Browsing Category

skin

skin

ผิวขาดน้ำใช้อะไรดี รวม 5 สูตรมาสก์หน้าเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว

February 15, 2023
ผิวขาดน้ำใช้อะไรดี

ผิวขาดน้ำเป็นอีกหนึ่งปัญหาผิวหนังสำหรับหลายคน ซึ่งปัญหาผิวขาดน้ำนี้จะมีผลทำให้ผิวมันมากกว่าปกติ ผิวหยาบกร้านและตามมาด้วยปัญหาผิวอีกมากมาย ซึ่งภาวะผิวขาดน้ำสามารถเกิดขึ้นได้กับผิวทุกประเภท ทั้งผิวแห้ง ผิวมัน โดยเฉพาะผิวแพ้ง่ายจะมีโอกาสเกิดภาวะผิวขาดน้ำสูงกว่าผิวชนิดอื่น ซึ่งปัญหาผิวขาดน้ำสังเกตได้ยาก ทำให้คนส่วนมากทำการรักษาผิดวิธี ส่งผลให้ปัญหาผิวที่เป็นอยู่มีอาการหนักขึ้น ดังนั้นวันนี้เรามาทำความรู้จักกับผิวขาดน้ำว่ามีสาเหตุ อาการและวิธีการดูแลรักษาอย่างไร  ผิวขาดน้ำใช้อะไรดี ผิวถึงจะกลับมาสวยงามเป็นปกติได้


ผิวขาดน้ำ เกิดจากสาเหตุอะไร

ผิวขาดน้ำใช้อะไรดี

ผิวขาดน้ำ คือ ภาวะที่ปริมาณน้ำที่อยู่ในผิวน้อยกว่าร้อยละ 10 ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น ซึ่งผิวขาดน้ำเป็นสภาพที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกสภาพผิว ทั้งผิวมัน ผิวผสม ผิวแห้งและผิวแพ้ง่าย โดยผิวขาดน้ำจะมีลักษณะคล้ายผิวแห้งหลังจากล้างหน้าเสร็จใหม่ แต่หลังล้างหน้าไม่นาน ผิวหน้าจะมีความมันเพิ่มสูงขึ้นอย่างผิดปกติ โดยเฉพาะบริเวณทีโซน ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเมื่อผิวมีภาวะขาดน้ำจะทำให้ผิวมีการสร้างน้ำมันเพิ่มมากขึ้น เพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว ส่งผลให้ผิวมีความมันเพิ่มขึ้นนั่นเอง ซึ่งสาเหตุของผิวขาดน้ำ มีดังนี้

  1. ชั้น lipid bilayer ถูกทำลาย ผิวจะมีชั้นผิว lipid bilayer ทำหน้าที่ในการป้องกันและรักษาน้ำให้อยู่ในผิว ซึ่งชั้นผิวนี้ถูกทำลายได้ด้วยการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การอาบน้ำร้อน การใช้สารเคมีชนิดรุนแรง หรือการแพ้สารเคมีบางชนิด เป็นต้น เมื่อผิวชั้น lipid bilayer ถูกทำลายจะทำให้ผิวไม่สามารถรักษาน้ำให้อยู่ในผิวได้ ทำให้ผิวขาดน้ำ
  2. ผิวขาดสารความชุ่มชื้น โดยปกติผิวของคนเราจะมีสารที่ทำหน้าที่กักเก็บความชุ่มชื่น เช่น อะมิโน แอซิด สารกลุ่มแลคเตท ไฮยาลูรอนิค แอซิด เป็นต้น หากผิวขาดสารเหล่านี้จะทำให้ไม่สามารถอุ้มน้ำให้อยู่ในผิวได้ ทำให้ผิวขาดน้ำได้เช่นกัน ซึ่งสารเหล่านี้จะโดนทำลายได้ด้วยความผิดปกติของร่างกายและการใช้สารเคมีที่รุนแรง เช่น โรคภูมิแพ้ เป็นต้น
  3. การใช้ชีวิตประจำวัน การดำเนินชีวิตบางอย่างก็ส่งผลให้ผิวเกิดภาวะขาดน้ำได้ เช่น การพักผ่อนน้อย การดื่มน้ำน้อย การดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่มาก เป็นต้น

จะเห็นว่าสาเหตุที่ทำผิวขาดน้ำเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ ซึ่งภาวะผิวขาดน้ำนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในทันทีทันใด แต่จะมีการสะสมทีละน้อยจนเมื่อผิวขาดน้ำขั้นรุนแรงจึงจะแสดงอาการออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งผิวขาดน้ำสามารถรักษาได้ ด้วยการดูแลอย่างถูกต้อง แนะนำขั้นตอนการดูแลผิวหน้า เพื่อสุขภาพผิวที่ดี 


ผิวขาดน้ำใช้อะไรดี แก้ไขได้อย่างไร?

ผิวขาดน้ำใช้อะไรดี

ผิวขาดน้ำสามารถรักษาและแก้ไขให้หายได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อทำการรักษา ซึ่งการแก้ไขผิวขาดน้ำสามารถทำได้ดังนี้

  1. ดื่มน้ำให้มาก ร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำประมาณ 70-80% น้ำจึงมีความจำเป็นต่อร่างกายสูงมาก ทั้งการชะล้างสิ่งสกปรก เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบในร่างกายและเสริมความแข็งแรงชุ่มชื้นให้กับเซลล์ ดังนั้นในทุกวันจำเป็นต้องดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 2-3 ลิตรต่อวัน และหากมีภาวะผิวขาดน้ำจะต้องดื่มน้ำเพิ่มอีก 15-20% เพื่อให้น้ำเข้าไปทดแทนส่วนที่ขาดหายไป
  2. นอนให้เพียงพอ การนอนอาจมองว่าไม่เกี่ยวกับการแก้ไขผิวขาดน้ำ แต่เชื่อหรือไม่ว่าการนอนจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับผิว ทำให้ผิวสามารถรักษาและกักเก็บน้ำในผิวได้มากขึ้น ดังนั้นจึงควรนอนพักผ่อนให้เพียงพอทุกวัน 
  3. งดสารเคมี ปัจจุบันนี้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวมักจะมีการผสมสารเคมีเข้าไปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้สูงขึ้น ดังนั้นควรเลือกแบบที่ไม่ใช้สารเคมีหรือสูตรอ่อนโยนที่เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ เพื่อลดความระคายเคืองและอันตรายที่จะเกิดกับผิว โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการทำความสะอาดผิวจะต้องเป็นสูตรอ่อนโยนและเหมาะกับสภาพผิวเท่านั้น สกินแคร์ที่ช่วยบำรุงผิวขาดความชุ่มชื้น
  4. รับประทานผักผลไม้เพิ่มขึ้น นอกจากการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่แล้ว ควรจะเน้นการกินผักและผลไม้จะมีส่วนประกอบของน้ำและวิตามินเป็นหลัก ซึ่งน้ำและวิตามินที่อยู่ในผักผลไม้จะเข้าไปเพิ่มปริมาณน้ำและความแข็งแรงของผิว 

การแก้ไขให้ผิวขาดน้ำกลับมามีสุขภาพดีทำได้ไม่ยาก เพียงแค่ใส่ใจดูแลและปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันให้เหมาะสม ดื่มน้ำมาก ๆ นอนพักผ่อนเยอะและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสูตรอ่อนโยน นอกจากนั้นการมาร์กหน้าก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยแก้ไขให้ผิวกลับมาชุ่มชื่นได้อย่างรวดเร็วด้วย หรือถ้าผิวลอกเป็นขุยหนักมาก


5 สูตรมาสก์หน้าแก้ผิวขาดน้ำ

ผิวขาดน้ำใช้อะไรดี

การมาสก์หน้าสามารถช่วยดูแลผิวขาดน้ำให้กลับมามีชุ่มชื้นและมีสุขภาพที่ดีขึ้นได้ ซึ่งสูตรมาสก์หน้าที่จะช่วยเติมน้ำให้กับผิวมีดังนี้

1. สูตรที่ 1 นมสด+ขมิ้น สูตรนี้นำนมสดผสมกับขมิ้นในอัตราส่วน 1:2 หรือผสมให้มีลักษณะเป็นเนื้อครีมสีเหลือง นำมามาสก์หน้าบาง ๆ ประมาณ 15-20 นาที สูตรนี้นมสดจะเข้าไปเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และยังช่วยขับผิวให้ขาวใสอีกด้วย

2. สูตรที่ 2 แตงกวา+น้ำผึ้ง นำแตงกวามาบดละเอียด 2 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา นำมามาสก์หน้าทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แตงกวาถือว่าเป็นผักที่มีน้ำสูง การนำมามาสก์หน้าน้ำในแตงกวาจะซึมเข้าสู่ผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้น ส่วนน้ำผึ้งจะช่วยฆ่าเชื้อที่อยู่บนผิวหน้าทำให้ผิวแข็งแรง ลดการเกิดสิวได้อีกด้วย

3. สูตรที่ 3 มะเขือเทศ+โยเกิร์ต นำมะเขือเทศบด 1 ช้อนโต๊ะผสมโยเกิร์ต 1 ช้อนโต๊ะ ผสมแล้วนำไปมาสก์หน้า ทิ้งไว้ 15-20 นาที มะเขือเทศและโยเกิร์ตจะเข้าไปเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวแล้ว ในมะเขือเทศยังมี AHA ช่วยขัดเซลล์ผิว เพิ่มความกระจ่างใสให้กับผิว

4. สูตรที่ 4 ไข่ขาว+โยเกิร์ต ไข่ขาว 1 ฟองผสมกับโยเกิร์ต 1 ช้อนโต๊ะ มาสก์ทิ้งไว้ 5-10 นาที โยเกิร์ตช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ไข่ขาวช่วยรักษาความชุ่มชื้น เพิ่มความเต่งตึงให้ผิว

5. สูตรที่ 5 กล้วย+น้ำผึ้ง กล้วยบด ½ ถ้วยตวงผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ มาสก์หน้าทิ้งไว้ 5-10 นาที กล้วยและน้ำผึ้งเพิ่มความชุ่มชื้นและลดเลือนริ้วรอย ส่วนน้ำผึ้งยังส่วนลดการอักเสบของผิวด้วย

สูตรมาสก์หน้าที่นำมาในวันนี้เป็นสูตรมาสก์หน้าที่รับรองได้ว่าช่วยปรับแก้ไขให้ผิวขาดน้ำกลับมาชุ่มชื่น หรือลอง วิธีดูแลผิวให้ชุ่มชื้นขึ้น เติมเต็มน้ำใต้ผิว ทำให้ผิวกลับมาชุ่มชื่น เนียนนุ่มและกระจ่างใสไปพร้อมกัน การมาสก์หน้าสำหรับผู้ที่ผิวขาดน้ำควรมาสก์หน้าอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง จนผิวกลับมาชุ่มชื้นให้ปรับมามาสก์หน้าสัปดาห์ละ 1 ครั้งก็เพียงพอแล้ว รับรองได้การมาสก์หน้าด้วยสูตรที่ให้มานี้อ่อนโยนต่อทุกสภาพผิวแน่นอน


อ้างอิง 

skin

ขัดผิวขาวเร่งด่วน สูตรง่าย ๆ ด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติ

February 9, 2023
ขัดผิวขาวเร่งด่วน

การมีผิวขาวใสแน่นอนว่าเป็นที่ต้องการของทุกคน แต่ว่าหลังจากไปเที่ยวตากอากาศสัมผัสลมหนาว สายลม แสงแดดเพื่อชาร์ตพลังงานให้กับตัวเอง พอกลับมาถึงพบว่าผิวขาวเนียนได้กลายมาเป็นผิวหมองคล้ำ หยาบกร้านไปเสียแล้ว สาว ๆ ไม่ต้องกังวลไป เพราะวันนี้เรามีสูตร ขัดผิวขาวเร่งด่วน ที่จะช่วยฟื้นฟูผิวเสีย ผิวหมองคล้ำของคุณให้กลับมาขาว เนียนนุ่มด้วยวัตถุดิบง่าย ๆ จากธรรมชาติมาฝากกัน


การขัดผิวสำคัญหรือไม่ จำเป็นต้องขัดทุกวันไหม?

ขัดผิวขาวเร่งด่วน

หลายคนมีข้อสงสัยว่าการขัดผิวมีความจำเป็นหรือไม่ ถ้าไม่ขัดผิวแล้วผิวจะกลับมาขาวได้ไหม แน่นอนว่าถ้าคุณไม่ขัดผิว ผิวของคุณก็จะกลับมาขาวได้ แต่ว่าจะต้องใช้ระยะเวลาหลายเดือนกว่าผิวจะกลับมาขาวเนียนและก่อนที่ผิวจะขาว ผิวของคุณจะกระดำกระด่างไม่น่ามองเอาเสียเลย

ซึ่งการขัดผิวจะเข้าไปกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายและติดอยู่บนผิวหนังออกมา เผยให้เห็นผิวใหม่ที่มีขาว เนียนและมีสุขภาพดี อีกทั้งการขัดผิวไม่จำเป็นต้องขัดทุกวัน โดยการขัดผิวจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ

  • ขัดผิวเพิ่มความเนียนเรียบ สำหรับคนปกติทั่วไปที่ผิวไม่มีปัญหาหมองคล้ำ มีจุดด่างดำ เนื่องจากแสงแดด ลมหนาวแล้ว การขัดผิวสามารถขัดผิวสัปดาห์ละครั้งหรือ 2 สัปดาห์ครั้งก็ได้ เพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่และขัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายไปให้หลุดออกจากผิวหนัง ลดการอุดตันของรูขุมขนและทำให้ผิวกระจ่างใสมากขึ้น 
  • ขัดผิวเพื่อเร่งผิวขาว สำหรับคนที่ต้องการขัดผิวเพื่อเร่งผิวให้กลับมาขาว เนียนใสแบบเร่งด่วน ควรทำการขัดผิวสัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยการขัดผิวจะเป็นขจัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายไป ยังเป็นการล้างสิ่งอุดตันในรูขุมขน ทำให้รูขุมขนกระชับ ป้องกันการเกิดสิวได้แล้ว การขัดผิวด้วยการหมุนเป็นวงกลมไปทั่วบริเวณยังเป็นการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้เลือดไปหล่อเลี้ยงเซลล์ผิวได้อย่างทั่วถึง ทำให้ผิวมีสุขภาพดี เปล่งปลั่ง เนียนนุ่มมากยิ่งขึ้น แนะนำ เลือกสครับขัดผิวแบบไหนดี

จะเห็นว่าการขัดผิวไม่จำเป็นต้องขัดทุกวัน แต่ถ้าต้องการขัดผิวเพื่อให้ผิวขาวแบบเร่งด่วนจะต้องทำการขัดผิวสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งก็เพียงพอแล้ว และในการขัดผิวจะต้องขัดเบา ๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นและไม่ทำให้เซลล์ผิวหนังเกิดการอักเสบระคายเคือง และนอกจากการขัดผิวแล้ว อย่าลืมดูแลผิวหน้าด้วย นี่คือ 5 ขั้นตอนที่ใช้ดูแลผิวในตอนเช้า


5 สูตร ขัดผิวขาวเร่งด่วน ด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติ 

ขัดผิวขาวเร่งด่วน

การขัดผิวเพื่อช่วยให้ผิวขาวแบบเร่งด่วนที่นำเสนอในวันนี้ เป็นสูตรขัดผิวที่ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติเป็นหลัก เพราะวัตถุดิบจากธรรมชาติจะอ่อนโยนต่อผิว ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ นอกจากนั้นยังหาได้ง่ายอีกด้วย แต่รับรองได้ว่าผิวขาวจริง มาดูกันว่ามีสูตรขัดผิวอะไรบ้าง

1. แตงกวา+น้ำตาล+น้ำมันมะพร้าว สูตรนี้เป็นสูตรขัดผิวที่ช่วยเสริมความชุ่มชื้นให้กับผิวจากแตงกวากับน้ำมันมะพร้าว พร้อมทั้งขัดเซลล์และสิ่งสกปรกด้วยเกล็ดน้ำตาล โดยมีขั้นตอนการทำเพียงแค่นำแตงกวาปั่นประมาณ 3/4  ถ้วย ผสมกับน้ำตาลทราย 1 ถ้วย และน้ำมันมะพร้าว 1/4 ถ้วย คนให้เข้ากันก็พร้อมสำหรับนำไปขัดผิวแล้ว

2. กากกาแฟ + น้ำผึ้ง + โยเกิร์ต สำหรับใครที่ผิวหมองคล้ำเนื่องจากการโดนแดดแล้ว สูตรขัดผิวนี้จะช่วยทำให้ผิวของคุณกลับมาขาวเนียนแบบสุขภาพดี โดยนำกากกาแฟ 1 ถ้วยผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะและโยเกิร์ต 2 ช้อนโต๊ะ นำไปพอกและขัดผิวประมาณ 30 นาทีแล้วล้างออก

