังนี้

  • ผิวธรรมดา (Normal Skin)
  • ผิวมัน (Oily Skin)
  • ผิวแห้ง (Dry Skin)
  • ผิวผสม (Combination Skin)

ผิวธรรมดา (Normal Skin): ลักษณะผิวที่มีความสมดุล ไม่แห้งตึงหรือมันจนเกินไป มีรูขุมขนขนาดเล็ก สามารถใช้มอยส์เจอไรเซอร์แบบน้ำ (Water-based moisturizer) อาจอยู่ในรูปแบบโลชั่น เพราะช่วยให้แห้งเร็ว เบาสบายผิว ไม่รู้สึกเหนียวเหนอะหนะ หากใครที่ต้องการความชุ่มชื้นมาก ๆ สามารถเลือกใช้เป็นแบบน้ำมัน (Oil-based moisturizer) แต่เวลาที่ใช้อาจปรับตามสภาพอากาศ เช่น ถ้าอยู่ในประเทศที่มีอากาศเย็นหรือหนาว สามารถใช้ได้ทั้ง 2 เวลา เช้าและเย็น แต่หากอยู่ในประเทศที่อากาศร้อน เพื่อไม่ให้เกิดความเหนียวเหนอะหนะระหว่างวัน แนะนำให้ทาช่วงก่อนนอนจะดีที่สุด

ผิวมัน (Oily Skin): ลักษณะผิวจะมันวาว รูขุมขนกว้าง มีสิวอุดตันง่าย เนื่องจากมีการผลิตน้ำมันส่วนเกินออกมามากกว่าปกติ แม้ว่าผิวจะมันแต่มอยเจอร์ไรเซอร์ก็ยังจำเป็นต่อผู้ที่มีผิวประเภทนี้เช่นกัน แนะนำให้ใช้จะเป็นแบบฐานน้ำ (Water-based moisturizer) ที่อาจอยู่ในรูปแบบโลชั่นเหลว ซึ่งเมื่อเทียบกับครีมโลชั่นจะมีน้ำเป็นองค์ประกอบหลัก ข้อดีคือช่วยลดอัตราการเกิดสิวใหม่บนใบหน้า อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีผิวหน้ามันควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบเป็นสารที่เป็นน้ำมัน เช่น น้ำมันมะพร้าว โกโก้บัตเตอร์ (Cacao butter) หรือ ปิโตรเลียมเจลลี่ (Petroleum jelly) หากคุณกำลังประสบปัญหานี้ อาจสนใจ วิธีทำให้รูขุมขนกว้างกระชับขึ้น

ผิวแห้ง (Dry Skin): ลักษณะผิวจะค่อนข้างแห้ง ขาดน้ำ และขาดความกระจ่างใส เป็นผิวที่ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์เพื่อรักษาความชุ่มชื้นบนใบหน้าอย่างสม่ำเสมอ แนะนำว่าให้ใช้มอยส์เจอไรเซอร์แบบน้ำมัน (Oil-based moisturizer) น้ำมันจะทำการเคลือบผิวไม่ให้ความชื้นจากผิวระเหยออกไปได้ ในกรณีที่มีผิวแห้งมากเป็นพิเศษ อาจใช้ผลิตภัณฑ์เนื้อขี้ผึ้ง ซึ่งมีความสามารถในการคลือบผิว ทำให้ลดการระเหยของน้ำได้มากกว่าผลิตภัณฑ์ชนิดโลชั่นหรือครีม แต่ข้อจำกัดของผลิตภัณฑ์เนื้อขี้ผึ้งคือ จะก่อให้เกิดความมันบนผิว อาจทำให้ไม่สะดวกหากทาตอนกลางวัน จึงแนะนำให้ทาตอนก่อนนอน

ผิวผสม (Combination Skin): ลักษณะผิวจะแห้ง และมีความมันในเวลาเดียวกันแต่บางบริเวณ เช่น หน้าผาก จมูก คาง รูขุมขนช่วง T-Zone จะกว้างเป็นพิเศษ อาจเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีความหนืดเเละให้ความชุ่มชื้นปานกลาง เป็นเนื้อโลชั่นกึ่งครีม ด้วยความที่ผิวมีสภาพทั้งผิวแห้งและผิวมัน อาจต้องให้การดูแลที่แตกต่างกันในแต่ละจุด หรือ เลือกใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละส่วน เช่น ส่วนที่แห้ง ใช้มอยส์เจอไรเซอร์สำหรับคนผิวแห้ง และส่วนที่มัน ให้ใช้มอยส์เจอไรเซอร์สำหรับคนผิวมัน ขอแนะนำ สูตรมาร์กหน้าเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว


ล็อกความชุ่มชื้นให้ผิวด้วยส่วนผสมเหล่านี้

เลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ให้เหมาะกับผิว

การดูแลผิวหน้าที่ขาดความชุ่มชื้นเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ผิวหน้าดูสดใสและไม่แห้งขึ้น ดังนั้น มีวิธีการดูแลผิวหน้าที่ขาดความชุ่มชื้นด้วยการเลือกสกินแคร์ที่มีส่วนผสมเหล่านี้ ได้แก่

  • Humectant – สารดูดความชื้น

เป็นสารดึงน้ำหรือสารที่ดูดความชุ่มชื้นจากชั้นหนังแท้มาสู่ชั้นหนังกำพร้า อธิบายง่าย ๆ ถ้าอากาศมีความชื้นมากพอจะดึงน้ำจากอากาศเข้าสู่ผิวได้ สารที่พบบ่อย เช่น Sodium hyaluronate, Collagen, Glycerin, Sorbitol, Propylene Glycerol, Urea, Hyaluronic Acid ฯลฯ แต่ถ้าอยู่ในสภาวะที่มีอากาศหนาวจนแห้ง อาจทำให้เกิดการดึงน้ำเข้าสู่ผิวได้น้อยลง ใครที่ผิวขาดความชุ่มชื้น ควรมองหาตัวช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นอย่างอื่นทดแทนด้วย

  • Occlusives – สารกักเก็บน้ำในผิว

สารที่ลดการระเหยของน้ำออก​จากผิว ช่วยให้ผิวไม่ขาดน้ำ ทำหน้าที่เคลือบผิวกันน้ำระเหยออกจากผิวปิดกั้นไม่ให้น้ำซึมผ่าน ผิวชั้นบนสุดจึงได้ความชุ่มชื้นจากชั้นหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้ มักจะมาในรูปแบบของออยล์หรือบาล์ม เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีผิวแห้งมาก ซึ่งสารที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด คือ Petrolatum สามารถลดการระเหยของน้ำออกจากผิวได้ถึง 99% แต่ก็มีข้อเสีย คือ ทำให้รู้สึกหนักหน้าเมื่อทาครีม หากผิวของคุณลอกเป็นขุย แนะนำ 7 วิธีในการดูแลผิวให้ชุ่มชื้นขึ้น

  • Emollient – สารทำให้ผิวเนียนนุ่ม

เป็นสารที่ช่วยปลอบประโลมผิวให้ดูเรียบเนียน ทำให้ผิวที่แห้ง หยาบกร้าน เป็นขุย นั้นอ่อนนุ่มขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าประสิทธิภาพไม่ดีเท่าสารกลุ่มอื่น เพราะบางครั้งอาจมีการผสมของพาราฟิน ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ได้จากกระบวนการกลั่นน้ำมันดิบ เป็นสารที่ช่วยให้ไฟติดได้และถ้าสะสมในผิวมาก ๆ จะเกิดการระคายเคืองได้ ฉะนั้น ผิวแพ้ง่ายและบอบบางควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ สารที่ใช้บ่อย ได้แก่ Cyclomethicone, Dimethicone Copolyol, Glyceryl Sterates ฯลฯ

การเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสมกับสภาพผิวของตนเองจะช่วยบำรุงผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึง การดื่มน้ำให้เพียงพอจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า การใช้ผลิตภัณฑ์สารสกัดจากธรรมชาติ หรือการออกกำลังกายก็ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลืองในร่างกาย ทำให้เกิดการเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้าได้เช่นกัน ที่สำคัญอย่าลืมหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และสารเคมีต่าง ๆ ซึ่งอาจทำให้ผิวหน้าขาดความชุ่มชื้นและมีอาการแห้งได้


อ้างอิง

skin

ผิวไหม้แดด บรรเทาอาการผิวถูกแดดเผาอย่างเร่งด่วน ด้วย 8 วิธี

July 8, 2021
ผิวไหม้แดด บรรเทาอาการผิวถูกแดดเผาอย่างเร่งด่วน ด้วย 8 วิธี

ปัญหา ผิวไหม้แดด

ผิวไหม้แดด เป็นอีกหนึ่งปัญหาผิวที่พบได้บ่อยและยากที่จะหลีกเลี่ยง รังสี UV สามารถทำลายโมเลกุลที่สำคัญและสร้างความเสียหายให้กับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เมื่อผิวสัมผัสกับรังสียูวี เม็ดสีผิวหรือที่เรียกว่าเมลานิน จะทำหน้าที่ปกป้อง DNA ของเซลล์ผิวไม่ให้ถูกทำลาย การผลิตเมลานินจะเร็วขึ้น นั่นเป็นสาเหตุที่ผิวของคุณเปลี่ยนไปเป็นสีแทนเมื่ออยู่กลางแดดไปได้สักพัก น่าเสียดายที่การเมลานินไม่สามารถป้องกันรังสียูวีได้ทุกชนิด และรังสีบางชนิดสามารถเล็ดลอดผ่านเข้ามาบนผิว และสร้างความเสียหายให้กับเซลล์ผิวได้ ทำให้มีการกระตุ้นการผลิตอนุมูลอิสระที่เพิ่มมากขึ้น