3. น้ำมะกรูด+น้ำผึ้ง+นมสด สูตรนี้เป็นสูตรสำหรับผิวแบบบาง เนื่องจากใช้น้ำมะกรูดแทนน้ำมะนาว เนื่องจากน้ำมะกรูดมีความเป็นกรดน้อยกว่าน้ำมะนาว เมื่อนำมาใช้จึงมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ เท่านั้น โดยนำน้ำมะกรูด 2 ช้อนโต๊ะผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชาและนมสด 1 ถ้วยตวง นำไปขัดผิวเบา เพื่อความชุ่มชื้นกระจ่างใสให้กับผิว

4. ดินสอพอง+ขมิ้น+แตงกวา+นมสด สำหรับขมิ้นเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นสมุนไพรบำรุงผิวที่ช่วยทำให้ผิวขาวกระจ่างใส โดยนำแตงกวาบด 1 ถ้วยตวงผสมดินสอพอง 1 ช้อนโต๊ะ นมสด 1 ถ้วยตวงและขมิ้น 2 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากัน สูตรนี้นอกจากคืนผิวขาวแล้วยังเพิ่มความแข็งแรงให้กับผิวอีกด้วย

5. น้ำมะขามเปียก+ขมิ้น+โยเกิร์ต สูตรนี้เป็นสูตรขัดผิวแบบดั้งเดิมที่คนไทยเรารู้จักกันดี เพราะใช้กันมายาวนาน แต่มีการปรับเปลี่ยนมาใช้โยเกิร์ตผสมเข้าไป เพื่อให้ผิวได้รับความชุ่มชื้นเพิ่มมากขึ้น โดยใช้น้ำมะขามเปียก 1 ถ้วยตวง ผสมโยเกิร์ต ½ ถ้วยตวงและขมิ้น 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากันนำไปขัดผิว 

สำหรับใครที่ต้องการเร่งให้ผิวขาวแบบมีสุขภาพดีแล้ว แนะนำให้หาซื้อคอลาเจนมาผสมในสูตรขัดผิวข้างต้น แบบนี้จะช่วยให้ผิวขาวเร็วขึ้นและมีสุขภาพดีมากขึ้นด้วย หรือลองใช้ วิธีแก้หน้าโทรมผิวหมองคล้ำที่ทำได้ด้วยตัวเอง


เคล็ดลับ ขัดผิวขาวเร่งด่วน แบบไม่ทำร้ายผิว

ขัดผิวขาวเร่งด่วน

การขัดผิวขาวเร่งด่วนสามารถช่วยให้ผิวขาวขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ แต่ว่าหลายคนเมื่อทำการขัดผิวแล้ว แทนที่ผิวจะขาวขึ้นกลับกลายเป็นทำร้ายผิว ทำให้ผิวเกิดการอักเสบ ระคายเคือง ซึ่งเคล็ดลับในการขัดผิวให้ขาวกระจ่างใสแบบเร่งด้วยก็คือ ความต่อเนื่องและความอ่อนโยน นั่นคือ การขัดผิวต้องขัดเป็นประจำแบบวันเว้นวันหรือวันเว้น 2 วัน โดยการขัดจะต้องขัดอย่างเบามือและขัดหมุนเป็นวงกลมเล็ก ๆ ไปทั่วบริเวณที่ต้องการขัด เพียงเท่านี้ผิวของคุณก็จะกลับมาขาวใสแบบมีสุขภาพดีได้แล้ว

จะเห็นว่าการขัดผิวขาวเร่งด่วนทำได้ไม่ยาก และของที่ใช้ในการขัดผิวก็หาได้ง่าย สิ่งสำคัญคืออย่าลืมขัดผิวบ่อยเกินไป เนื่องจากการขัดผิวมากเกินไปก็อาจทำให้ผิวระคายเคือง แห้งกร้าน รบกวนผิวมากไป ผิวเสียหายได้ และต้องให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหลังจากการขัดผิวเพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและมีสุขภาพดี สำหรับใครที่มีปัญาหาผิวหมองคล้ำ มีริ้วรอยลองนำไปใช้กันนะ รับรองว่าผิวของคุณจะกลับมาขาวเนียนใสขึ้นได้อย่างแน่นอน


อ้างอิง

skin

แก้หน้าโทรม ผิวหมองคล้ำ ให้กลับมาดูสดใสจากภายในสู่ภายนอก

December 26, 2022
แก้หน้าโทรม

แก้หน้าโทรม ทำไงดี? ปัญหาที่ชายหญิงหลายคนมักจะพบเจอและทำให้เกิดความไม่มั่นใจ ถึงแม้จะพยายามหลีกเลี่ยงแล้วแต่หลายคนก็อาจจะกำลังเผชิญกับปัญหานี้อยู่ เพราะด้วยปัจจัยภายนอกและสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่ต้องพบเจอทุกวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 100% แต่วันนี้จะพาคุณไปเจาะลึกถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาเหล่านี้พร้อมวิธีบำรุงให้หน้ากลับมาสดใสได้ทั้งจากภายในสู่ภายนอกกันเลย


ทำไมหน้าโทรม ผิวหมองคล้ำดูไม่สดใส

ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่าปัญหาผิวหน้าโทรมนี้เกิดจากอะไร แก้หน้าโทรม ได้อย่างไรบ้าง หากเรารู้ถึงปัญหาที่แท้จริงแล้วก็จะสามารถหลีกเลี่ยงและแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด มาดูกันว่าทำไมใบหน้าของหลายคนจึงดูโทรมและไม่สดใส

  • อาการเครียด : หากคุณมีอาการเครียดมาก ๆ ร่างกายจะรับรู้จะเริ่มหลั่งฮอร์โมนที่มีชื่อว่า Cortisol ออกมา ซึ่งเจ้าฮอร์โมนตัวนี้จะเข้าไปกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากขึ้นทำให้หน้ามัน พอหน้ามันแล้วสิวก็มักจะเกิดขึ้นทำให้ผิวของคุณดูโทรมและเกิดความหมองคล้ำนั่นเอง
  • รังสี UV : แสงแดดหรือรังสี UV เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ใบหน้าดูโทรมและแก่ก่อนวัยได้ หากคุณเผชิญกับแสงแดดเป็นระยะเวลานานโดยไม่มีการปกป้อง แสงแดดจะเข้าไปทำร้ายได้ลึกถึงโครงสร้างชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวขาดคอลลาเจนและความชุ่มชื้น ส่งผลให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ ริ้วรอย และทำให้ผิวหน้าโทรมเร็วขึ้นได้
  • สภาพอากาศ : การอยู่ในที่ที่มีอากาศเย็น รวมถึงอยู่ในห้องแอร์จะทำให้ผิวหน้าแห้งและแตกเป็นขุยได้ เนื่องจากอากาศจะดูดซับความชุ่มชื้นของผิวหน้าไป ทำให้ใบหน้าแลดูไม่สดใสและเกิดความหมองคล้ำลง
  • พักผ่อนน้อย : การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอส่งผลเสียต่อร่างกายได้มากมาย นอกจากจะทำให้รู้สึกไม่สดชื่นแล้วก็ส่งผลต่อผิวหน้าได้ด้วยเช่นกัน เพราะขณะที่คุณนอนหลับนั่นร่างกายจะหลั่งโกรทฮอร์โมนซึ่งเป็นตัวช่วยซ่อมแซมผิวที่สึกหรอออกมา ทำให้ผิวเกิดความแข็งแรงมากขึ้น แต่หากคุณนอนน้อยร่างกายจะไม่สามารถหลั่งฮอร์โมนชนิดนี้ออกมาได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้ใบหน้าดูโทรมขึ้นนั่นเอง
  • ดื่มน้ำเปล่าน้อย : หากคุณดื่มน้ำเปล่าไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายจะเกิดภาวะขาดน้ำ ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น แห้งกร้าน และดูไม่สดใส 

วิธี แก้หน้าโทรม บอกลาหน้าปัญหาหน้าหมองคล้ำ

1. ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อร่างกาย

ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อร่างกาย

วิธี แก้หน้าโทรม ที่ง่ายที่สุดก็คือ ‘การดื่มน้ำ’ ให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ซึ่งร่างกายของแต่ละคนนั้นต้องการปริมาณน้ำไม่เท่ากันโดยจะคิดปริมาณเป็น 1.5 เท่าของแคลอรีที่ควรได้รับในแต่ละวัน แต่โดยทั่วไปแล้วปริมาณน้ำส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 8-12 แก้วต่อวัน ยิ่งดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายมากเท่าไหร่ ผิวของคุณก็จะดูสดใสและชุ่มชื้นมากขึ้นเท่านั้น

2. ทาครีมกันแดด

ทาครีมกันแดด

ครีมกันแดด เรียกได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่ง แม้ในวันที่คุณไม่ได้ออกจากบ้านการทาครีมกันแดดก็ยังคงเป็นหนึ่งไอเท็มที่ต้องใช้เป็นประจำทุกวัน เพราะนอกจากแสงแดดที่ทำร้ายผิวแล้วรังสีจากโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ หรือโทรทัศน์ก็ทำร้ายผิวหน้าได้เช่นกัน

3. รับประทานอาหารที่ให้คุณประโยชน์เยอะ

‘You are what you eat’ กินอะไรก็ได้อย่างนั้น ยิ่งคุณรับประทานอาหารที่ให้คุณประโยชน์ต่อร่างกาย ระบบต่าง ๆ ภายในรวมถึงภายนอกก็จะดีขึ้นด้วย ซึ่งอาหารที่มักจะให้คุณประโยชน์ก็จะเป็นจำพวก แซลมอน ทูน่า ปลาที่มีกรดโอเมก้า-3 และอื่น ๆ อีกมากมายที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ

4. ดูแลผิวหน้าให้สะอาด

ดูแลผิวหน้าให้สะอาด

การดูแลผิวหน้าให้สะอาดก็ช่วยให้ใบหน้าดูสดใสและไม่หมองคล้ำได้ หากคุณล้างหน้าหรือดูแลผิวหน้าไม่ดีอาจการหมักหมมของสิ่งสกปรกต่าง ๆ ทำให้ผิวอุดตันและเกิดสิวขึ้นได้

5. ทาครีมบำรุงผิวเป็นประจำ

การทาครีมบำรุงผิวหรือเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนช่วยรักษาใบหน้าหมองคล้ำก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ช่วยทำให้ใบหน้ากลับมาดูสดใสขึ้นได้ 

6. เปลี่ยนพฤติกรรม

แก้หน้าโทรม

ให้คุณลองสังเกตพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของตัวเองให้ดีว่าทำแบบไหนแล้วสิวขึ้น หรือทำแบบไหนแล้วหน้าจะดูโทรม ไม่สดใส และเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านั้น เช่น การเข้านอนให้ตรงเวลาและเร็วขึ้น การแบ่งเวลานอนกับเวลาทำงานอย่างชัดเจน การดื่มน้ำให้เพียงพอ ฯลฯ

7. ผลัดเซลล์ผิว

การสครับผิว ถือว่าเป็นการช่วยผลัดเซลล์ผิวได้อีกอย่างหนึ่งเพราะมันจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไปได้ง่ายขึ้น ทำให้ผิวได้รับการขจัดความหมองคล้ำออกไปได้ ส่งผลให้ผิวดูสดใสและมีความกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น แต่การสครับผิวก็ไม่ควรทำบ่อย ๆ เพราะผิวอาจบางได้ การผลัดเซลล์ผิวอาทิตย์ละ 1-2 ครั้งจะดีที่สุด ขอแนะนำ วิธีเลือกใช้สครับแบบไหนดีให้เหมาะกับผิว 

8. ลดความเครียด 

แก้หน้าโทรม

ยิ่งเครียด ก็ยิ่งโทรม ความเครียดส่งผลเสียต่อสุขภาพมากในหลาย ๆ ด้าน ยิ่งคุณเครียดมากเท่าไหร่มันก็จะยิ่งไปสัมพันธ์กับการทำงานของฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกายที่อาจทำให้ผิวดูหมองคล้ำและไม่สดใสได้

9. งดการสูบบุหรี่

บุหรี่ ส่งผลเสียต่าง ๆ มากมายต่อร่างกายรวมถึงด้านผิวพรรณด้วย เพราะสารนิโคตินที่อยู่ในบุหรี่นั้นจะทำให้ระบบหมุนเวียนเลือดในร่างกายทำงานได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดอาการผิวแห้งและผิวเสียขึ้นได้ นอกจากนี้การสูบบุหรี่ยังเข้าไปขัดขวางระบบการดูดซึมอาหารที่จำเป็นต่อผิวทำให้ผิวเสียและดูโทรมได้เช่นกัน

10. มาสก์หน้า 

แก้หน้าโทรม

การมาสก์หน้า ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีแก้หน้าโทรมที่สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะมาสก์หน้านั้นหาซื้อได้ง่ายตามร้านทั่วไป การเลือกมาสก์หน้าสูตรที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวจะช่วยทำให้ใบหน้าดูอิ่มฟูขึ้น และดูสดใส ไม่หมองคล้ำ รวม 5 สูตรมาสก์หน้าเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว ที่ทำเองได้


10 อาหารบำรุงผิว แก้หน้าโทรม ช่วยให้ผิวดูสดใสได้จากภายใน

นอกจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำต่าง ๆ จะส่งผลต่อการมีผิวสวยและใบหน้าที่สดใสแล้ว การรับประทานอาหารบำรุงผิวก็สามารถช่วยปรับสภาพผิวจากภายในได้ด้วยเช่นกัน มาดูกันว่าอาหารที่ผิวต้องการ ยิ่งกินผิวยิ่งสวยจะมีอะไรบ้าง

1. หน่อไม้ฝรั่ง

แก้หน้าโทรม

หน่อไม้ฝรั่ง เรียกได้ว่าเป็นอาหารที่ช่วยบำรุงผิวได้อย่างแท้จริง เพราะเป็นแหล่งของวิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี รวมถึงแร่ธาตุอื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ในหน่อไม้ฝรั่งยังอุดมไปด้วยกลูต้าไธโอนเป็นจำนวนมากและยังมีส่วนช่วยในการสร้างคอลลาเจนอีกด้วย ยิ่งกินเป็นประจำผิวของคุณก็จะยิ่งสดใสและกระจ่างใสแบบเป็นธรรมชาติ

2. ชาเขียว

ในชาเขียวอุดมไปด้วยโพลีนอลและแคเทซิน ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้มีสรรพคุณในการช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดและมลภาวะต่าง ๆ รวมถึงยังช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและป้องกันการเสื่อมของร่างกายได้เร็วอีกด้วย ทำให้ผิวพรรณไม่แก่ก่อนวัย โดยการดื่มชาเขียวอุ่นจากธรรมชาติเรียกได้ว่าเป็นเคล็ดลับความเยาว์วัยของชาวญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้

3. ธัญพืช

แก้หน้าโทรม

ธัญพืช ไม่ว่าจะเป็นชนิดใดก็ตามล้วนมีประโยชน์ต่อผิวพรรณทั้งสิ้น เพราะในถั่วดำ ถั่วเหลือง ถั่วแดง ข้ามหอมนิล ลูกเดือย หรือข้าวซ้อมมือ มีกากใยสูงทำให้ระบบการขับถ่ายทำงานได้อย่างเป็นปกติ ส่งผลให้ผิวพรรณมีน้ำมีนวลและดูยืดหยุ่นขึ้น

4. มะเขือเทศ

หากพูดถึงอาหารบำรุงผิว เชื่อว่ามะเขือเทศคงเป็นตัวเลือกแรก ๆ ที่หลายคนอาจนึกถึงแน่นอน เพราะในมะเขือเทศนั้นเป็นทั้งแหล่งของวิตามินเอ วิตามินซี ไลโคปีน และสารแคโรทีนอยด์ที่มีส่วนช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวดูกระจ่างใสและยังช่วยต้านการอักเสบของผิวได้อีกด้วย ทำให้ป้องกันการถูกแสงแดดทำร้ายได้เป็นอย่างดี

5. ผลไม้ตระกูลส้ม

แก้หน้าโทรม

ผักและผลไม้ต่าง ๆ ที่อยู่ในตระกูลส้มมีประสิทธิภาพช่วยต้านอนุมูลอิสระได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็น ส้มสายพันธ์ุต่าง ๆ ส้มโอ เลมอน มะนาว หรือมะกรูด เป็นต้น ซึ่งผักและผลไม้เหล่านี้ประกอบไปด้วยวิตามินซีสูงและสารไฟโตนิวเทรียนต์ ทำให้ช่วยเร่งการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ผิวจึงดูเปล่งปลั่งและสดใสมากยิ่งขึ้น

6. ฟักทอง

ในฟักทองมีไฟเบอร์และวิตามินต่าง ๆ สูง ทำให้ผิวมีความเด้งนุ่มและชุ่มชื้น พร้อมกับมีแร่ธาตุสำคัญต่าง ๆ ที่ช่วยผลิตคอลลาเจน ผิวจึงดูขาวอมชมพูได้เมื่อรับประทานอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ฟักทองยังช่วยแก้ไขปัญหาโรคผิวหนังได้อีกด้วยเช่นกัน