การถูกแดดเผาเป็นคำที่ใช้เรียกผิวที่แดง บางครั้งอาจบวมและเจ็บปวด ซึ่งเกิดจากการได้รับรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จากแสงแดดนานเกินไป หรืออยู่ท่ามกลางแดดจัดเป็นเวลานานกว่า 15 นาที โดยไม่ได้รับการปกป้อง หรือตากแดดเป็นเวลายาวนานโดยไม่ทาครีมกันแดดซ้ำ ส่งผลให้เกิดอาการแสบร้อน คัน แดงที่ผิวหนัง มีอาการระคายเคือง เกิดเป็นตุ่มใส และทำให้ผิวหมองคล้ำอย่างเห็นได้ชัด

ความรุนแรงของอาการผิวไหม้

ปัญหา ผิวไหม้แดด

โดยสามารถแบ่งระดับความรุนแรงของอาการ ผิวไหม้แดด ได้ 3 ระดับ คือ

การถูกแดดเผาระดับแรก : อาการของผิวที่ถูกแดดเผาระดับแรก จะมีสีแดงและเจ็บปวดเพียงเล็กน้อย ผิวจะค่อย ๆ ลอก เนื่องจากการผลัดของเซลล์ผิวหนัง เป็นการทำลายผิวหนังชั้นนอกและจะหายเองภายใน 2-3 วัน หลังจากนั้นอาการจะดีขึ้นตามลำดับ

การถูกแดดเผาระดับที่สอง : อาการของผิวไหม้แดดระดับที่สอง จะรู้สึกแสบคัน ผิวแดง บวม และรู้สึกเจ็บปวดเมื่อสัมผัสผิวบริเวณที่ถูกแดดเผา การถูกแดดเผาในระดับนี้อาจสร้างความรุนแรงทะลุผ่านผิวจากหนังกำพร้าลงไปจนถึงชั้นหนังแท้ ทำให้ชั้นใต้ผิวหนังเกิดความเสียหาย อาจต้องใช้ระยะเวลา 5-7 วัน ในการเฝ้าระวังและฟื้นบำรุงเพื่อให้ผิวกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

การถูกแดดเผาระดับรุนแรง : อาการของผิวไหม้แดดระดับสุดท้ายที่ถือว่ารุนแรงที่สุด จะมีอาการปวดแสบปวดร้อนที่ผิวหนังมากกว่าปกติ มีอาการแดง คัน และมีตุ่มน้ำใส ๆ ควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำและแนวทางการดูแลรักษาผิวไหม้แดดอย่างถูกวิธี อาจใช้เวลามากกว่า 2 สัปดาห์ ในการฟื้นบำรุงผิวไหม้แดดและหมองคล้ำ

การถูกแดดเผาเป็นคำที่ใช้เรียกผิวที่แดง บางครั้งอาจบวมและเจ็บปวด ซึ่งเกิดจากการได้รับรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จากแสงแดดมากเกินไป การถูกแดดเผาอาจแตกต่างกันตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง ด้วยสภาพแวดล้อมและแสงแดดที่แรงจัดที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในบางเวลา ส่งผลให้ผู้ที่ต้องเผชิญกับแสงแดดเป็นระยะเวลานานเกิดปัญหาผิวไหม้แดดหรือผิวคล้ำเสียสะสมขึ้น หากแต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วเราจะมีวิธีการดูแลและฟื้นบำรุงผิวในขั้นต้นด้วยตัวเองง่าย ๆ ได้อย่างไรบ้าง นอกจากนี้กันแดดอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ แนะนำ 3 ตัวช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV


รักษาผิวไหม้แดดแบบเร่งด่วน

ไม่ว่าผิวที่ถูกทำร้ายจากแดดของคุณจะอยู่ในระดับใด คุณจำเป็นต้องมีวิธีการบรรเทาความเจ็บปวดที่ง่ายและรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาว่าอาการผิวไหม้จากแดดสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ระหว่าง 2 -3 หรืออาการอาจลากยาวนานไปจนถึงหลายสัปดาห์ ซึ่งเราต้องบอกคุณตรง ๆ ว่า ไม่มีวิธีแก้ผิวไหม้จากแดดให้หายในชั่วข้ามคืน! มีเพียงบางวิธีที่คุณสามารถทำได้เพื่อบรรเทาอาการอย่างรวดเร็ว โดยต้องเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ที่คืนความชุ่มชื้นให้กับผิว เช่น โลชั่นและครีม

รักษาผิวไหม้แดดแบบเร่งด่วน 

  • การบรรเทาอาการปวด – การบรรเทาอาการปวดที่ไม่ต้องสั่งโดยแพทย์ เช่น ไอบูโพรเฟน หรือยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดและลดอาการบวมได้
  • ปรับอุณหภูมิในร่างกาย – ใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ หรือผ้าขนหนู หรืออาบน้ำเย็นเพื่อลดความร้อนในร่างกาย โดยหลีกเลี่ยงการใช้สบู่ในบริเวณที่ถูกแดดเผา
  • ดื่มน้ำปริมาณมาก – เพื่อปรับอุณภูมิผิวหลังโดนแดด แต่ถ้าไม่สามารถดื่มได้อย่างรวดเร็ว ให้ทานของว่างในผักและผลไม้ที่ให้ความชุ่มชื้น เช่น แตงโม แตงกวา สตรอเบอร์รี่ มะเขือเทศ เกรปฟรุต และแคนตาลูป ซึ่งทั้งหมดนี้มีน้ำเป็นส่วนประกอบมากกว่า 90%
  • ใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ – เพิ่มความชุ่มชื้นและสมานแผลให้กับผิว เช่น ครีมที่ช่วยให้ผิวกระตุ้นสร้างมอยส์เจอร์ไรเซอร์ในชั้นผิวได้เอง มองหาผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ สี และน้ำหอมที่อาจระคายเคืองต่อผิวหนังได้อีก หรือ ใช้ว่านหางจระเข้ เพื่อสมานแผลได้จากต้นแบบสด ๆ หากผิวขาดความชุ่มชื้นแห้งกร้าน คุณอาจต้องมองหา สกินแคร์ที่มีส่วนผสมเหล่านี้
  • ถุงผักแช่แข็ง – หากจำเป็นจริง ๆ คุณสามารถเอาถุงถั่วแช่แข็งที่อยู่ในตู้เย็นมาใช้ประคบเย็นได้ เพื่อที่จะไม่ให้น้ำแข็งสัมผัสกับผิวหนังโดยตรง อย่าลืมห่อด้วยผ้าขนหนูก่อนนำไปใช้งาน
  • ใช้สมุนไพรที่บรรเทาอาการผิวไหม้ – มีสมุนไพรบางชนิดที่ช่วยบรรเทาอาการผิวไหม้ได้ เช่น กล้วยหอมที่ถูกบดละเอียดแล้วนำมาทาให้ทั่วผิวหนัง เพราะกล้วยหอมเป็นต้นไม้ที่มีสรรพคุณในการลดอาการอักเสบและบรรเทาอาการผิวไหม้ หรือเนื้อของว่านหางจระเข้
  • อย่าแกะหรือเกาแผล – หากผิวของคุณได้รับการแดดเผาหรือไหม้แดด เกาะผิวแผลอย่างเด็ดขาด เพราะอาจทำให้ลุกลามมากกว่าเดิม
  • เลือกผลิตภัณฑ์ทาผิวด้วยความระมัดระวัง – ควรป้องกันการโดนแดด โดยใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่า SPF สูงและทาให้ครอบคลุมบริเวณที่ถูกแดด เช่น ใบหน้า แขน ขา ลำคอ และเท้า เพื่อป้องกันการเผาหรือไหม้ ขอแนะนำ ผลิตภัณฑ์กันแดดสําหรับคนเป็นสิว

หากแผลไหม้บางส่วนนั้นรุนแรงเกินกว่าจะรักษาที่บ้านได้ มีอาการคลื่นไส้ หนาวสั่น มีไข้ หน้ามืด พุพองเป็นวงกว้าง รู้สึกอ่อนแรง  มีอาการคันรุนแรง หรือหากแผลไหม้นั้นดูเหมือนจะลามออกไป นั่นหมายความว่าอาจมีการติดเชื้อได้ ให้รีบปรึกษาแพทย์โดยเร็วที่สุด


อ้างอิง

skin

ขัดผิวขาว ด้วยสครับแบบไหนดี : พร้อมให้คำแนะนำ & ประโยชน์

July 8, 2021
ขัดผิวขาว ด้วยสครับแบบไหนดี

การ ขัดผิวขาว จะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และช่วยให้บริเวณผิวหยาบกร้าน หรือเป็นรอยแดง รอยดำ ดีขึ้นได้ ซึ่งสามารถเลือกทำได้สักสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ซึ่งการใช้สครับเพื่อดูแลผิวนั้นแนะนำให้เลือกสครับที่มีส่วนผสมธรรมชาติและไม่มีสารเคมีที่อาจทำให้เกิดผิวแพ้ง่าย เช่น สครับที่มีสารสกัดจากพืชอย่าง แตงกวา มะเขือเทศ น้ำมันมะกอก น้ำมันมะพร้าว หรือมีส่วนผสมของวิตามินซี วิตามินอีเพื่อช่วยเสริมสร้างความกระจ่างใสและผิวขาวใส เป็นต้น นอกจากนี้ การดูแลผิวอย่างเหมาะสม รวมถึงการใช้ครีมกันแดด และเลือกทานอาหารที่มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อผิวยังช่วยบำรุงให้ผิวสวยสุขภาพดีได้ด้วย