7. แซลมอน

แก้หน้าโทรม

ปลาแซลมอนอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่ช่วยปกป้องด้านผิวพรรณและกระตุ้นการเกิดคอลลาเจนได้เป็นอย่างดี ทำให้สามารถต่อต้านริ้วรอยก่อนวัย ชะลอวัย และบำรุงผิวได้อย่างล้ำลึก ทำให้ผิวดูใสและเนียนขึ้นได้ทั้งผิวหน้าและผิวกาย

8. น้ำแร่

น้ำแร่มีประโยชน์มากมายต่อร่างกาย นอกจากจะทำให้ผิวดูชุ่มชื้นไม่แห้งกร้านแล้ว การดื่มน้ำแร่เป็นประจำยังช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยและทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น เนื่องจากในน้ำแร่มีแร่ธาตุมากมายที่มีคุณสบบัติในการปรับสมดุลให้กับผิว

9. อะโวคาโด

อะโวคาโด เป็นแหล่งของไขมันดีที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนังและยังมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ทั้งช่วยชะลอวัย เลือดลมสูบฉีดได้อย่างดี และทำให้ผิวนุ่มฟูสุขภาพดี

10. แตงกวา 

หลายคนคงอาจเคยเห็นคนนำแตงกวามามาสก์หน้า เพราะแตงกวานั้นมีคุณสมบัติในด้านของการเติมเต็มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวอิ่มน้ำ พร้อมกับช่วยลดอุณหภูมิให้กับผิว ทำให้ผิวเย็นลงและดูเนียนนุ่มได้อีกด้วย

หน้าหมองคล้ำ ไม่สดใส เป็นปัญหาที่แก้ได้ หากคุณต้องการ ‘แก้หน้าโทรม’ เพียงแค่ต้องเริ่มจากการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น นอนให้เร็วขึ้นหรือดื่มน้ำให้มากขึ้น ที่สำหรับอย่าลืมหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่มักจะทำให้เกิดปัญหาหน้าโทรมเช่นความเครียดหรือการสูบบุหรี่ด้วย นอกจากนี้ การรับประทานอาหารบำรุงผิว และ ขัดผิวขาว ก็สามารถช่วยปรับสภาพผิวของคุณให้ดูสดใส และเปล่งปลั่งขึ้นได้เช่นเดียวกัน 


อ้างอิง  

skin

สกินแคร์มีอะไรบ้าง ? เลือกใช้อย่างไรให้เหมาะกับสภาพผิว

December 14, 2022
สกินแคร์มีอะไรบ้าง

เรื่องของผิว ต้องบอกเลยว่าถ้าได้ศึกษาดี ๆ จะมีเรื่องราวที่เป็นมากกว่าเครื่องสำอางทั่วไป สำหรับในปัจจุบันนี้ผลิตภัณฑ์อย่างสกินแคร์ ได้รับความนิยมมากขึ้น ถ้าหากย้อนเวลากลับไปในสมัยก่อน คงจะมีแต่คุณผู้หญิงที่หันมาดูแลตัวเอง แต่ในปัจจุบันนี้คุณผู้ชายทั่วไปก็หันมาใช้สกินแคร์กันเป็นจำนวนมาก ด้วยผลกระทบอย่างมลพิษ แสงแดด ความเครียด ส่งผลโดยตรงต่อผิวหน้า ผิวกาย ดังนั้นเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องรีบฟื้นฟูโดยเร็วเพราะเมื่อไหร่ที่ผิวเสีย บุคลิกของคุณก็จะดูไม่ดีตามไปด้วย ดังนั้นการดูแลผิวหน้าจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนจะต้องอาศัยความเข้าใจอย่างแท้จริงในการดูแล วันนี้พวกเราจึงไม่พลาดที่จะพาทุกท่านไปแนะนำให้พบกับ “สกินแคร์” ซึ่ง สกินแคร์มีอะไรบ้าง เลือกแบบไหนให้เหมาะกับสภาพผิว ทุกข้อมูลของเรื่องนี้พวกเราได้รวบรวมมาอธิบายให้อ่านกันแบบเข้าใจง่ายแล้วในบทความนี้ ถ้าหากว่าคุณคืออีกหนึ่งคนที่กำลังหันมาดูแลผิวของตัวเอง ไม่ควรพลาดกับบทความนี้


สกินแคร์ คืออะไร ทำไมถึงต้องทา?

สกินแคร์มีอะไรบ้าง

ด้วยสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน ส่งผลเสียต่อผิวเป็นอย่างมาก ส่งผลให้เกิดอาการแพ้ หรือสีผิวที่เสียไม่สม่ำเสมอ ดังนั้นอีกหนึ่งหนทางสำหรับคนรักดูแลผิวนั่นก็คือ การใช้สกินแคร์นั่นเอง ซึ่งความหมายของสิ่งนี้จะตรงตัวเลยก็คือ เป็นผลิตภัณฑ์ที่บำรุงผิวหน้า โดยจะมีลักษณะหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นเจล ครีม มอยส์เจอไรเซอร์ รวมไปถึงครีมที่มีคุณสมบัติช่วยบำรุง พร้อมทั้งฟื้นฟูผิวแห้งเสีย ซึ่งจะเป็นการดูแลบำรุงผิวหน้า หรือ ผิวกายด้วยครีมบำรุงต่าง ๆ แต่สิ่งสำคัญของการใช้งานก็คือ จะต้องเลือกให้เหมาะกับผิวของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นคนผิวแห้ง ผิวมัน หรือ ผิวปกติ ก็จะต้องเลือกสกินแคร์ให้เหมาะสม เพื่อการปกป้องผิวได้อย่างเต็มที่ 


สกินแคร์ ใช้แล้วดีอย่างไร ? 

นี่จึงเป็นอีกหลายเหตุผลที่เห็นได้ว่า มีสกินแคร์หลากหลายยี่ห้อให้เลือกใช้งานจนไม่รู้เลยว่าจะเลือกแบบไหนดี แบบไหนที่เหมาะกับผิวของคุณ เพราะว่าแต่ละคนนั้นมีรูปแบบของผิวที่ไม่เหมือนกันบางคนก็ผิวมัน บางคนก็ผิวแห้ง ซึ่งการใช้สกินแคร์ก็ส่งผลต่อการระคายเคืองของผิวด้วยเช่นกัน ซึ่งสิ่งสำคัญก็คือการเลือกผลิตภัณฑ์ในการบำรุงผิวหน้า ผิวกาย รวมทั้งครีมบำรุงต่าง ๆ ก็จะต้องเลือกให้เหมาะกับผิว ซึ่งจะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 


สกินแคร์ กับ ประเภทของผิว

สกินแคร์มีอะไรบ้าง

การรู้ตัวเองว่ามีสภาพผิวแบบไหน เป็นเรื่องที่ดี เพราะว่าคุณจะสามารถใช้งานผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสมได้โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องการแพ้ หรือ ระคายเคือง แต่การสำรวจตัวเองนั้นไม่ยาก สำหรับการตรวจสอบผิวก็ดูได้จากความสมบูรณ์ของผิว ถ้าดูแห้งกร้าน ก็คือ ผิวแห้ง ถ้าผิวมัน มักจะมีน้ำมันหล่อเลี้ยงอยู่ที่บริเวณหน้าตลอดเวลา โดยการดูแลผิวจะแบ่งตามประเภทของผิว ดังนี้ 

  • ผิวธรรมดา

ก่อนที่จะเลือกครีมบำรุงผิวสำหรับคนผิวธรรมดานั้น จะต้องรู้จักกับผิวตัวเองก่อนว่า มีผิวแบบไหน โดยผู้ที่ผิวแบบธรรมดา จะมีผิวที่มีน้ำมันบนใบหน้าในแบบพอดี ไม่มันจนเกินไป อีกทั้งผิวก็ยังมีความแข็งแรง สุขภาพดี ดูเปล่ง ไม่ค่อยมีริ้วรอย โดยรูปแบบผิวนี้จะมีข้อดีก็คือ ไม่ค่อยมองเห็นรูขุมขน ทำให้ไม่มีปัญหาผิวเรื่องสิว หรือ ฝ้า รบกวน แต่ข้อเสียก็คือ จะต้องดูแลผิวไม่ให้ขาดความชุ่มชื้นตลอดเวลา รักษาความสมดุลให้พอเหมาะ ไม่เช่นนั้นผิวก็จะเสียได้เช่นกัน 

การดูแลรักษาของผิวธรรมดา จะใช้ครีมบำรุงผิวที่ไม่เข้มข้น หรือ เบาบางจนเกินไป ใช้ครีมกันแดดทุกวัน สครับผิวอาทิตย์ละ 1 ครั้ง เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว พร้อมยังคงความอ่อนเยาว์ต่อไป 

  • ผิวแห้ง

ลักษณะของคนผิวแห้ง จะเกิดภาวะการผลิตน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวได้น้อย เวลาที่ล้างหน้า จะรู้สึกว่าหน้าแห้งตึง หน้าเป็นขุย มีริ้วรอยบาง ๆ ที่มองเห็นได้ นี่แหละคือคนผิวแห้ง ถึงแม้ว่าจะมีข้อดีเรื่องไม่มีปัญหารูขุมขน แต่ข้อเสียนั้นมีเพียบ ไม่ว่าจะเป็น ริ้วรอยที่มาเร็ว เมื่อมีสิวก็จะรักษายากกว่าคนผิวมัน เมื่อผิวแห้ง ก็จะยิ่งแดง ลอก แห้ง ระคายเคืองง่าย 

สำหรับการดูแลผิว ในผู้ที่มีผิวแห้งนั้น จะต้องใช้เนื้อครีมที่เข้มข้น ให้ความชุ่มชื้น พร้อมทั้งเติมความชุ่มชื้นในระหว่างวัน ใช้สเปรย์น้ำแร่เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นก่อนแต่งหน้า ใช้ครีมกันแดดที่ผสมมอยส์เจอไรเซอร์ ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ไม่มีฟอง ส่วนอาหารเสริมก็ให้เลือกทานน้ำมันปลาจะดีมาก เพราะจะทำให้ผิวดูแข็งแรงขึ้น พร้อมช่วยลดการอักเสบ หรือผื่นแพ้ได้ 

  • ผิวมัน 

สำหรับคนผิวมัน จะเกิดจากภาวะที่มีน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวมากเกินไป เวลาที่ล้างหน้าภายใน 2 ชั่วโมงไปแล้ว ผิวก็จะเริ่มมันในส่วนของ ทีโซน แก้ม จมูก คิ้ว รูขุมขนกว้าง สิวเสี้ยนเกิดง่าย พร้อมกับสิวหัวดำบริเวณจมูกด้วย สำหรับข้อดีของผู้ที่มีผิวมันก็คือ เกิดริ้วรอยได้ยากกว่าคนผิวแห้ง ระคายเคืองยาก แต่ข้อเสียก็คือ จะเกิดสิวอักเสบได้ง่าย พร้อมกับเกิดสิวอุดตันก็เกิดได้ง่ายเช่นกัน 

สำหรับผิวมันให้ใช้โทนเนอร์ควบคุมความมัน ในรูปแบบที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว รวมทั้งใช้แบบลดความมัน จะช่วยให้ละลายไขมันที่อุดตันในรูขุมขน หลีกเลี่ยงส่วนผสมที่เกี่ยวกับน้ำมัน โดยในช่วงหน้าร้อนจะต้องดูแลเป็นพิเศษ เพราะว่าช่วงนี้จะผลิตน้ำมันที่มากเกินไป เกิดสิวอุดตันง่าย พร้อมทั้งสิวอักเสบด้วย ดังนั้นการเลือกสกินแคร์จะต้องระวังเป็นพิเศษ ควรใช้ครีมบำรุงที่เนื้อบางเบา หรือผลิตภัณฑ์แบบสูตรน้ำแทนจะดีต่อผิวมากกว่าแบบอื่น

  • ผิวผสม

สำหรับผิวแบบผสมก็คือ การเกิดภาวะที่ผิวทั้งแห้ง ทั้งมัน ซึ่งอาจจะเกิดเป็นคนละจุดกัน โดยส่วนของผิวมันจะเกิดสิวง่าย ส่วนผิวแห้งก็จะลอกเป็นขุยได้ ซึ่งผิวลักษณะนี้จะมีข้อดีก็คือ เกิดริ้วรอยยากในจุดที่มัน แล้วก็จะไม่มีปัญหาเรื่องรูขุมขนกว้างในจุดที่ผิวแห้งด้วยนั่นเอง ส่วนที่เป็นข้อด้อยของผิวประเภทนี้ก็คือ การดูแลที่จะยากกว่ารูปแบบทั่วไป เพราะว่าแห้งกับมันเป็นส่วน ซึ่งการเลือกครีมอาจจะต้องปรับไปตามสภาพผิวของแต่ละจุดนั่นเอง

สำหรับการดูแล “ผิวผสม” จะใช้ครีมสองสูตร นั่นก็คือ จะต้องใช้คลีนเซอร์ทำความสะอาด  ซึ่งจะใช้ได้ทั้งผิวแห้ง รวมทั้งผิวมันด้วย โดยพยายามควบคุมความมันด้วการใช้โทนเนอร์เช็ดที่บริเวณผิว 

  • ผิวแพ้ง่าย

ผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย ค่อนข้างตรงตัว เพราะว่าผิวจะมีความสามารถในการปกป้องผิวลดลง ผิวจะอักเสบได้ง่าย ผิวอ่อนแอลง สุขภาพผิวไม่แข็งแรง ซึ่งจะใช้ครีมชนิดใด หรือสกินแคร์แบบไหน ก็จะต้องศึกษา เพราะว่าอาจจะแพ้น้ำหอม หรือสารสกัดภายในสกินแคร์นั้นด้วย 

การดูแลผิวแพ้ง่ายนั้นเหมือนจะยาก แต่ถ้าหากว่าคุณเองใช้ผลิตภัณฑ์ที่สามารถเคลือบผิวเอาไว้ โดยจะทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันให้กับผิว โดยคุณเองจะต้องหลีกเลี่ยงน้ำหอม แอลกอฮอล์ เพราะนี่คือสารที่จะทำให้ผิวของคุณเกิดความระคายเคือง โดยสกินแคร์ที่จะต้องใช้ จะต้องเลือกแบรนด์ที่อ่อนโยนต่อผิวอย่างมาก ดังนั้น มาเรียนรู้ ขั้นตอนการดูแลผิวหน้า เพื่อสุขภาพผิวที่ดีกัน


สกินแคร์มีอะไรบ้าง

สกินแคร์มีอะไรบ้าง

เห็นแบบนี้แล้วตัวของ “สกินแคร์” มีหลากหลายประเภท รวมทั้งคุณสมบัติที่แตกต่างกันด้วยเช่นกัน ถ้าหากว่าอธิบายเบื้องต้นคงจะยังไม่หมด ดังนั้น เราจึงได้รวบรวมประเภทของสกินแคร์ อีกทั้งประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ดูแลผิวในแบบต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยมีคำตอบให้กับคนที่กำลังเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1. Skin Cleansing Products สำหรับทำความสะอาด

สำหรับสกินแคร์ประเภทนี้จะมีหน้าที่หลักก็คือ ทำความสะอาด ชำระสิ่งสกปรกออกไปจากผิวกาย ไม่ว่าจะเป็น เหงื่อ ขี้ไคล ความมันบนใบหน้า ผิวกาย รวมทั้งฝุ่น และมลพิษต่าง ๆ ที่ได้รับมา ที่สำคัญเครื่องสำอางที่คุณผู้หญิงได้ใช้งานบนใบหน้า จะถูกสกินแคร์ประเภททำความสะอาด ชำระล้างไปจนหมด โดยรูปแบบก็มีหลากหลายไม่ว่าจะเป็นแบบเช็ดออกด้วยน้ำ หรือล้างออกด้วยน้ำ โดยจะมีตัวอย่างผลิตภัณฑ์สกินแคร์ประเภทนี้ที่พบได้ทั่วไปเลยก็คือ สบู่ก้อน สบู่เหลว เจลล้างหน้า เจลอาบน้ำ โฟมล้างหน้า รวมไปถึงโทนเนอร์ที่ใช้เช็ดทำความสะอาด เป็นต้น

2. Skin Whitening/Brightening Products ช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใส

แน่นอนเลยว่ามีสำหรับทำความสะอาดแล้ว ก็จะต้องมีสกินแคร์ที่ช่วยบำรุงผิวให้กระจ่างใส โดยเราจะเรียกผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ว่า “ไวท์เทนนิ่ง” นั่นเอง โดยจะมีคุณสมบัติที่จะช่วยให้ผิวดูกระจ่างใส ซึ่งจะเป็นประเภทที่คุณผู้หญิงที่รักในความงามรู้จักกันเป็นอย่างดี โดยหน้าที่หลักจะช่วยปรับสภาพผิวให้ดูขาวขึ้น กระจ่างใสขึ้น ซึ่งในปัจจุบันได้มีเครื่องสำอางหลายชนิด เพิ่มสารประเภทนี้เข้าไปทำให้ใช้แล้วดูผิวกระจ่างใสขึ้น โดยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้จะใส่สารที่มีกลไกการออกฤทธิ์ทำให้สีผิวจางลง โดยจะมี 2 แบบ ได้แก่ Tyrosinase กับ Peroxidase 