การสครับผิวเพื่อผิวขาว

การสครับผิว เป็นการทรีตเมนต์ร่างกายเพื่อผลัดเซลล์ผิวที่ตายไปแล้วให้กลับมาเนียนนุ่ม และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว การขัดผิวโดยทั่วไปมาจากการผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำตาลหรือเกลือเป็นส่วนผสมหลัก แม้ว่าสครับบางสูตรจะสามารถ DIY ทำเองได้ง่าย ๆ ที่บ้าน แต่ขนาดของเกลือและน้ำตาลที่หยาบอาจทำให้บาดผิวได้ ต่างจากสครับคุณภาพสูงที่มีส่วนผสมที่ทำให้ผิวขาวตามธรรมชาติ ผลที่ได้ก็จะยิ่งดีขึ้นไปอีก หากต้องการ ขัดผิวขาว ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพตามร้าน นอกจากจะช่วยขัดผิวให้ดูโกล์วเหมือนได้ผิวใหม่แล้วยังไม่ทำให้เกิดการเสียดสีหรือบาดผิวได้อีกด้วย และช่วย แก้ปัญหาผิวหมองคล้ำ ให้กลับมาดูสดใสจากภายในสู่ภายนอกได้

เพราะแค่อาบน้ำกับทาครีมอาจยังไม่พอ การขัดผิวเป็นวิธีที่ดีที่จะทำให้ผิวกลับมาดูสดใสและมีสุขภาพดี สครับผิวเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในการผลัดเซลล์ผิว มีผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจมากมายตามห้างสรรพสินค้า หรือหากต้องการประหยัดจะทำสครับร่างกายแบบโฮมเมด โดยใช้ส่วนผสมที่มีอยู่แล้วที่บ้านโดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่มก็ได้เช่นกัน

ร่างกายต้องการการผลัดเซลล์ผิวเพื่อให้มีความนุ่ม เรียบเนียน และมีสุขภาพดี ไม่ต่างจากอะไรจากผิวหน้า หากการดูแลร่างกายในปัจจุบันมีแค่ใยบวบและสบู่ก้อน ถึงเวลาที่ต้องยกระดับการดูแลตัวเองให้มากขึ้นแล้ว และนี่คือข้อมูล & ประโยชน์ของการขัดผิวที่จำเป็นต้องรู้ก่อนจะเริ่ม ขัดผิวขาว


ประโยชน์ของการขัดผิวกาย

ขัดผิวขาว การสครับผิวเพื่อผิวขาว

การขัดผิวด้วยการสครับร่างกายมีประโยชน์หลายอย่างสำหรับผิว ได้แก่

  • ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว – การสครับผิวหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวประเภทอื่น ๆ ด้วยแปรงหรือใยบวบ ช่วยทำให้ผิวของคุณดูสว่างขึ้น เพราะเซลล์ผิวที่ตายถูกขจัดออกไป นอกจากนี้ยังสามารถกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนซึ่งอาจช่วยให้ผิวของคุณกระชับและเปล่งปลั่งมากขึ้น รวมถึงทำให้ ผิวแตกลาย ดีขึ้นได้ด้วย
  • เพิ่มประสิทธิภาพในการทาครีม ครีมจะซึมซาบเข้าสู่ผิวมากกว่า เป็นการบำรุงที่ล้ำลึกและมีประสิทธิภาพมากกว่าการทาแต่ครีมเพียงอย่างเดียว ที่ผ่านมาหากขัดผิวขาวและใช้ครีมเพื่อความขาว แต่ยังไม่เห็นผลลัพธ์ใด ๆ อาจเป็นเพราะครีมที่ทากองอยู่แค่บนผิวก็เป็นได้
  • ผิวเรียบเนียนขึ้นและใสขึ้น – การขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วสามารถช่วยให้ผิวหยาบกร้านเรียบเนียนขึ้น ทำให้รู้สึกนุ่มนวลและเรียบเนียน อีกทั้งยังช่วยเผยสีผิวที่สว่างใสและสม่ำเสมอยิ่งขึ้น
  • ลดรอยแผลเป็นจากสิว – ช่วยลดรอยแผลเป็นจากสิวและรอยด่างดำของผิว แม้ว่าจะไม่ถูกลบออกทั้งหมดแต่ก็จะจางลง สครับช่วยส่งเสริมกระบวนการผลัดผิวตามธรรมชาติ การขัดผิวจะขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพและช่วยให้ผิวฟื้นคืนความอ่อนเยาว์
  • ผ่อนคลาย ลดความกังวล – หากคุณกำลังเหนื่อยหรือรู้สึกเครียด การนวดผิวด้วยการสครับผิวถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ยอดเยี่ยมในการให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลายและรู้สึกสงบขึ้น