โดยในรายแรกอย่าง Tyrosinase จะหมายถึงรูปแบบการยับยั้งเอนไซม์  ซึ่งการยับยั้งเอนไซม์ตัวนี้จะทำให้ไม่ไปเกินกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานิน ผิวจะดูกระจ่างใสขึ้น

ส่วนอีกหนึ่งรูปแบบอย่าง Peroxidase  จะหมายถึงการยับยั้งเอนไซม์อื่น ๆ ที่สามารถพบได้ในเซลล์มนุษย์  

3. Moisturizing Products ผลิตภัณฑ์เพิ่มความชุ่มชื้น

นอกจากการทำความสะอาดผิว แล้วยังช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใส ผลิตภัณฑ์เพิ่มความชุ่มชื้นก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้ผิวดูขาวใส สวยเปล่งประกายเป็นธรรมชาติ ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะเรียกกันติดปากว่า moisturizer หรือมอยส์เจอไรเซอร์ นั่นเอง ซึ่งเป็นไอเทมที่สาว ๆ ขาดไม่ได้ เพราะว่าจะต้องบำรุงทุกวัน ด้วยคุณสมบัติที่จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับสาว ๆ ด้วย 

4. Anti-aging Products ผลิตภัณฑ์ชะลอวัย

สารต้านอนุมูลอิสระ เป็นอีกหนึ่งส่วนเสริมที่ช่วยลดริ้วรอย ซึ่งแน่นอนว่านี่คือสิ่งที่สาว ๆ ต้องการกับความหน้าเด็ก หน้าใส ดังนั้นผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจนี้ จึงเหมาะสำหรับคุณผู้หญิงที่อยากจะทำสักครั้งในชีวิต แล้วคุณเองก็จะเปลี่ยนไป สำหรับจุดเด่นของ Anti-aging Products นั้น จะสามารถผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป แต่แค่ไปสร้างผิวใหม่ ให้ดีกว่าเดิมด้วยนั่นเอง นี่แหละคือผลิตภัณฑ์ที่แก้ปัญหาในเรื่องของการช่วยฟื้นฟูผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

5. Antiperspirants & Deodorants Products ผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อและระงับกลิ่นกาย

เห็นแบบนี้ ผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อและระงับกลิ่นกาย จัดเป็นสกินแคร์อย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน เพราะว่าจะช่วยชำระล้างเรื่องกลิ่นกาย พร้อมกับส่งผลให้ผิวไม่เสียด้วย โดยจะมีจุดเด่นที่ให้คนทุกเพศทุกวัยได้พูดถึง กับสกินแคร์ที่จะเพิ่มความมั่นใจให้กับทุกคน มั่นใจว่าวันเหงื่อออกมาเยอะ แต่กลิ่นตัวก็ยังคงหอมแบบมั่นใจอยู่ 

6. Acne Product ผลิตภัณฑ์สิว

สกินแคร์ที่จะเน้นไปทางการรักษามากกว่าการบำรุง เพราะว่าผู้ที่มีปัญหาสิวนั้น จะต้องใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิว หรือว่าผู้ที่เป็นสิวประจำก็อาจจะต้องใช้สกินแคร์ในกลุ่มนี้ ส่วนประเภทของสิวนั้นก็มีหลากหลายรูปแบบ หลายชนิด ส่วนใหญ่แล้วจะขึ้นอยู่กับผิวหน้าด้วย แต่เมื่อไหร่ที่เป็นสิวก็จะต้องดูแลเป็นพิเศษ การใช้ครีม หรือสกินแคร์ที่บำรุงผิว ก็จะต้องคิดให้ดีก่อนใช้ เพราะอาจจะแพ้ระคายเคือง เกิดสิวเห่อหนักกว่าปกติได้ วิธีจัดการกับสิวฮอร์โมน

7. Sunscreen Products ผลิตภัณฑ์กันแดด

สำหรับครีมกันแดด คือพระเอกในเรื่องของการปกป้องผิวแบบ 90% โดยภายในครีมกันแดดจะประกอบไปด้วย เป็นส่วนประกอบของ Inorganic Sunscreens ที่เป็นกลุ่มที่ทำหน้าที่สะท้องแสงกลับไป หรือดูดแสงเอาไว้แล้วปล่อยออกมา ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งก็คือ Organic Sunscreens เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่จะทำหน้าที่ดูดซับ หรือดูดซึมแสงเอาไว้ แน่นอนเลยว่ายังไงก็แล้วแต่ครีมกันแดด ยังคงมาเป็นอันดับ 1 ในเรื่องของสกินแคร์ที่ปกป้องผิวเป็นด่านแรก ส่วนประเภทอื่น ๆ ก็จะมีความสำคัญเช่นเดียวกัน 


ส่วนผสมที่มักจะอยู่ในสกินแคร์

สกิลแคร์ จะมีส่วนผสมที่ทั้งปลอดภัย รวมทั้งส่วนผสมที่หลาย ๆ คนอาจจะแพ้สารดังกล่าวได้ แน่นอนว่าในช่วงสุดท้ายของบทความนี้ พวกเราจะขอแนะนำกับ ส่วนผสมที่อยู่ในตัวของสกินแคร์ พร้อมกับข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการเลือกใช้ การตรวจสอบสารเคมีในเครื่องสำอาง เป็นต้น ซึ่งนี่คืออีกหนึ่งความรู้ที่คุณเองจะต้องทำความเข้าใจก่อนจะใช้สกินแคร์อย่างจริงจัง โดยมีเรื่องที่คุณเองจะต้องรู้ดังต่อไปนี้

ส่วนผสมที่เสี่ยงแก่การแพ้

ข้อสำคัญสำหรับการเลือกซื้อสกินแคร์ ใครที่ผิวแพ้ง่ายก็จะต้องหลีกเลี่ยงสารอันตรายดังต่อไปนี้ 

  • สารกลุ่มซัลเฟต 
  • สารกันเสีย จะทำให้ผิวของเราระคายเคืองได้
  • น้ำหอม จะทำให้ผิวของเราระคายเคืองได้ 
  • สีสังเคราะห์ 
  • ฟอร์มาลดีไฮด์ 
  • สารปรอท 
  • แอลกอฮอล์ จะทำให้ผิวของเราระคายเคืองได้

ถึงแม้ว่าสารเหล่านี้จะมีส่วนผสมอยู่ในจำนวนที่ไม่มากนัก แต่ทว่าสามารถทำให้เกิดอันตรายต่อตัวเองได้ แต่จะต้องระวังเป็นอย่างมาก เพราะเป็นส่วนผสมที่อาจจะทำให้คุณแพ้ง่ายเช่นกัน 

ส่วนผสมที่สำคัญ

สำหรับสกินแคร์ โดยทั่วไปแล้วจะต้องเรียนรู้ส่วนผสมต่าง ๆ ด้วย ตัวอย่างเช่น ครีมที่ใช้ลดเลือนริ้วรอย จะพบเจอกับสาร Retinol จะช่วยลดเลือดริ้วรอยต่าง ๆ โดยส่วนใหญ่แล้วสร้างจากวิตามินเอ ใน่ส่วนของครีมที่เพิ่มความกระจ่างใส ก็จะมี L-Ascorbic Acid  ส่วนผสมที่สกัดมาจากวิตามินซีมีหลายอย่าง  หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า เรตินอล คืออะไร ?  ลองอ่านบทความนี้ดูก่อน

สกินแคร์ประเภทครีมกันแดด ก็จะมีค่า SPF และ PA  ที่สามารถปกป้องผิวจากแสงแดดได้ ซึ่งจะแนะนำค่า SPF ที่ปกป้องผิวเราจากแสง UVB ค่า SPF ที่แนะนำก็คือ 30 ขึ้นไป 


จะเห็นได้เลยว่า สกินแคร์มีอะไรบ้าง ซึ่ง “สกินแคร์” เป็นเหมือนอีกหนึ่งเรื่องที่เล็ก ๆ แต่เมื่อได้ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ จะทำให้คุณกลับมารักสุขภาพผิวมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะเป็นจุดที่ดูแลง่ายก็ตาม แต่ทว่าความบอบบาง รวมทั้งการระคายเคืองที่อาจจะทำให้ผิวของคุณเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงเช่นกัน สำหรับทั้งหมดนี่ก็คือเรื่องราวของ ความหมายของ “สกินแคร์” ที่พวกเราได้รวบรวมมาให้อ่านกันหลายประเภท ซึ่งแต่ละแบบก็ตอบโจทย์สำหรับคนรักสุขภาพทั้งหมด สำหรับในช่วงนี้ทั้งอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย โรคระบาด COVID-19 ยังคงมีผู้ติดเชื้อเรื่อย ๆเช่นเดิม และทั้งหมดนี่ก็คือ เรื่องราวของสกินแคร์ที่พวกเราได้รวบรวมมาพวกเราหวังว่าจะเป็นข้อมูลดี ๆ ให้กับผู้ที่อยากจะหันมาดูแลสุขภาพกันด้วย


อ้างอิง

skin

วิธีรักษาฝ้ากระให้หายขาด บอกลาปัญหาผิวที่กวนใจสาว ๆ มากที่สุด

September 14, 2022
วิธีรักษาฝ้ากระให้หายขาด

วิธีรักษาฝ้ากระให้หายขาด บอกลาปัญหาผิวที่กวนใจสาว ๆ มากที่สุด

ฝ้า หรือ กระ เป็นอีกหนึ่งปัญหาผิวที่กวนใจเหล่าสาว ๆ มากที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นอีกหนึ่งอุปสรรค บดบังความสวยงาม พร้อมทั้งปัญหาเรื่องการแต่งหน้าที่จะต้องยากขึ้นมากกว่าเดิมด้วย แต่ทว่าวิธีรักษา หรือวิธีดูแลผิว ก็มีหลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นวิธีการทางธรรมชาติ หรือการใช้ครีมลดฝ้า กระ รวมไปถึงการดูแลผิวในแบบฉบับที่ต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะเห็นผล หรือบางคนจะต้องเสียเงินไปทำเลเซอร์ ในคลินิกเสริมความงาม แต่ถ้าจะรักษาให้หายขาด บอกเลยว่าคุณเองก็ทำได้ ซึ่งวันนี้พวกเราจะพาไปรู้จักกับปัญหาผิวที่พูดถึงอยู่นี้ ทั้งสาเหตุ วิธีรักษาฝ้ากระให้หายขาด พร้อมทั้งเผยเคล็ดลับการดูแลผิวหน้า ผิวกาย ให้ดูสวยสดใส อย่างสม่ำเสมอ ติดตามอ่านกันได้ในบทความนี้


ฝ้า กระ เกิดขึ้นได้อย่างไร

ปัญหาเรื่องผิวหน้า เป็นอะไรที่ค่อนข้างลำบากใจสำหรับสาว ๆ ที่รักสวย รักงาม หรือดูแลผิวหน้าอย่างสม่ำเสมอ แน่นอนเลยว่า ฝ้า หรือ กระ มักจะเป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญ ที่ทำให้คุณหนักใจ ก่อนอื่นเลยต้องขอบอกสาเหตุของการเกิดฝ้า พร้อมทั้งประเภทของฝ้า จะมีดังต่อไปนี้

การเกิดฝ้า

วิธีรักษาฝ้ากระให้หายขาด

ฝ้า Melasma จะเกิดจากปัญหาผิวหน้าที่มีเซลล์เม็ดสีใต้ชั้นผิวหนัง หรือเม็ดสีเมลานินทำงานผิดปกติ ซึ่งจะมีสาเหตุหลักที่ทำให้เม็ดสีทำงานผิดปกตินั่นก็คือ “รังสียูวี” หรือ “แสงแดด” นั่นเอง เมื่อเม็ดสีเมลานินที่ทำหน้าที่กรองรังสียูวีจากแสงแดด ได้รับแสงแดดมากเกินไป ตัวของเมลานินจึงต้องป้องกันผิวด้วยการผลิตออกมามากขึ้น จึงเกิดเป็นฝ้า ที่มีลักษณะสีดำอมน้ำตาล อาจจะเข้มกว่าสีผิว หรืออาจจะขึ้นเป็นแถบ หรือปื้น บริเวณใบหน้านั่นเอง โดยส่วนที่เกิดขึ้นบ่อยก็คือ โหนกแก้ม รวมทั้งบริเวณอื่น เช่น หน้าผาก จมูก เหนือคิ้ว และริมฝีปากด้วย โดยฝ้าที่เกิดขึ้นบริเวณใบหน้า จะแบ่งเป็น 4 ประเภทก็คือ 

  • ฝ้าแบบลึก จะมีลักษณะสีน้ำตาลอมฟ้า จะอยู่ในระดับที่ลึกกว่าผิวหนังกำพร้า พร้อมทั้งความลึกจะทำให้เกิดสีออกมาเป็นสีน้ำตาลอมฟ้า หรืออมม่วง จัดได้ว่าอยู่ในประเภทที่รักษาได้ยากแล้ว 
  • ฝ้าแบบตื้น จะมีลักษณะเป็นสีน้ำตาล มีขอบชัด จะอยู่ในระดับผิวหนังกำพร้า หรือผิวหนังชั้นนอก การรักษายังทำได้ง่ายอยู่ แต่ก็ขึ้นอยู่กับผิวของแต่ละคน 
  • ฝ้าผสม จะเป็นฝ้าแบบตื้นกับแบบลึกผสมกัน ซึ่งจะพบเจอได้มากที่สุดในผู้ที่พบเจอปัญหาเรื่องฝ้าบ่อย
  • ฝ้าที่แยกไม่ได้ ในลักษณะนี้จะแยกฝ้าออกไม่ได้ว่าเป็นฝ้าแบบลึก หรือ แบบตื้น แต่ก็จะพบในหมู่คนผิวสีซะส่วนใหญ่ โดยจะแบ่งออกเป็น ฝ้าแดด กับ ฝ้าเลือด 

จะเห็นได้ว่าประเภทของฝ้าที่หลากหลาย เกิดขึ้นได้หลายกรณี ตัวอย่างเช่นบางรายก็เพิ่งจะเริ่มเป็น ส่วนบางรายเริ่มเป็นแล้วไม่ได้รักษาทันที ก็จะทำให้จัดอยู่ในลักษณะฝ้าลึก ซึ่งรักษาได้ยาก 

การเกิด กระ

วิธีรักษาฝ้ากระให้หายขาด

การเกิด กระ จะแตกต่างกันคือ ลักษณะของกระ จะเป็นจุดเล็ก ๆ สีน้ำตาลอ่อน กระจายตัวอยู่ตามผิวหนังส่วนต่าง  ๆ ของร่างกาย สาเหตุก็คือ เกิดจากที่เซลล์สร้างเม็ดสี หรือเมลานินทำงานผิดปกติ จึงเกิดการสร้างเม็ดสีมากขึ้น เกิดเป็นริ้วรอย พร้อมกับจุดด่างดำเล็ก ๆ อีกด้วย นอกจากนั้นแล้วยังมีอีกหลายเหตุผลเลยที่ทำให้เกิด “กระ” ซึ่งมีดังต่อไปนี้ 

  • พันธุกรรม เป็นสิ่งที่ลูกหลานจะหนีไม่พ้น เพราะการสืบทอดทางพันธุกรรม ก็มักจะตามมาหลายโรค ซึ่งมีโอกาสเกิดกับไม่มีโอกาสเกิดก็เป็นไปได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าโดนแสงแดดมากน้อยเท่าไหร่ แต่ถ้ามีเชื้อที่จะเกิด “กระ” ยังไงก็มีโอกาสที่จะเป็นแน่นอน
  • สาเหตุเรื่องอายุ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน เพราะอายุที่มากขึ้นทุกปี สำหรับวัยทำงาน เข้าสู่วัยทอง และวัยชรา เรื่องการเกิดกระ จะดูเป็นเรื่องปกติไปเลยในทันที อีกทั้งมีโอกาสที่เป็น “กระเนื้อ” ที่มีสีเข้ม มีลักษณะนูนขึ้นด้วย 
  • สภาพแวดล้อม แสงแดด การเกิดกระจะมาพร้อมกับฝ้า ซึ่งเกิดจากสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี เช่น มีมลพิษ สารเคมี หรืออากาศที่ร้อนจัด การแพ้เหงื่อ หรือแพ้ฝุ่น ทุกสาเหตุเกิดขึ้นได้ อีกทั้งการได้รับรังสียูวี จากแสงแดดอยู่บ่อย ๆ ก็ทำให้เกิดกระได้เช่นเดียวกัน 

ความแตกต่าง ระหว่าง ฝ้า และ กระ 

ถ้าอ่านมาถึงจุดนี้จะเข้าใจได้ว่า ความแตกต่างของฝ้า กับ กระ จะมีลักษณะที่แตกต่างกันได้อย่างชัดเจน โดยทางตัวของฝ้า จะมีลักษณะเป็นสีดำอมน้ำตาล อาจจะเข้มกว่าสีผิว หรืออาจจะขึ้นเป็นแถบ หรือปื้น บริเวณใบหน้า เกิดขึ้นได้จากการรับรังสียูวี หรือ แสงแดดที่มากเกินไป 

ส่วนทางด้านของ การเกิด “กระ” มีลักษณะเป็นจุดเล็ก ๆ กลม ๆ ทั่วไปหน้ากระจายกัน มีสีน้ำตาลอ่อน ขอบชัดเจน ส่วนการเกิดก็จะมีด้วยกันหลายสาเหตุ เริ่มจากการถูกแสงแดดมากเกินไป รวมทั้งปัจจัยสภาพแวดล้อม สารเคมี ที่สำคัญการเกิดขึ้นจากพันธุกรรม หรืออายุที่มากขึ้น ก็ทำให้เกิดกระด้วยเช่นเดียวกัน นี่แหละคือข้อแตกต่าง


วิธีรักษาฝ้า

วิธีรักษาฝ้า

การรักษาฝ้าทำได้ แต่สิ่งที่ทำไม่ได้ก็คือ การรักษาให้หายขาด ไม่กลับมาเป็นอีกครั้งนั้นยังทำไม่ได้ แต่ถ้าจะทำให้จางลงนั้น สามารถทำได้ โดยฝ้าที่เกิดจากฮอร์โมน ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ หรือการทานยาคุมกำเนิด หรือได้รับการรักษาด้วยการใช้ฮอร์โมน ซึ่งการรักษาฝ้านั้นจะต้องค่อยทำไปทีละขั้นตอนถึงจะเห็นผลชัดเจน โดยมีการรักษาดังต่อไปนี้

  • การรักษาด้วยการใช้ยา จะเป็นการใช้ยาในรูปแบบของครีมรักษาฝ้า ส่วนผสมที่จะช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสี ตัวอย่างเช่น ยากรดวิตามินเอ กับยาในกลุ่มทรานิซามิก จะเป็นครีมที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ ซึ่งจะช่วยให้ฝ้าลดลง แต่ทว่าครีมไวท์เทนนิ่งในแบบอื่น ๆ ก็ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ เพราะอาจจะทำให้ระคายเคืองต่อผิวได้ รู้จักกับ เรตินอลส่วนผสมที่สำคัญในสกินแคร์
  • การรักษาด้วยเลเซอร์ผลัดเซลล์ผิวหนัง นับได้ว่าเป็นการรักษาฝ้าแบบด่วน เห็นผลเร็ว ได้รับความนิยม แต่ทว่าผลของการรักษายังไม่แน่นอน เพราะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลที่จะหาย บางรายแค่จางลง แต่ไม่มากนัก 
  • รักษาฝ้า ด้วยสมุนไพร วิธีธรรมชาติ เป็นอีกหนึ่งทางแบบง่าย ๆ ในการผลัดเซลลืผิวหนัง กับ สมุนไพรที่มีคุณสมบัติผลัดเซลล์ผิว แต่ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ถ้าหากทำบ่อย ผิวก็จะแพ้ง่ายด้วย ต้องระวัง
  • รักษาด้วยการฉีดวิตามินผิว หรือการฉีดเมโสหน้าใส การรักษาด้วยวิธีแบบนี้ จะช่วยให้ผิวของคุณไม่คล้ำเสียง่าย รวมไปถึงฟื้นฟูผิวในจุดที่เสียไป ลดการเกิดเม็ดสีเมลานิน ให้ผิวขาวกระจ่างใส เสริมสร้างคอลลาเจน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว ดูเป็นธรรมชาติ 

วิธีรักษากระ

วิธีรักษากระ

ก่อนที่จะทำการรักษากระ จะต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ตัวเรานั้นเกิดกระในระยะไหน ซึ่งมีตั้งแต่การรักษากระแบบตื้น แบบลึก หรือกระแดด เพราะแต่ละแบบถ้าจะให้จางลง ก็ต้องใช้การรักษาด้วยเลเซอร์เท่านั้น โดยมีข้อมูลจากการเลเซอร์มาแล้วดังนี้ 

  • การรักษากระตื้น ด้วยเลเซอร์ จะใช้เลเซอร์รักษาเฉพาะเม็ดสี เพื่อทำลายเม็ดสีเมลานีน เฉลี่ยแล้วรักษา 3 ครั้ง ร่วมกับการใช้เลเซอร์ดึงเม็ดสีออก หรือใช้เลเซอร์ลดเม็ดสี เพื่อให้เม็ดสีนั้นจางลง ไม่กลับมาเข้มอีก 
  • การรักษากระลึก ด้วยเลเซอร์ ในกรณีที่กระลึก จะทำการรักษาค่อนข้างยาก ใช้เวลา ดังนั้นแล้วจะใช้เลเซอร์รักษาเม็ดสีเฉพาะเข้าไปทำให้เม็ดสีนั้นแตกออกเป็นเม็ดเล็ก จากนั้นเม็ดเลือดขาวก็จะมากำจัดเม็ดสีตามธรรมชาติ โดยการรักษาเฉลี่ย 6 ครั้งขึ้นไป ร่วมกับการรักษาเลเซอร์ดึงเม็ดสีออก ส่งผลดีในระยะยาว
  • การรักษากระแดด สามารถทำได้ด้วยการใช้เลเซอร์ดึงเม็ดสีออกเช่นเดียวกัน 

สำหรับการรักษากระ จะมีความคล้ายกันกับ การรักษาฝ้า ซึ่งเป็นการใช้วิธีที่คล้ายกัน แต่ในตัวของกระจะมีการใช้เลเซอร์เพื่อรักษาแบบตรงจุด แต่ถ้าใครอยากที่จะหายแต่ใช้วิธีทางธรรมชาติ ก็ใช้เวลาในการรักษาสักหน่อย แต่ในปัจจุบันการทำเลเซอร์ก็ถือว่าได้รับการยอมรับว่า ฝ้า และ กระ จางลงได้อย่างแท้จริง 

และเรื่องสุดท้ายของบทความนี้ ก็คือ การป้องกันไม่ให้ฝ้า หรือ กระ เกิดขึ้นบนใบหน้า เพราะใบหน้าคือจุดสำคัญสำหรับสาว ๆ เพราะไม่อยากจะให้เจ้าพวกนี้มากวนใจ แล้วจะต้องทำอย่างไรบ้างนั้น วันนี้พวกเรามีคำตอบมาบอก พร้อมกับเคล็ดลับแนะนำ สาว ๆ ให้ผิวสุขภาพดีด้วย ซึ่งจะมีวิธีดังต่อไปนี้ 


วิธีป้องกันฝ้า กระ

การป้องกันฝ้า กระ ถ้าพูดกันให้เข้าใจง่ายก็คือ ต้องหลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เกิด นั่นก็คือ รังสียูวี หรือแสงแดด ทั้งแดดจัด หรือแดดอ่อนก็มีอันตรายทั้งนั้น ส่วนวิธีที่จะป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาผิวสุดกวนใจนี้ จะต้องทำตามวิธีดังต่อไปนี้ 

  • ให้หลีกเลี่ยงแสงแดด เพราะแสงแดดในช่วง 10 โมงเช้า ไปจนถึง 4 โมงเย็น จัดได้ว่าเป็นช่วงที่มีรังสียูวีมาก ดังนั้นแล้ว เมื่อจะต้องมีความจำเป็นออกจากบ้าน ควรสวมหมวก เสื้อแขนยาว หรือใช้ผ้าคลุม ติดไปด้วย 
  • ครีมกันแดด สำคัญเสมอ นอกจากการใส่หมวก หรือเสื้อแขนยาวยังไม่พอ เพราะจะมีบางครั้งที่อาจจะถูกแสงแดดได้โดยตรง ดังนั้นการทาครีมกันแดด ที่มี SPF30+ ขึ้นไป ก็จะช่วยป้องกันรังสียูวีเอ ยูวีบี ที่เป็นสาเหตุของการเกิดฝ้าได้เป็นอย่างดี ส่วนครีมกันแดดยี่ห้อไหน ? หรือแบรนด์ไหนก็ต้องศึกษาผลิตภัณฑ์ก่อนซื้อใช้ทุกครั้งด้วย เพราะส่วนผสมบางอย่างเราอาจจะเกิดอาการแพ้ได้ รวมถึงการใช้แค่กันแดดอาจไม่พอ บำรุงด้วย 3 ตัวช่วยปกป้องผิว
  • ใส่ใจ ดูแลผิวหน้า สม่ำเสมอ วิธีนี้สำคัญมาก เพราะสุขภาพผิวหน้าจะดี ก็ต้องดูแลรักษา เติมอาหารให้ผิวหน้าอย่างสม่ำเสมอ มีการบำรุงผิวทั้งในรูปแบบของธรรมชาติ ก็คือการใช้ชีวิต การพักผ่อนให้เพียงพอ ก็ส่งผลให้สุขภาพผิวดีเช่นเดียวกัน 
  • หลีกเลี่ยงยา กับฮอร์โมนที่เป็นต้นเหตุของการเกิดฝ้า การกินยาคุมกำเนิด เป็นสาเหตุหลักเลย ดังนั้นต้องปรึกษาแพทย์ด้วยเสมอ 
  • หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่เสี่ยง โดยเฉพาะครีม แป้ง ที่ไม่ได้มาตรฐาน เพราะจะทำให้หน้าของคุณที่สวย ๆ พังลงได้ ด้วยเวลาอันรวดเร็ว เพราะนอกจากฝ้าแล้ว อาจจะพบเจอกับปัญหาสิวตามมาด้วย 

กิน คอลลาเจน ส่งผลให้ผิวสวย

กิน คอลลาเจน ส่งผลให้ผิวสวย

เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้ผิวหน้า รวมทั้งผิวกายของเรา ห่างไกลจากฝ้า กระ จุดด่างดำ เพราะว่าการกิน “คอลลาเจน” เสริมเข้าไป จะทำให้ร่างกายได้รับโปรตีนที่มีประโยชน์ เข้าไปช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ ของร่างกาย ตัวอย่างเช่น ผิวหน้า กับ ผิวกายของเรา จะต้องมีคอลลาเจน เพราะจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น รักษาโรคผิวหนังอื่น ๆ เช่น ผิวแห้งกร้าน ผิวแพ้ง่าย หรือคุณอาจสนใจ วิธีขัดผิวขาวด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติ

สำหรับคอลลาเจนนั้น ส่วนมากจะเป็นอาหารเสริมที่ทำมาจากกระดูกของสัตว์ หนังของวัว เกล็ดปลา จึงเป็นของที่กินได้ ปลอดภัย ไม่แพ้ ทานได้ทุกเพศ ทุกวัย เป็นอาหารเสริมในยุคปัจจุบัน ที่ได้รับความนิยม อีกทั้งเห็นผลว่าผิวสวย ผิวใส สุขภาพดีขึ้นจริง กับ การทานคอลลาเจน นั่นเอง เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับที่จะช่วยให้สาว ๆ ให้ผิวหน้าสวย สดใส ดูเป็นธรรมชาติ รวมทั้งสุขภาพร่างกายก็แข็งแรงตามไปด้วย 

เป็นอีกหนึ่งเรื่องกวนใจสำหรับคุณผู้หญิง ผิวที่เป็นฝ้า หรือ ผิวหน้าที่เป็นกระ ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น ดังนั้นแล้วเราต้องมองหาวิธีป้องกัน หรือ เคล็ดลับต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ปัญหากวนใจเหล่านี้ ให้หายขาดไปให้จงได้ สำหรับใครที่เคยเป็นฝ้า ได้รับการรักษาแล้วก็ต้องหมั่นดูแลตัวเองให้ดี เพราะฝ้า กับ กระ ไม่ได้หายขาด แต่กลับมาเป็นใหม่ได้ ถ้าคุณยังเป็นเหมือนเดิม ดังนั้นแล้วเริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการดูแลตัวเอง ใส่ใจตัวเอง แล้วปัญหาเรื่องนี้จะหมดไป และทั้งหมดนี่ก็คือ วิธีรักษาฝ้ากระให้หายขาด บอกลาปัญหาผิวที่กวนใจสาว ๆ มากที่สุด


อ้างอิง

skin

รูขุมขนกว้างทำไงดี  รวมวิธีให้ผิวกลับมากระชับดังเดิม 

August 9, 2022
รูขุมขนกว้างทำไงดี

รูขุมขนกว้างทำไงดี ? รวมวิธีให้ผิวกลับมากระชับดังเดิม

รูขุมขนกว้างทำไงดี ? รูขุมขนกว้าง เป็นฝันร้ายของใครหลาย ๆ คนที่ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น เพราะเมื่อรูขุมขนกว้าง แต่งหน้ายากแถมบางครั้งหน้าแห้งหรือหน้ามันเกินไปจนสูญเสียความมั่นใจ บวกกับอายุที่เพิ่มมากขึ้น การทำงานสะสมความเครียด การนอนน้อยก็ยิ่งทำให้ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง มองดูใบหน้าที่รูขุมขนกว้างด้วยความท้อใจ แต่รูขุมขนกว้างนั้นเราจะสังเกตได้ว่าช่วงอายุน้อยใบหน้าของทุกคนต่างสดใสไร้รูขุมขน แล้วสาเหตุอะไรนะทีเกิดรูขุมขนกว้างขึ้นได้


รูขุมขนกว้างเกิดจากอะไร

รูขุมขนกว้างทำไงดี

รูขุมขนกว้างเกิดจากปัจจัยหลัก 2 อย่างคือ ปัจจัยภายนอกและปัจจัยจากภายใน ซึ่งสาเหตุการเกิดขึ้นก็มีย่อยไปอีก ได้แก่

ปัจจัยภายใน

  • พันธุกรรม เป็นสาเหตุที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย เพราะยีนส์พันธุกรรมที่ส่งผ่านต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ก็ไม่เศร้าใจไป เพราะยังมีวิธีบำรุงผิวหน้าให้คงความกระชับแน่นอน
  • ช่วงอายุ แน่นอนว่าเมื่อเราเข้าสู่วัยหนุ่มสาว ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง มีการสร้างฮอร์โมนออกมาอย่างมากมาย กระตุ้นชั้นในมันใต้ผิวออกมานั่นเอง ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดในเพศชาย แต่ในเพศหญิงก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
  • สภาพผิวส่วนบุคคล ผิวมัน ผิวแห้ง หรือผิวขาดน้ำ การที่ผิวเสียความสมดุลก็จะเกิดสภาวะรูขุมขนกว้าง
  • ผิวผลิตคอลลาเจนน้อยลง ทำให้ชั้นผิวอิลาสตินของเราไม่แข็งแรง การฟื้นฟูผิวทำได้ไม่เต็มที่

ปัจจัยภายนอก

  • สภาพอากาศและสภาพแวดล้อม สภาพอากาศนั้นเป็นปัจจัยภายนอกที่พบบ่อยที่สุดก็ว่าได้ ถ้าเราอาศัยในสภาพภูมิประเทศเขตร้อนชื้น ผิวหนังของเราก็จะระบายความร้อนออกมาพร้อมกับขับน้้ำมันใต้ผิว หรืออากาศในประเทศที่อากาศแห้งหนาว ใบหน้าก็จะแห้งไม่ชุ่มชื้น หากไม่ได้บำรุงผิวหน้าที่เหมาะสมก็จะเกิดรูขุมขนกว้างขึ้น หรือสภาพอากาศที่มีมลภาวะสูง เกิดการสะสมฝุ่นละอองพิษทำให้เกิดการอุดตันใบหน้า รูขุมขนขยายกว้างที่ฝุ่นสะสมได้ด้วยเช่นกัน
  • การบำรุงผิวหน้าที่ไม่ถูกต้อง ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจสภาพของผิวหน้าว่าแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน คุณมีผิวหน้าแบบไหน สังเกตได้ง่าย ๆ หลังล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า ดังนี้
    • ผิวแห้ง หลังล้างหน้าแล้วรู้สึกหน้าตึง ผิวแห้งกร้าน
    • ผิวมัน หลังล้างหน้าแล้วผิวสร้างชั้นน้ำมันออกมาทั่วบริเวณใบหน้าเหมือนฟิล์มเคลือบบาง ๆ
    • ผิวขาดน้ำ หลังล้างหน้า ช่วงผิวบริเวณหน้าผากและจมูกมีน้ำมันออกมาบาง ๆ หรือผิวบริเวณแก้มกับคางมีน้ำมันออกมา รวม สูตรมาร์กหน้าเพิ่มความชุ่มชื่น

ซึ่งแต่ละสภาพผิวก็ต้องมีการบำรุงที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน เพราะการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมกับผิว สามารถทำให้ผิวหน้าเสียหายและเกิดปัญหาเพิ่มเติมได้


รูขุมขนกว้างทำไงดี  ? ทำอย่างไรอยากให้รูขุมขนกระชับขึ้น

รูขุมขนกว้างทำไงดี

1. ใช้ผลิตภันฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวหน้า และเลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์ให้ถูกกับผิว