สิ่งสำคัญคือต้องใช้เลือกผลิตภัณฑ์ขัดผิวที่อ่อนโยน และหลีกเลี่ยงการขัดผิวมากเกินไป เนื่องจากอาจทำให้ผิวหนังระคายเคือง แห้งกร้าน และเสียหายได้ง่าย รวมถึงอย่าลืมบำรุงและปกป้องผิวจากแสงแดดหลังการขัดผิวด้วย เนื่องจากผิวอาจไวต่อการทำลายของรังสียูวีมากขึ้น


สครับน้ำตาล vs เกลือขัดผิว แบบไหนดีกว่า

สครับน้ำตาล

สครับน้ำตาลเป็นผลิตภัณฑ์ขัดผิวประเภทหนึ่งที่ทำจากน้ำตาลทรายและส่วนผสมอื่น ๆ เช่น น้ำมันหรือน้ำมันหอมระเหย เม็ดน้ำตาลทำงานเพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกจากผิว ในขณะที่น้ำมันช่วยให้ความชุ่มชื้นและบำรุงผิว เม็ดของน้ำตาลมีลักษณะกลมและมีฤทธิ์กัดกร่อนน้อยกว่าเกลือ มีประโยชน์ในการขัดผิวบริเวณที่บอบบาง เช่น ใบหน้า คอ หรือ หน้าอก ช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน แหล่งธรรมชาติของกรดไกลโคลิก ( AHA ) ในน้ำตาลจะทำลายชั้นผิวที่ตายแล้วและทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น

หากใช้สครับที่มีส่วนผสม เช่น มะเขือเทศ ก็จะเพิ่มความกระจ่างใสให้ผิว เพราะ AHA และวิตามินซี ในมะเขือเทศช่วยผลัดเซลล์ผิวได้ หรือ จะเป็นขมิ้นชัน ที่ถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมบ่อย ๆ เพราะเผยให้เห็นผิวที่ขาวผ่องและใสเนียน นอกจากนี้น้ำตาลยังเร่งการคืนความชุ่มชื้น รักษาสภาพผิว และให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว

สครับน้ำตาลสามารถใช้ได้กับส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย รวมถึงใบหน้า ริมฝีปาก และร่างกาย เพื่อช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น เนียนนุ่มขึ้น การขัดผิวด้วยน้ำตาลยังช่วยปรับปรุงลักษณะของแผลเป็น ผิวแตกลาย และความไม่สมบูรณ์ของผิวอื่น ๆ ได้ด้วย สครับน้ำตาลจึงเป็นตัวเลือกยอดฮิตต้น ๆ ในการนำไปสครับผิว

เกลือขัดผิว

เกลือขัดผิว

เกลือขัดผิวเป็นผลิตภัณฑ์ขัดผิวอีกประเภทหนึ่งที่ทำจากผลึกเกลือและส่วนผสมอื่นๆ เช่น น้ำมันหรือน้ำมันหอมระเหย เช่นเดียวกับการขัดผิวด้วยน้ำตาล การขัดผิวด้วยเกลือจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกจากชั้นผิว และส่งเสริมผิวที่สว่างขึ้น เรียบเนียนขึ้น และนุ่มนวลขึ้น

เกลือขัดผิวมักจะมีขนาดที่หยาบกว่าน้ำตาล มีประโยชน์ในการขัดผิวบริเวณที่หยาบกร้าน เช่น เท้า หัวเข่า ข้อศอก หรือร่างกาย หากมีส่วนผสมของธรรชาติ อย่าง มะขาม น้ำผึ้ง ก็สามารถช่วยทำให้ผิวขาวใสและสีผิวสม่ำเสมอได้ และเกลือยังมีคุณสมบัติในการล้างพิษ มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีผิวมันหรือเป็นสิวง่าย เนื่องจากผลึกเกลือสามารถช่วยเปิดรูขุมขนและขจัดน้ำมันส่วนเกินออกจากผิวได้ ช่วยดึงสิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขนลดโอกาสการเกิดสิวชนิดต่าง ๆ ช่วยเติมพลังให้ผิว ส่งเสริมการไหลเวียนของเลือด ทำให้ผิวมีสุขภาพดีที่มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่ควรขัดผิว​แรงเกินไป เพราะอาจเพิ่มโอกาสการเป็นสิว และผิวหนังอาจเกิดการอักเสบได้

หากคุณเลือกใช้สครับจากน้ำตาลหรือเกลือขัดผิว สิ่งสำคัญคือต้องใช้อย่างเบามือและทำไม่เกินหนึ่งหรือสองครั้งต่อสัปดาห์เพื่อลดความเสี่ยงต่อการระคายเคืองและความเสียหายของผิวหนัง และขอแนะนำให้เลือกสครับที่มีส่วนผสมธรรมชาติและไม่มีสารเคมีที่อาจทำให้เกิดผิวแพ้ง่าย และควรทำการขัดผิวอย่างอ่อนโยน หมั่นบำรุงผิวหลังการขัดผิวด้วย เลือกใช้สกินแคร์ให้เหมาะกับสภาพผิว เพื่อลดความเสี่ยงในการทำให้ผิวแห้ง และหมดปัญหาการเกิดผลข้างเคียงได้


อ้างอิง

skin

ผิวแตกลาย ไม่เลเซอร์มีโอกาสหายได้ไหม ทำอย่างไร

July 8, 2021
ผิวแตกลาย ไม่เลเซอร์มีโอกาสหายได้ไหม ทำอย่างไร

ผิวแตกลาย เกิดจาก

ผิวแตกลาย เป็นแผลชนิดหนึ่งที่สังเกตเห็นได้ง่าย เกิดจากการที่ผิวหนังบริเวณนั้น ๆ เกิดการยืดขยายตัวอย่างรวดเร็ว เช่น คุณแม่หลังคลอด, ผู้ที่กำลังอยู่ในช่วงควบคุมน้ำหนัก มีการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักไวเกินไป, การเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน, ผู้ที่เล่นกล้าม, ผิวแห้ง, การใช้สเตรียรอยด์ ฯลฯ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้มีการฉีกขาดของผิวหนังแท้และเป็นรอยแตกออกมา รอยแตกของผิวนี้มักเกิดในบริเวณที่มีไขมันสะสมอยู่มาก เช่น ต้นแขน หน้าอก หน้าท้อง ต้นขา สะโพก และน่อง อาการเริ่มแรกของผิวแตกลายนั้น ผิวหนังมักจะเป็นเส้นสีแดงหรือม่วง หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ดูแลรักษา จะมีสีอ่อนลงเรื่อย ๆ จนกลายเป็นสีขาวขุ่น 

ลักษณะของรอยแตกลาย

ผิวแตกลาย เกิดจาก

การดูแลผิวเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับหลาย ๆ คน แต่บางครั้งผิวอาจจะแตกลายได้ ซึ่งสาเหตุอาจมาจากหลายสิ่ง เช่น อากาศที่แห้งแล้ง การอาบน้ำร้อนเกินไป การใช้สบู่หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่ไม่เหมาะสม ปัจจัยอื่น ๆ หรืออาจเป็นเพราะสภาพอากาศต่าง ๆ ที่ผิวไม่ชอบ เช่น อากาศหนาวจัด หรืออากาศที่มีความชื้นสูง มาดู 5 ขั้นตอนที่คนเกาหลีใช้ดูแลผิวในตอนเช้า กัน

รอยแตกลายบนผิวหนังมักจะมีลักษณะเป็นร่องหรือเป็นลายเส้นขนาน มีความสัมพันธ์กับคำว่า Striae ที่แปลว่า ร่องหรือลายเส้นขนาน อาการเริ่มแรกของผิวแตกลาย คือผิวหนังจะเกิดรอยเป็นเส้นสีแดงหรือม่วง จากนั้นจะมีสีอ่อนลงเรื่อย ๆ จนกลายเป็นสีขาวขุ่น ผิวแตกลายอาจเรียกอย่างจำเพาะเจาะจงตามลักษณะอาการที่ปรากฏ อาทิ

 

  • Striae rubra: มีลักษณะเป็นลายเส้นขนานสีแดง เป็นรอยแตกลายที่พบได้ในระยะแรก
  • Striae distensae: มีลักษณะเป็นลายเส้นขนานจากการยืด อาจเป็นสีชมพูหรือสีม่วง
  • Striae atrophicans: มีลักษณะเป็นลายเส้นขนานโดยมีอาการผิวฝ่อ พบในคุณแม่หลังคลอด หรือผู้ที่มีการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัวอย่างรวดเร็ว
  • Striae alba: มีลักษณะเป็นลายเส้นขนานสีขาว เป็นรอยแตกของผิวที่เปลี่ยนจากเส้นสีแดงมาเป็นสีขาว มักพบในระยะหลัง 

หากคุณมีปัญหา ผิวแตกลาย สิ่งที่ควรทำคือดูแลผิวอย่างเหมาะสม ให้ผิวมีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ อย่าใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่อาจทำให้ผิวแห้งขึ้น และอย่าลืมใช้ครีมกันแดดเพื่อป้องกันการเสียดสีผิว เพราะแสงแดดก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวแตกลายได้ หรือหากผิวคุณขาดความชุ่มชื่น ลองมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมเหล่านี้