    • ผิวแห้ง การที่ผิวแห้งกร้านมาก เซลล์ที่หลุดลอกออกมาไม่หมดจะเกิดการทับถมเซลล์ที่ตายแล้วอุดตันบนใบหน้า ฉะนั้นควรเลือกบำรุงหน้าด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์เนื้อครีม โดยก่อนจะลงเนื้อครีมบนใบหน้าควรล้างมือให้สะอาด ปาดเนื้อครีมลงบนฝ่ามือหนึ่งนิ้วแล้ววนฝ่ามือประมาณสามครั้ง แล้วนำมือทั้งสองข้างนาบบนลงแก้ม จมูก หน้าผาก คางและบริเวณคอ เป็นการวอร์มอัปครีมและเลี่ยงการอุดตันนั่นเอง
    • ผิวมัน ผิวประเภทนี้บางคนอาจละเลยว่าหน้ามันพอแล้ว ไม่ต้องการครีมบำรุงอะไรให้เหนียวเหนอะหนะ หรือใช้แค่เพียงโทนเนอร์ปรับสภาพผิวเท่านั้น แต่รู้ไหมว่าการใช้ครีมบำรุงนั้นสำคัญเช่นกัน เพราะผิวได้ขับน้ำมันออกมา ทำให้ส่วนชั้นภายในกลับแห้งไม่ชุ่มชื้น ควรเลือกบำรุงหน้าด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์เนื้อเจลหรือเนื้อโลชั่นที่มีความเข้มข้นน้อยกว่าเนื้อครีม แนะนำ วิธีลดความมันบนใบหน้า เพื่อป้องกันการเกิดสิว
    • ผิวขาดน้ำ สามารถเลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์รูปแบบใดก็ได้ตามที่ต้องการ แต่หากเป็นเนื้อครีมหนักก็แนะนำว่าให้วอร์มอัปครีมก่อนลงบนในหน้าเสมอ และครีมนั้นควรมีส่วนผสมของ กรดไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) หรือเซราไมด์ (Ceraminde) ที่จะช่วยฟื้นฟูผิวจากการขาดน้ำ

2. ทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ

การทาครีมกันแดดร่วมกับการบำรุงผิวหน้าถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผิวแข็งแรงและรูขุมขนกระชับขึ้น  สาเหตุนั้นเป็นเพราะไม่ว่าจะอยู่ในภูมิอากาศใด แสงแดดก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผิวแห้งกร้าน หรือขับความร้อนออกมาจากร่างกายด้วยรังสียูวี การที่สะสมแสงแดดมาก ๆ โดยไม่ได้รับการป้องกัน ผิวก็จะหย่อยคล้อยและชั้นใต้ผิวหนังก็อ่อนแอลง แนะนำว่าก่อนอกจากบ้านทุกครั้งควรทาครีมกันแดดที่มี SPF 30 PA+++ ขึ้นไปเท่านั้น และทาย้ำทุก ๆ 4 ชั่วโมง หากออกแดดทั้งวัน เพื่อเป็นการเติมเกราะป้องกันผิวนั่นเอง

3. หัตถการทางการแพทย์

เหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลา และต้องการผลลัพธ์ที่เร่งด่วน รวดเร็ว ปัจจุบันมีวิธีการและเครื่องมือมากมายที่ช่วยให้รูขุมขนกระชับขึ้น ซึ่งแต่ละวิธีต้องปรึกษาแพทย์ก่อนทำเท่านั้น

  • Botox รู้หรือไม่ว่า โบท็อกซ์ช่วยเรื่องรูขุมขนบนใบหน้าด้วยนะ เพราะโบท็อกซ์จะถูกฉีดไปจะฉีดเข้าบริเวณต่อมไขมันและกล้ามเนื้อ ทำให้ต่อมไขมันหดเล็กลง และกระตุ้นผิวหนังให้สร้างคอลลาเจนมาฟื้นฟูผิว ทำให้รูขุมขนกระชับขึ้นและใบหน้าเรียบเนียนไร้ริ้วรอย โดยภายใน 1 สัปดาห์จะเห็นผลอย่างเต็มที่ และตัวยาโบท็อกซ์อยู่ได้นานสูงสุดถึง 6 เดือนแล้วแต่การรักษาและพฤติกรรมประจำวันส่วนบุคคล
  • Mesotherapy เป็นการฉีดสารบำรุงเข้าไปในผิวและกระตุ้นให้ผิวทำงานได้ดียิ่งขึ้น เหมาะกับสายขี้เกียจทาสกินแคร์แต่ต้องการหน้าสวยฉ่ำอย่างรวดเร็ว โดยตัวยาจะถูกฉีดเข้าไปชั้นผิวหนังทำให้ต่อมไขมันทำงานน้อยลง ส่งผลให้หน้ามันน้อยลง รูขุมขนกว้างกลับกระชับขึ้น
  • Laser การทำเลเซอร์ในระดับที่เหมาะสม จะกระตุ้นผิวให้สร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ส่งผลให้ผิวขาวใส เรียบเนียน แต่วิธีนี้ต้องคอยบำรุงหน้าให้ชุ่มชื้นและหลีกเลี่ยงแสงแดด
  • Thermage เหมาะกับบุคคลที่มีไขมันบริเวณบนใบหน้าเยอะ วิธีทำก็คือยิงคลื่น Radio Frequency (RF) สู่ชั้นผิวหนังและชั้นไขมัน กระตุ้นให้ผิวผลิตคอลลาเจน ทำให้ผิวชั้นลึกแน่นฟู ผิวชั้นนอกเรียบเนียนขึ้น และสามารถคงผลลัพธ์นี้ได้ระยะยาว โดยสามารถทำแล้วกลับบ้านได้เลย ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น
  • Hifu Macrofocus เป็นนวัตกรรมโดยใช้คลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ ยิงเป็นจุดพลังงานลงไปใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวยกกระชับและหกตัว การทำอาจเกิดรอยแดง แต่จะหายไปได้เองภายใน 2 ชั่วโมง

4. บริโภคอาหารเสริมจากภายในด้วยคอลลาเจน

แน่นอนว่าการรับประทานคอลลาเจนจะช่วยให้ผิวกระชับขึ้นจากภายในสู่ภายนอก เพราะกลไกการทำงานของผิว คอลาเจนเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในโปรตีนที่ช่วยสร้างชั้นผิวหนังทั้งภายนอกและภายใน การบริโภคคอลลาเจนอย่างสม่ำเสมอ นอกจากจะช่วยให้ผิวสวย เปล่งประกาย อวัยวะภายในทำงานเป็นปกติแล้ว ก็ยังเป็นการทริคให้ร่างกายคอยดื่มน้ำเปล่าเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวอีกด้วย นอกจากนี้ คอลลาเจนยังช่วยลดริ้วรอยใต้ตา ได้ด้วย

เมื่อเพื่อน ๆ ได้ทราบสาเหตุว่ารูขุมขนเกิดขึ้นจากอะไรบ้าง ก็จะสามารถแก้ปัญหาบำรุงได้ตรงจุดและรวดเร็ว ฉะนั้นแม้ว่าการที่ใบหน้ามีรูขุมขนกว้างนั้นทำให้สูญเสียความมั่นใจ แต่มนุษย์ทุกคนเกิดมาและมีรูขุมขนบนใบหน้านั้นเป็นเรื่องปกติและกลไกทำงานของร่างกายต่างรักษาสมดุล ฉะนั้นไม่ต้องกังวลใจไปเพราะมีวิธีป้องกันให้เกิดและหลากหลายวิธีการที่จะทำให้เพื่อน ๆ กลับมามั่นใจได้อีกครั้งพร้อมอวดผิวสวยดังเดิม


อ้างอิง

skin

เซ็บเดิร์ม รักษาอย่างไร จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็น “โรคเซ็บเดิร์ม”

July 9, 2021
โรค เซ็บเดิร์ม รักษา อย่างไร

โรคเซ็บเดิร์ม เป็นภาวะผิวหนังทั่วไปที่ส่งผลต่อหนังศีรษะ ใบหน้า และส่วนอื่น ๆ ของร่างกายที่มีต่อมน้ำมันเข้มข้นสูง มีลักษณะเป็นผื่นแดง ผิวหนังอักเสบ และมีเกล็ดสีขาวหรือเหลืองเป็นขุย ซึ่งอาจทำให้รู้สึกคันและไม่สบายตัวได้ สาเหตุที่แท้จริงของ โรคเซ็บเดิร์มยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่คาดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของยีสต์บนผิวหนัง เช่นเดียวกับปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรค ได้แก่ ความเครียด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน อากาศหนาว และสภาวะทางการแพทย์บางอย่าง แล้วโรค เซ็บเดิร์ม รักษา ได้อย่างไร ? ก่อนอื่นเรามาดูอาการของโรคนี้กันก่อน

อาการของโรคเซ็บเดิร์ม

อาการของโรค เซ็บเดิร์ม รักษา อย่างไร

โรคเซ็บเดิร์ม เป็นโรคผิวหนังที่มีภาวะอักเสบจากต่อมไขมันในชั้นผิวหนัง อธิบายง่าย ๆ คือ เมื่อเป็นโรคเซ็บเดิร์มจะเกิดผื่นแดงตามผิวหนัง ขอบไม่ชัด ลอกเป็นแผ่น ตกสะเก็ดคล้ายรังแค มักเป็น ๆ หาย ๆ ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยบริเวณหนังศีรษะ, ใบหน้า, เปลือกตา, หน้าอก และแผ่นหลัง นอกจากนี้การเจ็บป่วยจากโรคหรือภาวะบางอย่าง เช่น โรคเกี่ยวกับระบบประสาทและโรคทางจิต เช่น โรคพาร์กินสัน โรคตับอ่อนอักเสบ พิษสุราเรื้อรัง และมะเร็งบางชนิด โรคเกี่ยวกับระบบต่อมไร้ท่อที่เป็นสาเหตุของโรคอ้วน เช่น เบาหวาน ก็เป็นอีกปัจจัยที่เสี่ยงต่อการเกิดเซ็บเดิร์มได้

เซ็บเดิร์มมีลักษณะและอาการดังนี้

  • ผมร่วงบริเวณหนังศรีษะที่เป็นเซ็บเดิร์ม
  • ผิวหนังในบริเวณเป็นเซ็บเดิร์มจะมีความมัน
  • มีอาการแดง คัน
  • ผิวลอก ตกสะเก็ด บางครั้งสะเก็ดที่หลุดลอกอาจจะเป็นสีเหลือง หรือขาว ที่เรียกว่ารังแค อาจจะเป็นได้บริเวณ ผม คิ้ว

อาการของเซ็บเดิร์มอาจมีลักษณะคล้ายกับโรคผิวหนังบางชนิด เช่น สิว สังเกตได้จากหากเป็นสิวอุดตัน จะมีลักษณะเป็นเม็ดเล็ก ๆ หัวปิดหัวเปิด ตุ่มดำ ตุ่มหนอง ตุ่มอักเสบ นอกจากนี้ก็ยังมีโรค SLE หรือโรคพุ่มพวง ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่สามารถแยกออกจากกันได้ เนื่องจากโรค SLE จะมีลักษณะเป็นผื่นแดงที่ข้างแก้มเหมือนปีกผีเสื้อ และไม่ได้อยู่ชิดบริเวณข้างจมูกเหมือนกับผื่นเซ็บเดิร์ม

อีกหนึ่งโรคที่มีผื่นขึ้นคล้ายกันก็คือ โรคผื่นแพ้สัมผัส ซึ่งลักษณะของผื่นคล้ายกับเซ็บเดิร์มมาก แต่เมื่อตรวจอย่างละเอียดจะสามารถแยกความแตกต่างระหว่างสองโรคได้ เพราะส่วนมากผู้ที่เป็นผื่นแพ้สัมผัสมักมีการเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ดูแลผิวใหม่ภายใน 1-2 สัปดาห์ ที่ผ่านมา เช่น สกินแคร์ยี่ห้อใหม่ โฟมล้างหน้ายี่ห้อใหม่ เป็นต้น ส่วนโรคผิวหนังอื่น ๆ อาจต้องตรวจละเอียดด้วยวิธีทางการแพทย์ คุณอาจสนใจบทความ การเลือกสกินแคร์ให้เหมาะกับสภาพผิว


การรักษาโรคเซ็บเดิร์ม

โรค เซ็บเดิร์ม รักษา ได้อย่างไร ? การรักษาโรคนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและบริเวณของร่างกายที่ได้รับผลกระทบ นี่คือตัวเลือกการรักษาบางอย่างที่แพทย์อาจแนะนำ

1. ยาต้านเชื้อราเฉพาะที่ ยาเหล่านี้ เช่น ketoconazole และ ciclopirox สามารถช่วยลดการอักเสบและต่อสู้กับยีสต์ที่ก่อให้เกิดผิวหนังอักเสบเซ็บเดิร์ม มักมีอยู่ในรูปของแชมพู ครีม หรือขี้ผึ้ง

2. ยาต้านการอักเสบเฉพาะที่ ยาเหล่านี้ เช่น คอร์ติโคสเตียรอยด์หรือสารยับยั้งแคลซินูริน สามารถช่วยลดการอักเสบและอาการคันที่เกี่ยวข้องกับผิวหนังอักเสบจากไขมัน อย่างไรก็ตาม การใช้ยาเหล่านี้ในระยะยาวอาจมีผลข้างเคียง ดังนั้นควรใช้ด้วยความระมัดระวัง

3. แชมพูยา หากผิวหนังอักเสบจากเซ็บเดิร์ม ส่งผลต่อหนังศีรษะ ใช้แชมพูยาที่มีส่วนผสมที่ออกฤทธิ์ เช่น กรดซาลิไซลิก หรือสังกะสี ไพริไธโอนสามารถช่วยลดการอักเสบและควบคุมอาการได้

4. การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิต การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิตบางอย่างอาจช่วยในการจัดการกับโรคเซ็บเดิร์ม เช่น การหลีกเลี่ยงสบู่หรือผงซักฟอกที่รุนแรง ลดความเครียด และออกกำลังกายเป็นประจำ แนะ 7 วิธีในการดูแลผิวให้ชุ่มชื้นขึ้น

5. การบำบัดด้วยแสง ในบางกรณีอาจใช้การส่องไฟเพื่อรักษาโรคเซ็บเดิร์ม สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการเปิดเผยผิวหนังที่ได้รับผลกระทบกับแสงเฉพาะประเภทที่สามารถลดการอักเสบและทำให้อาการดีขึ้น

สิ่งสำคัญคือต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างระมัดระวังและรักษาต่อไปแม้ว่าอาการจะดีขึ้นก็ตาม ในบางกรณี ผิวหนังอักเสบอาจเป็นภาวะเรื้อรัง แต่ด้วยการจัดการและการรักษาที่เหมาะสม จะสามารถควบคุมและลดอาการได้ ซึ่งวิธีการป้องกันโรคดังกล่าว คือหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีอากาศร้อนจัด / หนาวจัด, ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ดูและสภาพจิตใจไม่ให้เกิดความเครียด, ทาครีมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอ, ใช้ยาลดการอักเสบ-ยาฆ่าเชื้อรา, กรณีที่มีรอยโรคที่หนังศีรษะ รักษาโดยใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์, พักผ่อนให้เพียงพอ รวมไปถึงหลีกเลี่ยงการใช้ยาบางชนิด ที่กระตุ้นให้เกิดเซ็บเดิร์มได้ ในรายที่เป็นรุนแรงควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาซึ่งอาจมีการให้ยารับประทาน

ปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปทางการแพทย์ที่แน่ชัดถึงสาเหตุของโรคเซ็บเดิร์ม แต่แพทย์สันนิษฐานว่าปัจจัยอย่าง ระดับของฮอร์โมนที่แปรปรวน การมีเชื้อยีสต์บนผิวหนังมากขึ้น รวมถึงจากพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งผื่นเซ็บเดิร์มสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในหน้าร้อนและหน้าหนาว สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดโรคดังกล่าว การเกิดเซ็บเดิร์มไม่ได้มาจากการไม่รักษาความสะอาดหรืออาการภูมิแพ้แต่อย่างใด ไม่ใช่โรคติดต่อ

ส่วนคำถามที่ว่า เซ็บเดิร์ม รักษา หายขาดไหม ? คำตอบ คือ ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ อย่างไรก็ตาม ทารกแรกเกิด – 2 เดือน และผู้ใหญ่อายุตั้งแต่ 30-60 ปี มีโอกาสที่จะเป็นโรคนี้ได้มากกว่าวัยอื่น ๆ


ข้อควรปฏิบัติหลังเกิดผื่นเซ็บเดิร์ม

เซ็บเดิร์ม มีลักษณะและอาการดังนี้

หลังจากมีอาการผื่นผิวหนังอักเสบหรือเกิดผื่นเซ็บเดิร์ม มีวิธีปฏิบัติหลายอย่างที่สามารถช่วยในการจัดการอาการและป้องกันการระบาดในอนาคต ต่อไปนี้คือคำแนะนำบางประการสำหรับสิ่งที่ต้องทำหลังจากผิวหนังอักเสบไม่ให้ลุกลาม ได้แก่ รักษาความสะอาด โดยใช้น้ำยาทำความสะอาดผิวที่อ่อนโยนและน้ำอุ่น เพื่อขจัดน้ำมันส่วนเกินหรือเซลล์ผิวที่ตายแล้ว หมั่นทามอยส์เจอไรเซอร์ เพื่อช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองและลดความแห้งกร้านได้ มองหามอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ปราศจากน้ำหอมและไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน และหลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของสุขอนามัยส่วนบุคคลร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดตัวหรือหวี เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค รวมถึง วิธีดูแลผิวหน้า เพื่อสุขภาพผิวที่ดี 

และควรพบแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาอย่างถูกวิธี ซึ่งวิธีรักษาโรคนี้จะมีการใช้ยาทาเพียง 1-2 ชนิด ควบคู่ไปกับการปฏิบัติตนให้ถูกต้อง ดูแลตัวเองไม่ให้เกิดความเครียด หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางทุกชนิด ไม่แนะนำให้แต่งหน้าเพื่อปกปิดผื่นเซ็บเดิร์ม เพราะอาจไปกระตุ้นให้อาการแย่ลงหรือกลายเป็นผื่นชนิดอื่น เช่น การแพ้สัมผัสครีมหรือเครื่องสำอางบางตัว และอาจทำให้เกิดสิวได้อีกด้วย


โรคเซ็บเดิร์ม ห้ามกินอะไร

แม้ว่าจะไม่มีการระบุประเภทอาหารที่ก่อให้เกิดโรคอย่างแน่ชัด แต่งานวิจัยบางชิ้นพบความเชื่อมโยงระหว่างอาหาร (บางชนิด) ที่อาจเป็นตัวกระตุ้นก่อให้เกิดโรคได้ อย่างงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ถูกตีพิมพ์ใน Journal of Investigative Dermatology (2018) พบว่ารูปแบบการบริโภคอาหารแบบ “ตะวันตก” ที่ส่วนใหญ่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์และอาหารแปรรูปอย่าง ชีส, เต้าหู้, เค้ก, ขนมปัง, ซอสมะเขือเทศ, มันฝรั่งทอดกรอบรสเค็ม อาจเป็นสิ่งที่กระตุ้นทำให้เป็นเซ็บเดิร์มได้

เมื่อปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติเหล่านี้ จะช่วยให้จัดการกับอาการของโรคเซ็บเดิร์มและป้องกันการลุกลามในอนาคตได้ แต่ถ้าหากคุณมีอาการต่อเนื่องหรือรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการประเมินและการรักษาต่อไป


อ้างอิง

skin

ผิวลอกเป็นขุย ตลอดเวลา แนะ 7 วิธีในการดูแลผิวให้ชุ่มชื้นขึ้น

July 9, 2021
ผิวลอกเป็นขุย ตลอดเวลา แนะ 7 วิธีในการดูแลผิวให้ชุ่มชื้นขึ้น

ผิวลอกเป็นขุย เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การสัมผัสกับสิ่งที่ทำให้เกิดการเสียดสีผิวหรือการแพ้สิ่งที่มีอยู่บนผิวหน้า ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่เหมาะสมกับสภาพผิว หรือสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เช่น สารเคมีในอากาศ แสงแดดที่มีรังสี UV และฝุ่นละอองในอากาศ การเคลื่อนไหวของหน้าผากและขนตาที่มากเกินไป นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของร่างกาย เช่น สุขภาพที่ไม่ดี การรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสมและไม่คุ้มค่า และความเครียดที่เกิดจากการทำงานหรือปัญหาทางจิตใจ เป็นต้น

ภาวะ ผิวลอกเป็นขุย และผิวแห้งมาก คืออะไร

ภาวะ ผิวลอกเป็นขุย และผิวแห้งมาก คืออะไร

ภาวะผิวแห้งมาก (Xerosis) คือลักษณะผิวที่มีปัญหาแห้งกร้าน ผิวแห้งลอกเป็นขุย เป็นความผิดปกติของผิวที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด มีสาเหตุมาจากการขาดน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวให้ชุ่มชื้น เนื่องจากต่อมไขมันมีขนาดเล็กและมีจำนวนน้อย จึงผลิตขึ้นมาไม่เพียงพอสำหรับการกักเก็บความชุ่มชื้น ก่อให้เกิดผิวแห้งตึง ผิวลอกเป็นขุย ไม่เรียบเนียน ต่างจากผิวที่ขาดความชุ่มชื้น ที่เป็นเพียงแค่อาการผิดปกติของผิวชั่วคราว

แต่สิ่งที่เหมือนกันระหว่างผิวแห้งมากจนลอกเป็นขุย กับ ผิวขาดน้ำ คือหากขาดการดูแลที่เหมาะสมก็จะยิ่งเพิ่มระดับความรุนแรง โดยจะมีอาการคันผิวหนังหรือผิวไวต่อการระคายเคืองง่ายร่วมด้วยในอนาคต เพื่อลดโอกาสการเกิดปัญหาผิวแห้งตั้งแต่แรกเริ่ม ควรรู้สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาเสียก่อน ซึ่งสาเหตุของการเกิดปัญหาผิวลอก ผิวแห้งมากขึ้นอยู่กับปัจจัยเหล่านี้ 

  • สารให้ความชุ่มชื้นในผิว : โดยปกติแล้วในผิวชั้นบนจะมีสารให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ (NMFs) เช่น ยูเรีย แลคเตรท ที่ทำหน้าที่จับโมเลกุลน้ำไว้ภายในผิว เมื่อไหร่ก็ตามที่ผิวหากขาดสารตัวที่ว่านี้ ก็จะทำให้การยึดเกาะกับโมเลกุลน้ำภายในผิวเกิดได้ไม่ดี เกิดการสูญเสียน้ำออกจากผิวได้ง่าย ส่งผลให้เกิดปัญหาหน้าลอก ผิวแห้งตึง ลอกเป็นขุย 
  • ไขมันที่จำเป็นในผิว : ไขมันที่อยู่ในชั้นผิวหนังตามธรรมชาติ เช่น เซราไมด์ ที่มีหน้าที่ทำให้ชั้นปกป้องผิวแข็งแรง ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น ให้ผิวมีความยืดหยุ่นและแข็งแรง นอกจากนี้สิ่งที่ผิวขาดไม่ได้คือกรดไขมันจำเป็น (Essential Fatty Acid) เช่น Omega 3&6 Fatty Acids ซึ่งร่างกายไม่สามารถผลิตกรดไขมันเหล่านี้ได้เอง แต่จะได้จากอาหารที่รับประทาน หรือครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของไขมันจำเป็นดังกล่าวเป็นส่วนผสม

หรือคุณอาจจะสงสัยว่าเป็นเซ็บเดิร์มหรือไม่ ? จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็น “โรคเซ็บเดิร์ม”


7 เคล็ดลับเพื่อผิวชุ่มชื้นขั้นสุด

1. เลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวสูตรอ่อนโยน

ขั้นตอนแรกควรทำความสะอาดผิว ควรเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดแบบไม่ต้องล้างน้ำ เช่น Micellar Water หรือ Cleansing Water ที่เหมาะกับทุกสภาพผิว ในกิจวัตรตอนเช้าและตอนเย็น เวลาใช้ก็ให้หยดบนสำลีจนชุ่ม แล้วค่อย ๆ เช็ดหน้าแบบเบา ๆ เช็ดให้ทั่วใบหน้า เพื่อล้างคราบสิ่งสกปรกออก 

2. ใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมที่ให้ความชุ่มชื้น

ไม่ว่าคุณจะมีผิวแห้ง, ผิวมัน ,ผิวแพ้ง่าย, ผิวผสม หรือผิวปกติ ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมที่ให้ความชุ่มชื้นกับผิวก็ยังจำเป็นอย่างมาก เช่น กรดไฮยาลูโรนิก ที่ขึ้นชื่อในเรื่องคุณสมบัติในการให้ความชุ่มชื้น ลองใช้ Water Drench™ Hyaluronic Cloud Cream Hydrating Moisturizer ของ PETER THOMAS ROTH มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่อุดมไปด้วย hyaluronic acid ที่มีความเข้มข้นถึง 30% ช่วยเติมน้ำให้ผิวเปล่งปลั่งแลดูอ่อนเยาว์ได้ยาวนานถึง 72 ชั่วโมง หรือมองหา สกินแคร์สำหรับผิวขาดความชุ่มชื้น

3. ลองใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสูตรน้ำ

ทางเลือกหนึ่งเมื่อพูดถึงความชุ่มชื้น อยากให้นึกถึงการใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์สูตรน้ำเพราะมีน้ำหนักเบา ความเบาบางของเนื้อครีมทำให้ดูดซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งมอยส์เจอร์ไรเซอร์สูตรน้ำก็มีหลายแบรนด์ให้เลือกใช้ เช่น Cactus Water Moisturizer ของ BOSCIA ที่เคลมว่าเป็นมอยส์เจอร์ไรเซอร์เนื้อบางเบา ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว ให้ผิวที่กระหายน้ำได้รับการเติมความชุ่มชื้น ผลลัพธ์คือผิวที่นุ่ม เรียบเรียน และมีสมดุลอย่างสุขภาพดี

4. ใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์กับผิวที่เปียกหมาด ๆ

มอยส์เจอร์ไรเซอร์จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากทาในขณะที่ผิวยังเปียกหมาด ๆ (ซับผิวให้หมาดหรือพอให้มีความชื้นเล็กน้อย) ซึ่งจะช่วยให้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ซึมเข้าผิวได้ดีกว่าผิวที่แห้งสนิท

7 เคล็ดลับเพื่อผิวชุ่มชื้นขั้นสุด

5. มองหาผลิตภัณฑ์ขั้นกว่า

หากต้องการความชุ่มชื้นที่มากขึ้น ลองมองหาสกินแคร์เพิ่มเข้ามาในขั้นตอนการบำรุงผิว เช่น เซรั่ม (ใช้หลังจากล้างหน้า ทาก่อนใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์) เช่นตัว Vitamin Nectar Glow Juice Antioxidant Face Serum ของ FRESH ที่มีเนื้อสัมผัสแบบ water-oil มอบความชุ่มชื้น แต่บางเบาไม่เหนียวเหนอะหนะ และไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน

6. ปรนนิบัติผิวด้วยชีตมาส์ก

ชีตมาส์ก ทำให้เรื่องความชุ่มชื้นในผิวเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น เพราะไม่เพียงแค่เป็นการปรนนิบัติผิวให้ดูสุขภาพดีแล้ว ยังช่วยให้ผิวกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้อย่างยาวนาน ซึ่งวิธีนี้จะใช้ได้ผลก็ต่อเมื่อเลือกใช้สูตรที่ถูกต้อง ลองมาส์กหน้าด้วย Luminous Dewy Skin Mask ของ TATCHA ชีตมาส์กที่มีน้ำมันจากพืช เพื่อเติมความชุ่มชื้นแก่ผิวหน้าถึงขีดสุด เผยผิวโกล์วฉ่ำวาว หรือทำมาส์กหน้าเองด้วย 5 สูตรเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว

7. ฉีดสเปรย์น้ำแร่ระหว่างวัน

ในช่วงเวลาที่ผิวต้องการเติมความชุ่มชื้นระหว่างวัน ลองฉีดสเปรย์น้ำแร่ ตัว Facial Spray With Aloe Herbs & Rose ของ MARIO BADESCU ซึ่งจะช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้าได้ ไม่ว่าจะในออฟฟิศหรือบนเครื่องบินหรือที่ที่มีอากาศหนาวเย็น โดยไม่ลบเลือนเมคอัพ พร้อมรับกับความสดชื่นในตอนกลางวันได้เป็นอย่างดี

การดูแลผิวลอกเป็นขุยอย่างเหมาะสม จะช่วยฟื้นฟูผิวและป้องกันการเกิดผิวลอกได้ และนอกจากการดูแลตัวเองจากภายนอกแล้ว ภายในก็สำคัญไม่แพ้กัน อย่าลืมเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิวหน้า เช่น ผักและผลไม้ที่เป็นต้นกำเนิดของวิตามินซีและแอนติออกซิแดนท์ ออกกำลังกายเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ดื่มน้ำให้มาก ๆ เพราะน้ำมีส่วนช่วยในการชะลอการเกิดผิวลอกเป็นขุย  นอนหลับให้เพียงพอ รวมถึงปรับปรุงสุขภาพจิตและลดความเครียด จะสามารถช่วยช่วยลดการลอกเป็นขุยของผิวหน้าได้


อ้างอิง

skin

คนเกาหลีดูแลผิวยังไง นี่คือ 5 ขั้นตอนที่ใช้ดูแลผิวในตอนเช้า

July 9, 2021
คนเกาหลีดูแลผิวยังไง นี่คือ 5 ขั้นตอนที่ใช้ดูแลผิวในตอนเช้า

คนเกาหลีเป็นคนที่ใส่ใจและให้ความสำคัญกับการดูแลผิวหน้าอย่างมาก เนื่องจากผิวหน้าเป็นส่วนที่สำคัญของความงาม ดังนั้นการดูแลผิวหน้าจึงเป็นสิ่งที่พวกเขาใส่ใจอย่างมาก อีกทั้งในตอนเช้ายังเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการบำรุงผิวหน้า เพราะผิวหน้ายังไม่ได้ถูกแดดและมลภาวะทำลาย ลองมาดูกันดีกว่าว่า คนเกาหลีดูแลผิวยังไง ?

5 สเต็ปสกินแคร์รูทีนในตอนเช้า

หลายคนอาจจะสงสัยว่า คนเกาหลีดูแลผิวยังไง ? ซึ่งกิจวัตรการดูแลผิวของสาวเกาหลีนั้นถือได้ว่าเข้มข้นมาก ซึ่งบางครั้งอาจมีมากกว่า 10 ขั้นตอน แต่ในช่วงเช้ามักเป็นชั่วโมงที่เร่งรีบของทุกคน จริง ๆ แล้ว เราสามารถปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์และขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้เหมาะกับสภาพผิวและวิถีชีวิตของแต่ละคนได้ ด้วยปัจจัยการใช้ชีวิตที่แตกต่างไม่จำเป็นต้องทำครบทุกขั้นตอน อย่างไรก็ตามเราขอแนะนำ 5 กิจวัตรการดูแลผิวในตอนเช้าของคนเกาหลี ที่เป็นประโยชน์ต่อทุกคน โดยสามารถใช้สกินแคร์ที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น อาจะมีคำแนะนำเล็ก ๆ น้อย ๆ ในส่วนของประโยชน์ในแต่ละผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อผิวเพิ่มเติม

คนเกาหลีดูแลผิวยังไง นี่คือ 5 ขั้นตอนที่ใช้ดูแลผิวในตอนเช้า

ขั้นตอนที่ 1: ทำความสะอาดผิวหน้าทั้ง 2 ครั้ง ด้วยผลิตภัณฑ์ 2 ชนิด (Double Cleansing)

การทำความสะอาดสองครั้งเป็นหัวใจสำคัญของกิจวัตรการดูแลผิวของเกาหลี เพราะตลอดทั้งคืนผิวของคุณก็สามารถสะสมสิ่งสกปรก เช่น สิ่งสกปรกและน้ำมันได้ การล้างหน้าในตอนเช้าจะช่วยขจัดสิ่งสกปรกเหล่านี้ เริ่มแรกให้ล้างหน้าทำความสะอาดผิวหน้า ด้วยเทคนิค Double Cleansing สาวเกาหลีจะใช้วิธีล้างหน้า 2 รอบ

เริ่มจากการใช้คลีนซิ่งแบบออยล์และตามด้วยคลีนซิ่งแบบโฟมเพื่อล้างหน้าอีกครั้ง สาเหตุที่ต้องล้างหน้าสองรอบด้วยผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกัน ก็เพราะคลีนซิ่งแบบออยล์จะช่วยลบเมคอัพที่ล้างออกยากได้อย่างหมดจด ซึ่งเครื่องสำอางบางตัวอาจเป็น waterproof การล้างหน้าด้วยโฟมล้างหน้าเพียงอย่างเดียวอาจทำความสะอาดได้ไม่มากพอ ส่วนคลีนซิ่งแบบโฟมจะช่วยล้างเอาคราบเหงื่อ สิ่งสกปรก และความมันออกจากผิว จึงช่วยทำความสะอาดผิวได้อย่างล้ำลึก ลดโอกาสที่จะเกิดสิวขึ้นใหม่ได้อีกด้วย

ขั้นตอนที่ 2: โทนเนอร์ (Toner)

การใช้โทนเนอร์หลังล้างหน้าจะช่วยปรับสมดุลค่า pH ของผิว เพิ่มความชุ่มชื้น และช่วยให้สกินแคร์ที่คุณต้องการลงในลำดับถัดไปถูกดูดซับเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น ผลิตภัณฑ์โทนเนอร์แบรนด์เกาหลีส่วนใหญ่ มักจะมีส่วนผสมสำคัญอย่าง AHA, BHA หรือ สารสกัดจากธรรมชาติ ที่มีคุณสมบัติช่วยต่อต้านริ้วรอย ความเหี่ยวย่น และลดการเกิดสิว โดยวิธีการใช้โทนเนอร์ก็มีหลากหลายสามารถทำได้ทั้ง เทโทนเนอร์ใส่สำลีแผ่นแล้วเช็ดผิวเบา ๆ หรือเทโทนเนอร์ใส่ฝ่ามือแล้วค่อย ๆ กดไปจนทั่วใบหน้า