วิธีแก้ผิวแตกลาย

ปกติรอยแตกลายไม่มีผลต่อสุขภาพร่างกาย จะมีแค่เรื่องความสวยความงาม แต่อาจพบว่าผิวที่มีรอยแตกลายมาก ๆ อาจฉีกขาดได้ง่ายกว่าปกติ เมื่อผิวได้รับบาดเจ็บ ในส่วนรอยแตกลายในวัยรุ่นอาจจางลงได้บ้างเมื่อเวลาผ่านไปนาน ๆ อย่างไรก็ตามสำหรับวิธีแก้ ผิวแตกลาย สามารถเลือกทำได้ 2 วิธี คือ ทำด้วยตัวเองในกรณีที่ไม่อยากเลเซอร์ หรือใครที่ต้องการรักษาโดยใช้เทคนิคการแพทย์ แนะนำให้ไปปรึกษาแพทย์หรือคลินิกที่เชี่ยวชาญเพื่อผลลัพธ์ในการรักษาที่ดีสุด

1. ลดรอยแตกลายด้วยตัวเอง

  • ดูแลร่างกาย ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิว เช่น วิตามินซี อาหารจำพวก นม เนย ตับ ปลา เป็นต้น และอาหารที่มีวิตามินซีสูง เพราะวิตามินซีมีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนซึ่งช่วยสร้างความยืดหยุ่นและชุ่มชื่นให้กับผิว หมั่นออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายสมส่วน ผิวพรรณมีความยืดหยุ่น ระดับฮอร์โมนสมดุลจะสมดุลมากขึ้น ทำให้ลดปัญหาผิวแตกลายได้
  • ควรดื่มน้ำในปริมาณที่มากพอและเพียงพอต่อร่างกาย เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและสร้างสมดุลความยืดหยุ่นให้กับผิว และหลีกเลี่ยงไม่ให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
  • ทาครีมบำรุง การใช้ผลิตภัณฑ์ลดรอยแตกลาย น้ำมันจากธรรมชาติ หรือ การใช้ครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ในบริเวณแตกลายเป็นประจำทุกวัน หลังอาบน้ำ ก่อนนอน อย่าปล่อยให้ผิวแห้งเด็ดขาด ความสม่ำเสมอในการทาจะช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้น การใช้ยาทารักษารอยแตกลายจะได้ผลเฉพาะรอยแตกลายที่เกิดใหม่ คือยังคงมีสีแดงหรือม่วงเท่านั้น เนื่องจากยังคงมีหลอดเลือดทำงานอยู่ซึ่งทำให้พวกมันตอบสนองต่อการรักษาได้ดีขึ้น หากกำลังตั้งครรภ์ให้หลีกเลี่ยงในส่วนผสมของ เรตินอยด์ เรตินอล หรือวิตามินเอ เพราะอาจอันตรายต่อทารกได้
  • การบํารุงผิวด้วยวิธีธรรมชาติก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เช่น การนวดผิวหน้าโดยใช้น้ำมันจากธรรมชาติ เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันมะพร้าว หรือเบบี้ออยล์ เป็นต้น เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื่นและไม่แตกลาย
  • การใช้สมุนไพรธรรมชาติในการฟื้นฟูผิวแตกลาย เช่น ใช้สมุนไพรที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากเปลือกต้นกาแฟ ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและลดการเกิดริ้วรอยบนผิว หรือใช้สมุนไพรอย่างมาส์กมะขามมาขัดผิวจะช่วยให้ผิวดูกระชับและชุ่มชื่นขึ้น แนะนำ เลือกใช้สครับแบบไหนดี

วิธีแก้ ผิวแตกลาย

2. เข้ารับการรักษาโดยแพทย์

  • การทำเดอร์มาโรลเลอร์ (Dermaroller) การใช้เครื่องมือกลิ้งบริเวณผิวที่ต้องการ เป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนัง ช่วยทำลายพังผืด ช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้น เป็นวิธีที่ช่วยลดรอยแตกลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การเลเซอร์ไอพีแอล (Intensed Pulsed Light – IPL) ใช้แสงความเข้มข้นสูงยิงบริเวณผิวที่เป็นรอย เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและปรับให้สีผิวสม่ำเสมอหรือจะเป็นการเลเซอร์สร้างผิวใหม่ก็ได้เช่นกัน
  • การทำเมโสเธอราพี (Mesotherapy) รักษารอยแตกลาย เป็นการใช้เข็มกระตุ้นส่งยาเข้าไปในชั้นผิวเพื่อกระตุ้นให้เกิดการสมานรอยแตกลายของผิว
  • ฉีดคาร์บ็อกซี่ (Carboxytherapy) เป็นการรักษาโดยการฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ใช้ในในทางการแพทย์ที่ชั้นหนังแท้ตามแนวร่องแตกลายของผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและคอลลาเจนใต้ผิวให้ตึงกระชับ นอกจากจะช่วยเรื่องการรอยแตกลายแล้วยังช่วยสลายไขมันส่วนเกินที่ต้องการได้อีกด้วย

สุดท้ายนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการดูแลรักษาผิวอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมกับผิว และดูแลผิวอย่างต่อเนื่องด้วยวิธีการที่เหมาะสมเพื่อให้ผิวแข็งแรงและสวยงาม


อ้างอิง