ขั้นตอนที่ 3: เอสเซนส์  (Essence)

หลังจากใช้โทนเนอร์ปรับสมดุลผิวเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเติมความฉ่ำน้ำให้ผิวขั้นสุด ด้วยการตบ Essence หนึ่งในเคล็ดลับที่สาวเกาหลีมีผิวดี คือการใช้สกินแคร์หลายตัวที่มีความบางเบาแต่หลายเลเยอร์ ไม่ใช่การทาครีมเนื้อหนาแบบตัวเดียวจบ

ความต่างระหว่างโทนเนอร์และเอสเซนส์ คือ เอสเซนส์จะมีความบางเบากว่าโทนเนอร์ มีลักษณะเนื้อสัมผัสเป็นน้ำคล้ายเจล ซึบซาบเข้าสู่ผิวได้ง่ายและรวดเร็ว เอสเซนส์มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่ผิว ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ผิวดูดซึมมอยเจอร์ไรเซอร์ และครีมบำรุงอื่น ๆ ได้ดีขึ้น นอกจากจะให้ความชุ่มชื้นที่เหมาะสมในช่วงเช้าแล้ว ยังช่วยลดการผลิตซีบัมของต่อมไขมันได้ตลอดวัน

ขั้นตอนที่ 4: มอยส์เจอร์ไรเซอร์ (Moisturizer)

เป็นไปได้ว่าขั้นตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการดูแลผิวตอนเช้าอยู่แล้ว เพียงแค่เลือกสกินแคร์ให้เหมาะสมกับผิวเพิ่มเติม เช่น หากคุณมีผิวมัน ให้หลีกเลี่ยงมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมน้ำมันแร่และซิลิโคน เลือกที่เป็นเนื้อเจลแทนที่จะเป็นครีมที่มีความเข้มข้นเกินไป มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะสมจะไม่ทำให้ผิวของรู้สึกมันหรือเหนียว ควรรู้สึกเหมือนมีเกราะป้องกันบนผิวเพื่อให้กันแดดและเมคอัพติดทนนานยิ่งขึ้น และอีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจของสาวเกาหลีก็คือการมาส์กหน้า ลองมาดู 5 สูตรมาร์กหน้าเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว

ขั้นตอนที่ 5: ครีมกันแดด (Sunscreen)

จะไม่มีประโยชน์เลยหากคุณทำทุกขั้นตอนข้างต้น แต่ไม่ได้ปกป้องผิวจากการถูกทำร้ายด้วยรังสียูวีเอและรังสียูวีบี ด้วยครีมกันแดดดี ๆ สักตัว แน่นอนว่าต้องทาทุกวันแม้จะเป็นวันที่ดูเหมือนว่าจะมีเมฆมากก็ตาม เพราะรังสียูวีสามารถเล็ดลอดเข้าไปสัมผัสกับผิวหนังได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะคุณจะอยู่ที่บ้าน, วันที่ไม่มีแดด หรือแม้แต่การสวมใส่เสื้อผ้าอยู่ก็ตาม แนะนำกันแดดสำหรับคนเป็นสิวหรือผิวแพ้ง่าย

โดยรวมแล้ว การบำรุงและดูแลผิวในตอนเช้าสามารถช่วยรักษาสุขภาพผิว คงความอ่อนเยาว์ และปกป้องผิวของคุณจากความเสียหายที่เกิดจากปัจจัยแวดล้อม เช่น รังสียูวีและมลภาวะต่าง ๆ ได้


ลองใช้เครื่องสำอางเกาหลีดีไหม?

คนเกาหลีดูแลผิวยังไง 5 สเต็ปสกินแคร์รูทีนในตอนเช้า

เครื่องสำอางเกาหลีเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องส่วนผสมคุณภาพสูง สูตรเฉพาะ และบรรจุภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ มาลองอะไรใหม่ ๆ เพื่อผิวบ้างดีไหม? นี่เป็น 5 เหตุผลที่คุณควรลองเครื่องสำอางเกาหลี เพื่อนำมาปรับใช้เป็นสกินแคร์รูทีนในตอนเช้า

1. นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ – เนื่องจากสาวเกาหลีมีความต้องการและดูแลผิวอย่างเข้มข้น บริษัทด้านความงามต่าง ๆ จึงมีการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างสูตรที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใครอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของสาวเกาหลี

2. ส่วนผสมจากธรรมชาติ – สกินแคร์เกาหลีนิยมใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติมากกว่าการใช้สารเคมีที่รุนแรงและเป็นอันตราย มีความละเอียดอ่อนที่ให้ความรู้สึกเบาสบายแก่ผิว ตั้งแต่การใช้น้ำผึ้ง แตงกวา ไปจนถึงส่วนผสมที่แปลกใหม่ เช่น โสม เมือกหอยทาก เป็นต้น

3. คุณภาพและประสิทธิภาพ – เนื่องจากสาว ๆ ในเกาหลีมีมาตรฐานที่ค่อนข้างสูงในการซื้อและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง บริษัทด้านความงามจึงถูกให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้ ด้วยการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพด้วยส่วนผสมที่มีคุณภาพสูง 

4. บรรจุภัณฑ์ดึงดูดความสนใจ – แบรนด์เกาหลีให้ความสำคัญกับบรรจุภัณฑ์เป็นอย่างมาก สังเกตได้จากคอลเลกชันเครื่องสำอางของ innisfree หรือ etude เครื่องสำอางเกาหลีมักจะบรรจุในบรรจุภัณฑ์ที่สวยงามและน่ารัก แน่นอนว่าคุณจะหลงรักและพร้อมเสียเงินในทันที มีตั้งแต่ลิปกลอสแสนน่ารักที่เป็นรูปไอศกรีม ไปจนถึงแฮนด์ครีมให้ความชุ่มชื้นรูปพีช 

5. ผลิตภัณฑ์มีราคาไม่แพง – ความต้องการส่งผลให้เกิดการแข่งขันระหว่างบริษัทความงามในเกาหลีเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า มีการแข่งขันกันระหว่างแบรนด์ความงามอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนำไปสู่การผลิตผลิตภัณฑ์ที่คุณภาพสูง ที่ตามมาด้วยราคาไม่แพงอย่างที่คิด

อย่างไรก็ตาม เครื่องสำอางเกาหลีมีประโยชน์มากมายสำหรับผู้ที่ต้องการหาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ มาบำรุงผิว แต่สิ่งสำคัญคือต้องทำการศึกษาผลิตภัณฑ์และส่วนผสมอย่างรอบคอบ เพื่อให้แน่ใจว่าเหมาะกับประเภทผิวของคุณด้วย สนใจอ่านบทความเพิ่มเติม เลือกใช้สกินแคร์อย่างไรให้เหมาะกับสภาพผิว


อ้างอิง

skin

ผิวขาดความชุ่มชื้น แห้งกร้าน? ให้มองหาสกินแคร์ที่มีส่วนผสมเหล่านี้

July 8, 2021
ผิวขาดความชุ่มชื้น แห้งกร้าน? ให้มองหาสกินแคร์ที่มีส่วนผสมเหล่านี้

ผิวขาดความชุ่มชื้น มักจะดูแห้งขึ้น หยาบและไม่มีความสดชื่น ดังนั้นการดูแลและบำรุงผิวหน้าเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งลักษณะของ ผิวที่สูญเสียความชุ่มชื้น เป็นภาวะผิวขาดความชุ่มชื้น หรือขาดน้ำไปหล่อเลี้ยงเซลล์ผิวใต้ชั้นผิวหนังจึงทำให้ผิวแห้งกร้านไม่เรียบเนียน สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกสภาพผิว สังเกตเห็นได้ชัดในคนที่มีผิวผสม ผิวมัน หรือ เวลาที่ผิวต้องเจอกับสภาพอากาศที่เย็นจัดหรือร้อนจัด แม้ว่าร่างกายจะผลิตไขมันออกมาจากรูขุมขนตามปกติ แต่ผิวก็ยังคงจะมีอาการแห้ง ลอก เป็นขุย ในบางคนมีอาการคันร่วมด้วยคล้ายกับลักษณะของคนผิวแห้ง ซึ่งสามารถดูแลและบำรุงผิวให้กลับมามีสุขภาพดีได้ด้วยการเติมน้ำ และความชุ่มชื้นในชั้นผิวอย่างล้ำลึกด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์


เลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์ให้เหมาะกับผิว

ลักษณะ ผิวขาดความชุ่มชื้น

เมื่อ ผิวขาดความชุ่มชื้น การเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวหน้าถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ผิวกลับมามีสุขภาพดี ในส่วนของการเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ให้เหมาะสมกับสภาพผิวนั้น ขอแยกตามประเภทของผิวหน้าไว้ดังนี้

  • ผิวธรรมดา (Normal Skin)
  • ผิวมัน (Oily Skin)
  • ผิวแห้ง (Dry Skin)
  • ผิวผสม (Combination Skin)

ผิวธรรมดา (Normal Skin): ลักษณะผิวที่มีความสมดุล ไม่แห้งตึงหรือมันจนเกินไป มีรูขุมขนขนาดเล็ก สามารถใช้มอยส์เจอไรเซอร์แบบน้ำ (Water-based moisturizer) อาจอยู่ในรูปแบบโลชั่น เพราะช่วยให้แห้งเร็ว เบาสบายผิว ไม่รู้สึกเหนียวเหนอะหนะ หากใครที่ต้องการความชุ่มชื้นมาก ๆ สามารถเลือกใช้เป็นแบบน้ำมัน (Oil-based moisturizer) แต่เวลาที่ใช้อาจปรับตามสภาพอากาศ เช่น ถ้าอยู่ในประเทศที่มีอากาศเย็นหรือหนาว สามารถใช้ได้ทั้ง 2 เวลา เช้าและเย็น แต่หากอยู่ในประเทศที่อากาศร้อน เพื่อไม่ให้เกิดความเหนียวเหนอะหนะระหว่างวัน แนะนำให้ทาช่วงก่อนนอนจะดีที่สุด

ผิวมัน (Oily Skin): ลักษณะผิวจะมันวาว รูขุมขนกว้าง มีสิวอุดตันง่าย เนื่องจากมีการผลิตน้ำมันส่วนเกินออกมามากกว่าปกติ แม้ว่าผิวจะมันแต่มอยเจอร์ไรเซอร์ก็ยังจำเป็นต่อผู้ที่มีผิวประเภทนี้เช่นกัน แนะนำให้ใช้จะเป็นแบบฐานน้ำ (Water-based moisturizer) ที่อาจอยู่ในรูปแบบโลชั่นเหลว ซึ่งเมื่อเทียบกับครีมโลชั่นจะมีน้ำเป็นองค์ประกอบหลัก ข้อดีคือช่วยลดอัตราการเกิดสิวใหม่บนใบหน้า อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีผิวหน้ามันควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบเป็นสารที่เป็นน้ำมัน เช่น น้ำมันมะพร้าว โกโก้บัตเตอร์ (Cacao butter) หรือ ปิโตรเลียมเจลลี่ (Petroleum jelly) หากคุณกำลังประสบปัญหานี้ อาจสนใจ วิธีทำให้รูขุมขนกว้างกระชับขึ้น

ผิวแห้ง (Dry Skin): ลักษณะผิวจะค่อนข้างแห้ง ขาดน้ำ และขาดความกระจ่างใส เป็นผิวที่ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์เพื่อรักษาความชุ่มชื้นบนใบหน้าอย่างสม่ำเสมอ แนะนำว่าให้ใช้มอยส์เจอไรเซอร์แบบน้ำมัน (Oil-based moisturizer) น้ำมันจะทำการเคลือบผิวไม่ให้ความชื้นจากผิวระเหยออกไปได้ ในกรณีที่มีผิวแห้งมากเป็นพิเศษ อาจใช้ผลิตภัณฑ์เนื้อขี้ผึ้ง ซึ่งมีความสามารถในการคลือบผิว ทำให้ลดการระเหยของน้ำได้มากกว่าผลิตภัณฑ์ชนิดโลชั่นหรือครีม แต่ข้อจำกัดของผลิตภัณฑ์เนื้อขี้ผึ้งคือ จะก่อให้เกิดความมันบนผิว อาจทำให้ไม่สะดวกหากทาตอนกลางวัน จึงแนะนำให้ทาตอนก่อนนอน

ผิวผสม (Combination Skin): ลักษณะผิวจะแห้ง และมีความมันในเวลาเดียวกันแต่บางบริเวณ เช่น หน้าผาก จมูก คาง รูขุมขนช่วง T-Zone จะกว้างเป็นพิเศษ อาจเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีความหนืดเเละให้ความชุ่มชื้นปานกลาง เป็นเนื้อโลชั่นกึ่งครีม ด้วยความที่ผิวมีสภาพทั้งผิวแห้งและผิวมัน อาจต้องให้การดูแลที่แตกต่างกันในแต่ละจุด หรือ เลือกใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละส่วน เช่น ส่วนที่แห้ง ใช้มอยส์เจอไรเซอร์สำหรับคนผิวแห้ง และส่วนที่มัน ให้ใช้มอยส์เจอไรเซอร์สำหรับคนผิวมัน ขอแนะนำ สูตรมาร์กหน้าเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว


ล็อกความชุ่มชื้นให้ผิวด้วยส่วนผสมเหล่านี้

เลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ให้เหมาะกับผิว

การดูแลผิวหน้าที่ขาดความชุ่มชื้นเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ผิวหน้าดูสดใสและไม่แห้งขึ้น ดังนั้น มีวิธีการดูแลผิวหน้าที่ขาดความชุ่มชื้นด้วยการเลือกสกินแคร์ที่มีส่วนผสมเหล่านี้ ได้แก่

  • Humectant – สารดูดความชื้น

เป็นสารดึงน้ำหรือสารที่ดูดความชุ่มชื้นจากชั้นหนังแท้มาสู่ชั้นหนังกำพร้า อธิบายง่าย ๆ ถ้าอากาศมีความชื้นมากพอจะดึงน้ำจากอากาศเข้าสู่ผิวได้ สารที่พบบ่อย เช่น Sodium hyaluronate, Collagen, Glycerin, Sorbitol, Propylene Glycerol, Urea, Hyaluronic Acid ฯลฯ แต่ถ้าอยู่ในสภาวะที่มีอากาศหนาวจนแห้ง อาจทำให้เกิดการดึงน้ำเข้าสู่ผิวได้น้อยลง ใครที่ผิวขาดความชุ่มชื้น ควรมองหาตัวช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นอย่างอื่นทดแทนด้วย

  • Occlusives – สารกักเก็บน้ำในผิว

สารที่ลดการระเหยของน้ำออก​จากผิว ช่วยให้ผิวไม่ขาดน้ำ ทำหน้าที่เคลือบผิวกันน้ำระเหยออกจากผิวปิดกั้นไม่ให้น้ำซึมผ่าน ผิวชั้นบนสุดจึงได้ความชุ่มชื้นจากชั้นหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้ มักจะมาในรูปแบบของออยล์หรือบาล์ม เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีผิวแห้งมาก ซึ่งสารที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด คือ Petrolatum สามารถลดการระเหยของน้ำออกจากผิวได้ถึง 99% แต่ก็มีข้อเสีย คือ ทำให้รู้สึกหนักหน้าเมื่อทาครีม หากผิวของคุณลอกเป็นขุย แนะนำ 7 วิธีในการดูแลผิวให้ชุ่มชื้นขึ้น

  • Emollient – สารทำให้ผิวเนียนนุ่ม

เป็นสารที่ช่วยปลอบประโลมผิวให้ดูเรียบเนียน ทำให้ผิวที่แห้ง หยาบกร้าน เป็นขุย นั้นอ่อนนุ่มขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าประสิทธิภาพไม่ดีเท่าสารกลุ่มอื่น เพราะบางครั้งอาจมีการผสมของพาราฟิน ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ได้จากกระบวนการกลั่นน้ำมันดิบ เป็นสารที่ช่วยให้ไฟติดได้และถ้าสะสมในผิวมาก ๆ จะเกิดการระคายเคืองได้ ฉะนั้น ผิวแพ้ง่ายและบอบบางควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ สารที่ใช้บ่อย ได้แก่ Cyclomethicone, Dimethicone Copolyol, Glyceryl Sterates ฯลฯ

การเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสมกับสภาพผิวของตนเองจะช่วยบำรุงผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึง การดื่มน้ำให้เพียงพอจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า การใช้ผลิตภัณฑ์สารสกัดจากธรรมชาติ หรือการออกกำลังกายก็ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลืองในร่างกาย ทำให้เกิดการเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้าได้เช่นกัน ที่สำคัญอย่าลืมหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และสารเคมีต่าง ๆ ซึ่งอาจทำให้ผิวหน้าขาดความชุ่มชื้นและมีอาการแห้งได้


อ้างอิง